13 ก.พ. 2022 เวลา 03:00 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
One for the Road (2021) - การเดินทางก่อนวันสุดท้ายของชีวิตที่อบอวลไปด้วยอารมณ์ ความสัมพันธ์ และมิตรภาพ
2
" ความรัก อารมณ์ และมิตรภาพ... ทั้งสามอย่างถูกถ่ายทอดอย่างน่าประทับใจ ผ่านการเดินทางครั้งสุดท้ายของชีวิต "
สวัสดีครับ จากภาพยนตร์ที่เข้าโรงในช่วงเดือนนี้ เรื่องที่ทุกคนจับตาและพูดถึงคงเป็นเรื่องไหนไปไม่ได้นอกจาก One for the Road (2021) ที่ทำผลงานได้อย่างดีเยี่ยมใน Sundance Film Festival ผ่านการคว้าและเข้าชิง 2 รางวัล ได้แก่
  • 1.
    คว้ารางวัล World Dramatic Special Jury Award for Creative Vision
  • 2.
    เข้าชิง Grand Jury Prize ในสาขา World Cinema - Dramatic
หลังจากที่ผมได้ชมภาพยนตร์ ก็เลยอยากจะมาแชร์มุมมองให้กับทุกคน เผื่อว่าใครสนใจในเรื่องนี้นะครับ
[ เรื่องย่อ ]
One for the Road (2021) หนังดราม่า / Road movieได้รับการกำกับโดย บาส นัฐวุฒิ พูนพิริยะ ที่มีผลงานที่มีชื่อเสียงอย่าง เคาท์ดาวน์ (2012) และ ฉลาดเกมส์โกง (2017) รวมถึงได้ผู้กำกับฮ่องกงระดับตำนานอย่าง หว่อง กาไว (Wong Kar-wai) มาเป็น Producer ภาพยนตร์ความรู้สึกหลังชม
เนื้อเรื่องหลักในภาพยนตร์กล่าวถึง การเดินทางระหว่าง อู๊ด (ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์) และ บอส (ต่อ ธนภพ) เพื่อทำภารกิจสะสางทุกอย่างก่อนที่อู๊ดจะจากโลกนี้ไปด้วยโรคมะเร็ง... หนึ่งในภารกิจที่สำคัญนั้น ก็คือ "การเดินทางเพื่อบอกลาแฟนเก่า" และจากภารกิจนี้เอง เรื่องราวทุกอย่างก็ค่อยๆ ถูกบอกเล่าให้ทุกคนได้เห็นถึงความสัมพันธ์ของของแต่ละคนที่ต่างมีปัญหาระหว่างกัน
[ ความรู้สึกหลังชม ]
ความรู้สึกแรกหลังจากที่ได้ชม One for the Road... รู้สึกว่าหนังให้อารมณ์บางอย่างคล้ายกับสิ่งที่ ฮาวทูทิ้ง..ทิ้งอย่างไรไม่ให้เหลือเธอ (2019) นำเสนอ...
มันเป็นหนังที่เต็มไปด้วยมวลของอารมณ์อันซับซ้อน และความสัมพันธ์ระหว่างตัวละคร ซึ่งความรู้สึกและแนวเรื่องแบบนี้ค่อนข้างใกล้เคียงกับสไตล์หนังของหว่อง กาไว ที่มักมีประเด็นเกี่ยวกับเรื่อง "ความรัก อารมณ์ และความสัมพันธ์ระหว่างคน" (อย่างน้อยก็ In the Mood for Love (2000) ที่มีบรรยากาศแบบนี้)
นี่อาจจะพอบอกได้ถึงความเชื่อมโยงระหว่างหว่องกาไวกับ One for the Road... กล่าวโดยกว้างๆ One for the Road มีส่วนผสมของความนามธรรมเหล่านี้แฝงอยู่มาก
ทว่าพอตัดมาดูที่วิธีการเล่าเรื่อง / การดำเนินเรื่อง สไตล์ของภาพยนตร์โดยรวมยังคงเป็นลายเซ็นต์ของคุณบาส นัฐวุฒิ อย่างชัดเจน วิธีดำเนินเรื่องอันฉับไว เทคนิคมุมกล้องและการตัดต่อที่มีลูกเล่นแพรวพราว การเซ็ตอัพซีนต่างๆ เพื่อบิ้วอารมณ์ (ที่แม้จะดูไม่เป็นธรรมชาติ - ดูพยายามเกินไปบ้าง) แต่ทุกอย่างมาในจังหวะที่ถูกที่ถูกเวลาเสมอ Touch ผู้ชมได้ดี
ที่สำคัญจุดที่เคยเป็นข้อเสียในฉลาดเกมส์โกง เช่น การเร่งเครื่องมากเกินไป / เร่งตลอดเวลาแบบหนักๆ... เหมือนทางพี่บาสจะ Control ได้ดีขึ้น พร้อมกับเพิ่ม Detail ที่ละเอียดขึ้น มี Emotion ที่ลึก และหลากหลายขึ้น ทำให้งานที่ออกมาดูสมบูรณ์ และอาร์ตกว่าเรื่องก่อนๆ เดินเรื่องได้น่าติดตามแบบไม่มีจังหวะแผ่วเลย
ดังนั้นจากคาแรคเตอร์เรื่องที่มันออกจะไปทางหนังอาร์ต (อย่างหว่องกาไว) เมื่อมาผสมกับผู้กำกับที่ใส่ความ Commercial เก่ง... ผลลัพธ์ที่ได้จึงเป็นส่วนผสมที่น่าสนใจ ดูสร้างสรรค์ เป็นศิลปะ และแข่งขันในเวทีนานาชาติได้ (โมเดลแบบนี้ที่เห็นบ่อยๆ ก็เกาหลีนี่แหละที่ชอบทำ 😀)
OFTR คว้ารางวัล World Dramatic Special Jury Award for Creative Vision จาก Sundance Film Festival (ไม่ใช่งานง่ายที่จะคว้ารางวัลนี้ !)
