13 ก.พ. 2022 เวลา 04:18 • ประวัติศาสตร์
มาทำความรู้จักกับอาหรับกัน
ดินแดนที่เรียกว่าอาระเบียแต่โบราณ หมายถึงบริเวณคาบสมุทรอาระเบีย (Arabia peninsula) ซึ่งปัจจุบันคือประเทศซาอุดีอาระเบียและเยเมน พื้นที่ส่วนใหญ่เป็นทะเลทราย ในยุคสมัยที่อาณาจักรไบแซนไทน์รุ่งเรือง บริเวณแถวนี้เต็มไปด้วยผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบเร่ร่อนในทะเลทรายที่เรียกว่าเบดูอิน (nomadic Bedouin)
เบดูอินในทะเลทราบอาระเบีย
อาหรับ (Arab) มาจากภาษาอาระบิค แปลตรงตัวหมายถึงคนที่พูดภาษาอาระบิค เป็นคำเรียกเพศชาย ผู้หญิงจะเรียก Arabiyyah
แม้ว่าในปัจจุบันมุสลิมทุกคนไม่ได้พูดภาษาอาระบิค และคนที่พูดภาษาอาระบิคก็ไม่ใช่มุสลิมทุกคน แต่เมื่อพูดถึงภาษาอาระบิคก็ต้องย้อนกลับไปที่กำเนิดของศาสนามุสลิมเพราะภาษาอาระบิคเป็นภาษากลางที่ชาวมุสลิมสื่อสารกันผ่านคัมภีร์โกหร่าน
ถ้าใครติดตามอ่านมาตั้งแต่ตอนที่แล้วเรื่องของยิวและปาเลสไตน์ คงจะพอคุ้นเคยกับแผนที่แถบตะวันออกกลางบ้าง (ถ้าจำไม่ได้ก็ย้อนกลับไปดูอีกทีนะ 🙂)
ทีนี้เราลองปักหมุดไว้ที่แถว ๆ ริมทะเลเมดิเตอร์เรเนียน ทางฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือคือประเทศตุรกีในปัจจุบัน ในเวลานั้นอาณาจักรไบแซนไทน์ของโรมันเรืองอำนาจ ตั้งกรุงคอนสแตนติโนเปิล (หรืออิสตันบูลในปัจจุบัน) เป็นเมืองหลวงของอาณาจักรโรมันในโลกตะวันออก ถ้าเราเขยิบเลื่อนมาทางฝั่งตะวันออกมาเรื่อย ๆ ก็จะเจออาณาจักรใหญ่อีกแห่งหนึ่งที่รุ่งเรืองอยู่ในช่วงเดียวกันคือซาซาเนีย (Sasanian Empire)
แผนที่แสดงอาณาจักรต่าง ๆ ในยุคโบราณ
ถึงตอนนี้หลาย ๆ คนอาจจะไม่คุ้นเคยกับชื่อนี้ แต่ถ้าป้าหมอพูดถึงเปอร์เซีย (Persia) หรือบริเวณประเทศอิหร่านในปัจจุบัน ทุกคนน่าจะร้อง “อ๋ออออ” 😊😊
ตัวคาบสมุทรอาระเบียก็จะอยู่ระหว่าง 2 อาณาจักรใหญ่นี้ คนเผ่าเร่ร่อนในทะเลทรายแถบนี้ที่ต่อไปนี้จะใช้คำเรียกว่าเบดูอิน ก็ยังใช้ชีวิตแบบดั้งเดิมคืออยู่กันเป็นกลุ่มเล็ก ๆ มีกระโจมเป็นที่หลับนอน มีหัวหน้าเผ่าคอยดูแล ปกครองกันโดยธรรมเนียมปฏิบัติ ไม่มีการเขียนกฎระเบียบอะไรชัดเจน ส่วนใหญ่ก็เลี้ยงอูฐบ้าง ค้าขายบ้าง ชีวิตกลางทะเลที่ยากลำบากทำให้เบดูอินให้ความสำคัญกับนักรบ เพราะนักรบที่แข็งแรงแข็งแกร่งเท่านั้นที่จะทำให้สมาชิกในเผ่าอยู่รอดได้ มีคำในภาษาอาระบิคคือ Muruwah แปลว่า ความกล้าหาญ อดทน ไม่ท้อถอย (courage, patience, endurance) เป็นคุณลักษณะที่สำคัญของผู้นำเผ่า
การต่อสู้ ปล้นสะดมภ์ ฆ่าล้างแค้นแบบตาต่อตา ฟันต่อฟัน จึงเป็นวิถีปกติของผู้คนที่ใช้ชีวิตแบบนี้ การฆ่าศัตรูที่มารังแกพวกพ้องถือเป็นการกระทำที่มีเกียรติ
ภาพเบดูอินในอดีตและปัจจุบัน
ก่อนจะมีศาสนาอิสลาม เบดูอินและคนพื้นเมืองก็นับถือเทพเจ้าต่าง ๆ บางกลุ่มก็เป็นยิวที่อพยพมาจากแถวเยรูซาเล็ม ในขณะที่คริสตจักรกำลังแผ่ขยายอาณาเขตจากความเข้มแข็งของไบแซนไทน์ พื้นที่บางส่วนของคาบสมุทรอาระเบียที่ติดแหล่งน้ำก็จะมีคนมาตั้งรกราก และเป็นศูนย์กลางการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างตะวันออก (เอเชีย) กับตะวันตก เช่นเมืองเมกกะ (Mecca) ชาวยิวหรือคนที่ไม่ได้นับถือคริสต์ในตอนนั้น (บางทีก็ถูกเรียกว่าพาแกน pagan) ก็มักจะหนีจากการแบ่งแยกและตั้งข้อรังเกียจจากคริสตจักรมาอยู่ที่เปอร์เซียและอาหรับแทน (ถ้าจำกันได้ในตอนก่อน ๆ ที่เล่าว่ากลุ่มเคร่งศาสนาที่มีอำนาจในโรม พยายามเผยแพร่ศาสนาคริสต์ บังคับให้คนมาเข้ารีต ใครไม่ยอมก็ถูกกีดกันรังแก นับว่าเป็นยุคมืดหรือ the Dark Age ของประวัติศาสตร์ จุดเริ่มต้นของกระแสเกลียดชังยิวก็เริ่มจากตรงนี้)
ที่เมืองเมกกะมีหินแกรนิตสีดำขนาดใหญ่ที่เรียกว่า กาบะ (Ka’ba) ที่เชื่อกันว่าอับราฮัมเป็นผู้สร้างขึ้นมา ภายในกาบะบรรจุหินศักดิ์สิทธิ์สีดำผู้คนที่นับถือพระเจ้าองค์เดียว เช่นยิวและคริสเตียน เชื่อว่าหินนี้พระเจ้าประทานให้มาจากสรวงสวรรค์เพื่อเป็นตัวแทนของอดัม มนุษย์คนแรกของโลกเรา คนที่นับถือเทพเจ้าต่าง ๆ ก็นิยมนำรูปสัญลักษณ์แทนเทพเจ้าที่ตนเองนับถือมาวางไว้ที่กาบะเพื่อสักการะบูชาเช่นกัน
Ka’ba ในนครเมกกะ
ดังนั้นเมืองเมกกะ นอกจากเป็นศูนย์กลางทางการค้าแล้ว ยังเป็นเสมือนที่ตั้งของสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ผู้แสวงบุญทุกคน ทุกความเชื่อ สามารถมาสักการะบูชาร่วมกันได้ พื้นที่รอบกาบะเป็นพื้นที่ปลอดความขัดแย้ง เรียกว่า Haram แปลว่า secred, forbidden (ในความเห็นของผู้เขียนสิ่งนี้คืออารยธรรมของการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข)
เมื่อเมืองเจริญขึ้น การค้าขายเป็นไปได้ดี คนบางคนที่ร่ำรวย มีเงิน มีอิทธิพล ก็กลายมาเป็นชนชั้นปกครอง เริ่มมีการแบ่งแยกคนจน คนรวยออกจากกัน (อันนี้ก็ช่างเป็นสัจธรรมของมนุษย์ ไม่ว่ายุคสมัยไหน ๆ 😨😨)
ศาสดามูฮัมหมัด (Muhammad) ผู้เผยแพร่ศาสนาอิสลาม เกิดในเผ่า Quraysh ที่ทรงอิทธิพลของเมืองเมกกะ เมื่ออายุได้ 6 ปี เป็นเด็กกำพร้าต้องไปอยู่ในความดูแลของลุงซึ่งเป็นพ่อค้า พอเป็นหนุ่มก็ได้แต่งงานกับหญิงที่เป็นนักธุรกิจ ได้มีโอกาสเห็นวิถีชีวิตของคนรวยคนชั้นปกครองที่มักจะหยิ่งยโส โลภมาก เอาเปรียบคนที่ด้อยโอกาส ก็เกิดความสะท้อนใจ พยายามเสนอแนวคิดเรื่องของความศรัทธาในพระเจ้าองค์เดียวคือพระอัลล่าห์ (Allah=God ในภาษาอาระบิค) และการดำรงชีวิตอยู่ร่วมกันอย่างสันติ เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน ดังนั้นคำสอนในศาสนาอิสลามจึงโยงใยไปถึงแนวทางปฏิบัติตัวของการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย ไม่ใช่แค่ความศรัทธาส่วนบุคคล
ช่วงแรกที่ศาสดามูฮัมหมัดเผยแพร่คำสอน เริ่มมีผู้ติดตามมากขึ้นทำให้ผู้ปกครองเมืองไม่พอใจ จึงต้องย้ายไปเผยแพร่คำสอนที่เมืองเมดิน่า (Medina) ที่อยู่ใกล้ ๆ กันแทน และมีการสร้างมัสยิดแห่งแรกที่นี่ (ปัจจุบันนอกเหนือจากหินกาบะที่นครเมกกะแล้ว มัสยิดที่เมืองเมดิน่า และ Dome of the Rock ที่เยรูซาเล็มถือเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สำคัญของชาวมุสลิม)
ศาสดามูฮัมหมัดเสียชีวิตในปีค.ศ 632 ใช้เวลาแค่ 23 ปีในการเผยแผ่ศาสนา (ค.ศ.610-632) ในช่วงแรกมีผู้สืบทอดรุ่นแรก 4 คน เรียกว่า Caliph (แปลว่า successor) การถ่ายทอดคำสอนยังเป็นการบอกเล่าปากต่อปาก (เชื่อว่ามูฮัมหมัดเองอ่านเขียนไม่ได้) จนกระทั่งมีเหตุการณ์สู้รบครั้งหนึ่งที่ทำให้คนที่ยังจดจำคำสอนของมูฮัมหมัดได้ ตายไปถึง 70 คน จึงมีความพยายามบันทึกคำสอนไว้เพื่อไม่ให้สูญหายไปโดยบันทึกด้วยภาษาอาระบิคที่ใช้กันในเมกกะ เป็นที่มาของคัมภีร์ Quran (ภาษาอาระบิคแปลว่า recitation คือการพูดทวนคำ) ออกเสียงว่า โกหร่าน (Koran) ที่ชาวมุสลิมใช้ในการศึกษาคำสอนของศาสดา
อักษรภาษาอาระบิคที่ใช้บันทึกคัมภีร์โกหร่าน
ภายหลังที่ศาสดามูฮัมมัดเสียชีวิตไป ศาสนาอิสลามก็แผ่ขยายไปทั่วผ่านเส้นทางค้าขาย การรบและการเผยแผ่ศาสนาของผู้สืบทอดเอง แผ่ขยายไปยังอาหรับ อาฟริกา รวมทั้งยุโรป เอเชียด้วย และมารุ่งเรืองเต็มที่สมัยจักรวรรดิออตโตมานในศตวรรษที่ 13 จนสามารถยึดครองอาหรับ (ซีเรีย อาระเบีย ปาเลสไตน์และอียิปต์)ได้ทั้งหมดในค.ศ.1517
การแผ่ขยายของศาสนาอิสลามในยุคกลาง
ปัจจุบันมีประเทศที่เรียกตนเองว่าเป็นอาหรับถึง 22 ประเทศซึ่งใช้ภาษาอาระบิค (ที่เป็นภาษาที่ใช้บันทึก Quran) เหมือนกัน แต่การพูดออกเสียงแตกต่างกันไปตามภูมิภาค (เหมือนคนไทยในแต่ละท้องถิ่นที่พูดภาษาที่แตกต่างกัน แต่เราสื่อสารกันด้วยภาษาเขียนเป็นภาษาไทยเหมือนกัน)
กลุ่มประเทศอาหรับที่นับถือศาสนาอิสลาม
ถึงตรงนี้ เราคงเห็นภาพชัดขึ้นว่า 3 ศาสนาคือ Judaism, Christ, Islam จะว่าไปแล้วก็เหมือนลูกพ่อเดียวกัน (One God) บางวัตรปฏิบัติก็คล้ายคลึงกัน (เช่นยิวกับมุสลิมไม่กินหมู) มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ร่วมกัน (Temple Mount) ก็น่าจะอยู่ร่วมกันได้อย่างกลมกลืน ถ้าไม่มีใครบางคนบางกลุ่มจะพยายามแยกเขาแยกเรา สร้างความเกลียดชังขึ้นมา
ที่น่าสนใจคือคัมภีร์สำคัญของทั้ง 3 ศาสนา ซึ่งถือว่าเป็นหนังสือที่เก่าแก่ที่สุดของโลกเล่มหนึ่ง ก็มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกัน แต่การบันทึกเรื่องราวในพระคัมภีร์นั้นบันทึกจากคำบอกเล่าผ่านภาษาโบราณ เมื่อเวลาผ่านไปคนที่เข้าใจความหมายอันแท้จริงของผู้บันทึกก็ล้มหายตายจากไป ปัญหาจึงมักจะเกิดจากการตีความตามอคติของผู้คนรุ่นหลังมากกว่าจะเป็นปัญหาที่ตัวศาสนาเอง
โฆษณา