ในเรื่องของงานภาพ หนังนำเสนอภาพได้สวยงาม มีกลิ่นอาย / Mood ของหว่องกาไวแฝงไว้ เช่น การใส่ Grain ลงในภาพบางช่วงที่ช่วยเพิ่ม Emotion และบรรยากาศแบบกล้องฟิลม์... หลายๆ อย่างใส่มา Tribute ถึงหว่องกาไวได้เข้ากับบริบทเรื่อง
วี วิโอเลต ในบท "พริม" และ ต่อ ธนภพ ในบท "บอส"
สำหรับพาร์ทนักแสดง โดยรวมทุกคนแสดงได้อย่างสมบทบาท ที่โดดเด่นเป็นพิเศษ ผมขอยกให้ ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์, พลอย หอวัง และ วี วิโอเลต
คนแรกที่ขอพูดถึงคือ "ไอซ์ซึ ณัฐรัตน์" ซึ่งยอมรับว่าแสดงได้น่าประทับใจเป็นพิเศษ เพราะดูจากสภาพหน้าและร่างกายแล้ว คล้ายกับคนป่วยใกล้สิ้นใจจริงๆ แถมยังสามารถแสดงอารมณ์ได้ลึก จนทำให้เราเชื่อได้ว่าไอซ์เป็นตัวละครนั้นจริงๆ
ไอซ์ ณัฐรัตน์ ในบท "อู๊ด"
ส่วน "พลอย หอวัง" แม้ว่าจะมีซีนไม่มาก แต่ว่าเมื่อโผล่มาก็สร้างความประทับใจได้ สำหรับ "วี วิโอเล็ต" จากที่เคยเห็นในเรื่อง ฟรีแลนซ์ ห้ามป่วย ห้ามพัก ห้ามรักหมอ (2015) ถือว่าเป็นนักแสดงที่มีมาตรฐานสูงอยู่แล้ว มาในครั้งนี้ก็ยังคงแสดงได้น่าประทับใจเหมือนเดิม
จะมีที่ผมรู้สึกว่าแสดงได้ดี แต่อาจจะยังติดคาแรคเตอร์เดิมอยู่บ้าง ก็คือ "ต่อ ธนภพ" ที่ยังไม่ได้รู้สึกว่าเนียนตาแบบ 100% (แต่ก็ถือว่าสอบผ่าน)
จุดประทับใจสุดท้ายคือ "เพลงประกอบภาพยนตร์" ขอชื่นชมว่า STAMP แต่งได้กินใจจริงๆ กับเพลง "Nobody Knows / ถ้าเธอ" ทำนองแนว Groove กับธีมเรื่องที่เปรียบเปรยชีวิตเหมือนรสชาติของเหล้า... จะมีอะไรที่ผสานกันลงตัวไปมากกว่านี้
[ สรุป ]
One for the Road (2021) ถือเป็นหนังไทยจากค่าย GDH ที่น่าประทับในปีนี้ หนังมีความกว้าง และลึกที่พอดิบพอดี มีความเป็นศิลปะในระดับที่ทุกคนสนุกแบบเคี้ยวได้ไม่ยาก (แต่ก็ไม่ได้ง่ายแบบไม่ต้องคิดอะไรเลย)
ดังนั้นไม่ว่าจะกลุ่มผู้ที่ชอบหนังเดินเรื่องไว หรือผู้ชอบหนังรางวัล ก็สามารถอิ่มเอมไปกับหนังได้ นอกจากนี้ คุณภาพหนังยังอยู่ในระดับที่แข่งในระดับนานาชาติได้สบาย
หลังจากดูจบก็ต้องขอยกนิ้วชมว่า เยี่ยมสมกับที่คว้ารางวัลจาก Sundance Film Festival จริงๆ ขอซูฮก ! 👍
[ เพิ่มเติม ] รีวิว One for the Road จาก คุณประวิทย์ แต่งอักษร กูรูนักวิจารณ์ภาพยนตร์... รีวิวน่าสนใจมาก แต่เหมือนจะมีเปิดเผยเนื้อหาด้วยประมาณนึง ใครยังไม่ได้ดูก็อ่านข้ามๆ นะครับ
ป.ล. ปีนี้ยังมีหนัง GDH อีกเรื่องที่น่าสนใจ ก็คือเรื่อง Fast and Feel Love ของ คุณเต๋อ นวพล... มารอดูกันได้เลยว่าเรื่องไหนจะเป็นหนังท็อปฟอร์มแห่งปี 🤣
ป.ล.2 อีกหนึ่งช่องทางการติดต่อทาง Facebook เผื่อสนใจอยากคุยหรือติดต่อกับผมนะครับ

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา