14 ก.พ. 2022 เวลา 11:23 • นิยาย เรื่องสั้น
รักแล้งเดือนห้า
ไม่รู้แขกคนไหนบ่นเข้าหูเจ้าว่าเกายุกทั้งหม้อหาเผือกไม่ได้สักชิ้น บ้านเมืองเดือนปีช่วงนี้หมูกิโลละหกสิบ หัวเผือกกิโลละร้อย ถ้าเจ้าภาพไม่บอกให้แม่ครัวเน้นหมู ก็คงเพราะเผือกไม่ได้มีเยอะเหมือนก่อน ขณะแขกกำลังวุ่นวาย บัวลอยเดินบิดสะโพกเข้าหลังครัว คุ้ยกระบวยในหม้อแล้วถามว่าใครคุมหม้อนี้
สาวกูดวาดนิ้วชี้ลำยอง
ลำยองหนุ่มใหญ่ผมยาวแซมขาวขมวดมวยเหมือนฤๅษี เงินเดือนหกร้อยเข้าแถวรออีกสามปี เมาเช้าค่ำจนคนเรียกลำยอง เพิ่งสามปีมานี้ที่เลิกขาด หมอสั่งว่าเลิกเหล้าดีกว่าจะได้อยู่รับเบี้ยคนชรา ช่วงว่างงานมาสมัครเป็นพ่อครัวช่วยสาวกูดตามงานบุญ ลำยองยืดอกรับผิด ใต้หน้ากากอนามัยนั้นไม่มีใครรู้ว่าปากยกยิ้มหรือห้อยตก เงียบเป็นนิสัยในสมรภูมิหลังครัว ตั้งจุดประจำการของตัวเองสุดเขต พ้นไปก็ตกบิ้งนาแล้ว
บัวลอยอายุพอกัน แต่งชุดที่ดูออกว่ามีไว้ใส่ในงานเท่านั้น ผ้าถุงลายดอกแก้วนาหมื่นศรีซึ่งกลับมานิยมกันอีกครั้ง เมื่อก่อนมีแต่ทอขายไม่มีใครใส่ใจจะเอามานุ่ง แต่งหน้าทาปากแดงแต่ปิดไว้ด้วยหน้ากากอนามัยทำมือลายดอกไม้ เรือนร่างมีทรงมีเอว อายุปูนนี้ทรงแบบนี้ถ้าไม่ขี้เหนียวกินก็คงเป็นสาวแก่ขึ้นคาน
แขกเหรื่อสวมหน้ากากอนามัยมางานแบบหวาดระวัง ข้อห้ามรวมตัวชุมนุมป้องกันโรคระบาดนั่นคนเชื่อ แต่ความตายไม่อาจห้ามได้ สมัยก่อนเก็บศพหลายวัน มีเวลาเตรียมตัวจัดงานออกบัตรเชิญ ประหลาดแท้ สมัยนี้ตายปุ๊บจัดงานปั๊บ แขกเหรื่อต้องเดินตามข้อกำหนด เจ้าหน้าที่อสม.ตั้งซุ้มยิงหน้าผากวัดไข้ บีบเจลล้างมือคนละปึ๊ด โต๊ะจีนกลมๆ ที่เคยนั่งแปดก็เหลือสี่คน รับข้าวกล่องชุดอาหารตามธรรมเนียม จะนั่งกินก็ได้ จะถือกลับบ้านก็ตามใจ ใส่ซองรับของชำร่วยกลับไปตามธรรมเนียม
เจ้าภาพสาวใหญ่นิ้วเด้งชี้ลำยอง ไม่ทันถามไถ่ว่าหัวเผือกหมดตลาดนาโยงหรือไง แววตาลำยองคล้ายคนเคยคุ้น แทนที่จะถามเรื่องเผือก เธอกลับบอกให้เปิดผ้า
“ยังไม่ทันค่ำ จะให้เปิดผ้ากลางคนเสียแล้ว” ลำยองทำหน้าทะเล้น
เจ้าภาพสาวแก้มแดง รู้ตัวว่าเข้ามวยหลวม จึงแก้เก้อเปิดผ้าตัวเองให้ดู พอหน้ากากอนามัยเปิดออก จมูกปากดวงตาก็ต่อจิ๊กซอว์ครบ ฟ้าจึงผ่ากลางหัวลำยอง ตาค้างเบิ่งราวถูกผีหลอกกลางวัน เหลือไม่ถึงคืบตะวันลับฟ้า แต่ไอร้อนวูบวาบยิ่งกว่าไฟเตา ลมแล้งเดือนห้าพัดหอบภาพทรงจำกลับมา
“อีบัวลอย นี่งานศพพ่อมึงเหรอ”
ลมแล้งเดือนห้าพัดความทรงจำมาเยือน หมุนย้อนไปสามสิบรอบเดือนห้า เหมือนลูกลมแถวนาหมื่นศรีหมุนสะบัดหางพลางส่งเสียงครางไล่นก หลังหมดหน้านาลูกลมถูกปล่อยทิ้ง ในปีแรกที่มีคนคิดประกวดลูกลม ลำยองควบรถกระบะไมตี้เอ๊กซ์สีเขียวข้ามเขาพับผ้ามาถึงนาโยง
ถนนสองเลนบนเขาพับผ้าบอกเล่าความท้าทายผ่านปากคนขับรถที่เคยผ่าน ลำยองเคยผ่านไปตอนกลางคืน จึงเห็นเพียงเส้นถนนคดเคี้ยวในแสงไฟหน้ารถ ค่ำนั้นเขาแต่งตัวออกจากพิปูนตอนค่ำ ขับไปเรื่อยๆ จนถึงพัทลุงแล้วเลี้ยวขวาข้ามไปฝั่งอันดามัน จะมีถนนเส้นไหนน่ากลัวกว่าเขาพับผ้า ลำยองส่งเข้าประกวดอีกสองสามเส้น เขานางหงส์ทางขึ้นฝั่งทับปุดข้ามไปท้ายเหมือง ถนนแคบเลาะขึ้นภูเขา ทางคดแคบรกเรื้อด้วยป่าไผ่และศาลพระภูมิข้างทาง อีกเส้นเป็นทางลงเขาศกไปสู่ตะกั่วป่า โค้งหักศอกบนไหล่เขาบางช่วงตั้งบนปากเหว อีกสายจากพนมวิ่งเข้าพุนพิน ที่น่ากลัวเพราะลำยองเคยหลับในผ่านเส้นนี้มาแล้ว ขณะรถไต่อยู่บนภูเขาเหมือนเคลิ้มฝัน หักหลบหลีกรอดไปได้ทุกโค้ง ตื่นอีกทีเมื่อรถจอดนิ่งที่ปั๊มน้ำมันตรงกม.สิบแปด ลับดับภาพเลือนรางในหัว เขามาจากไหนแล้วกำลังจะไปไหน เมื่อลำดับเรื่องได้จึงยกพ่อท่านทองที่แขวนคอประนมจบหน้าผาก
ขับทั่วภาคใต้แล้ว แต่แปลก เขาไม่เคยผ่านเข้าเมืองตรัง จากพุนพินขับผ่านเขาหลักพ้นไปพังงาจนถึงภูเก็ต วนกลับมาถึงลำทับแล้วเลี้ยวไปนคร เห็นป้ายชี้ว่าตรงไปข้างหน้าเป็นตรังแต่ไม่เคยผ่าน ถ้ามาจากสตูลผ่านปะเหลียนถึงสามแยกเลี้ยวออกกะช่องขึ้นเขาพับผ้า ถ้าขับจากทุ่งสงผ่านกะปางถึงแยกอันดามันเลี้ยวซ้ายไปห้วยยอด แล้วจึงลัดเลาะถึงท่าปาบก่อนจะผ่านนาโยง ตรังเชื่อมต่อหมดสี่ทิศ เป็นทางผ่านจากอ่าวไทยไปอันดามัน แต่บางครั้งหลงหูหลงตาผ่านไปเฉยๆ
ปีนั้นลุงของลำยองรับงานฆ่าคน วางแผนให้ลำยองขับรถสำรวจเมืองตรังทุกซอกทุกมุม ลงเขาพับผ้าตอนดึก ลำยองจอดพักข้างป้อมตำรวจนาโยง หลับในรถแล้วตื่นมาสูดอากาศยามเช้า เห็นทางตรงเข้าทับเที่ยง คราวนี้แผนที่ในใจคงขีดครบจบกันทุกเส้นแล้ว
เส้นทางหลักทะลุทะลวงหมด ทุกตรอกซอกซอยในทับเที่ยง ใช้วิชาพอสมควรกว่าจะผ่านถนนวันเวย์ย่านเมืองเก่า กว่าจะวนหอนาฬิกาแล้วไม่หลง กว่าจะผ่านไปทางกระบี่ได้โดยไม่หักเลี้ยวหลงออกนครอีก กินราดหน้าทะเลร้านล่อคุ้งที่กันตังสองสามรอบ ลงแพรับลมแม่น้ำข้ามไปฝั่งโน้น ถามทางไปจนถึงปากเมง ระหว่างนั้นแวะถามซื้อที่ดินไปเรื่อย กลับเข้าทับเที่ยงเจอหอนาฬิกาแล้วสบายใจ หักล้อเลี้ยวไปที่สถานีรถไฟสักพัก ไม่สวยเหมือนสถานีกันตัง แค่ลงไปนั่งในชานชาลาทำทีเป็นกำลังรอรับผู้โดยสาร ยืนมองห้างลีมาร์ทแล้วข้ามถนนไปเดินบนตึกเก่าเหงาหงอย ขอต่อบุหรี่กับคนขับรถตุ๊กๆ หัวกบ สูดจนหมดมวนแล้วเลี้ยวเข้าไปในตรอกเล็กแคบ ซื้อบะจ่างที่หลบมุมขายอยู่ในตรอก แล้วขับผ่าไปทางศาลาว่าการ ตอนนั้นยังไม่มีรูปปั้นปลาพะยูน แต่ก็จำเนินเขาสวนพระยารัษฎาฯ ได้แม่น ระวังอย่าเลยไปกระพัง เลี้ยววนอ้อมเนินเขา ถึงแยกแล้วตีไฟเลี้ยวซ้าย
ตอนนั้นยังไม่มีโรบินสัน ไม่มีเค้กหอมฟุ้งกับหมูย่างรายทาง ขับผ่านถนนเส้นนั้นไปหยุดที่นาโยง ตามแผนการของลุง สร้างพยานที่อยู่และจดจำเส้นทางหนีทีไล่ให้ครบ ลำยองทำเหมือนเดิมทุกวัน กระทั่งวันนั้น บางอย่างกลับไม่เหมือนเดิม
วันที่ลำยองพบบัวลอย
บัวลอยไม่ใช่ชื่อจริงหรอก เธอเกลียดขนมบัวลอยที่ลำยองซื้อไปฝาก ลำยองจึงแกล้งเรียกเธอด้วยชื่อนั้น
พอดึงหน้ากากลงบัวลอยกลับอึกอัก ดึงปิดกลับไปใหม่ ปกติคำพูดคำจาไม่ลดราวาศอก แต่คราวนี้เก็บปาก คำจะพูดติดอยู่ปลายลิ้น ถ้อยจะบอกแน่นจุกคอ
บัวลอยยังเหมือนเดิมแต่มีริ้วรอยของวัยวันมากขึ้น ผัดหน้าทาปาก สักคิ้วสามมิติ มองไม่ทันว่าฟันยังเต็มปากหรือเปล่าแต่สวยกว่าเมื่อก่อน แน่สิ สมัยก่อนอยู่กลางทุ่ง หน้าตาปล่อยตามธรรมชาติ สวยนั่นไม่ว่ากัน แต่สวยแบบไม่แต่งเติม อย่างว่า วัยปลายห้าสิบ ไม่แต่งเติมคงหง่อมหย่อนยาน เสียแต่ชุดที่ใส่นั่นรีบแก่เกินไป
ลำยองทรุดนั่ง ใจเต้นตึกตัก รักหรือนี่ นี่ยังเป็นรักหรืออะไร
ฟันเหลือแค่แถวหน้า กรามหายทั้งบนล่าง หน้าดำเกรียมเหล้าจางหายไปบ้างแล้วแต่ยังคล้ำหมอง ไม่ใช่หนุ่มหน้าใสเหมือนวันขับรถลงเขาพับผ้า แดดนาแผดเผาใจจนหมองไหม้ ไฟรักไฟสวาทเหือดแห้งไปพร้อมซังหน้าแล้ง กับเวลาสามสิบปี กับคำพูดทิ้งท้ายว่าตายไปไม่เผาผี ไม่น่าเชื่อเจอกันวันนี้ใจยังเต้นตึกตัก เลือดสูบฉีดราวซดเหล้าดองปลาไหลเผือก ทรุดนั่งบนที่ประจำ บนเตามีหม้อต้มอะไรอยู่ไม่รู้แล้ว ใส่อะไรไปบ้างไม่รู้แล้ว สาวกูดตะโกนเย้าว่าไอ้ลำยองเจอแฟนเก่าเข้าไปถึงกับต้มแกงไม่เป็น แม่ครัวร่วมโห่ฮาหัวร่อกัน แต่ลำยองไม่สนุกแล้ว กวักมือเรียกสาวกูดให้เฝ้าหม้อแทน ตัวเองเดินลัดทุ่งอ้อมไปหน้าวัด ฉวยรถเครื่องบิดกลับบ้าน
ขับผ่านทางนาหมื่นศรีที่ตอนนี้ร้านรวงหลังคาจากเรียงราย ลูกลมนับร้อยเรียงกันไปตลอดถนน ส่งเสียงโหวกๆ ไล่นกในความฝันก้องหู ตะวันลับฟ้าพอดี ลมร้อนคลายลง ลำยองขับรถเลื่อนลอย ลัดเลาะไปถึงเขตแดนอีกตำบล แวะร้านชำก่อนแยกเข้านาตัวเอง หลังหมอสั่งห้ามลำยองไม่ได้เฉียดร้านนี้บ่อยนัก แต่วันนี้ตรงรี่หาสิ่งคุ้นเคย ยกนิ้วชี้บอกแม่ค้า แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ เปิดตู้แช่หยิบเบียร์ช้างขวดใหญ่
บัวลอย พ่อมึงตายแล้วเหรอ งั้นมึงกับกูจะเอาอย่างไร คำถามเร้าระหว่างรินเบียร์
เพลงแหร้างเบ็ดร้ายที่เปิดคลออยู่เปลี่ยนเป็นรักแล้งเดือนห้า เจ้าของร้านเลื่อนหน้าจอโทรศัพท์ค้นหาเพลงได้ทันใจในยูทูป ยิ้มราวรู้ว่าลำยองเจออะไรมา เออ มึงไม่มีรักไม่รู้หรอก หนุ่มใหญ่วัยห้าสิบกว่าเหลือบตามองแม่ค้าวัยหกสิบกว่าแล้ววาดหางตากลับมาจ้องมองฟองฟอดในแก้ว
ยาความดันในกระเป๋าซ้อนทับแก้วเบียร์ ใจหายวับ ไม่เป็นไร อย่างไรความดันพุ่งทะลุเพดานอยู่แล้ว
บัวลอยอาศัยอยู่กับพ่อแม่แถวนาข้าวเสีย ถนนเพชนเกษมแบ่งอำเภอนาโยงที่สมัยก่อนเรียกว่านาสามแปลงนี้ออกเป็นสองซีก นาหมื่นศรีอยู่อีกฝั่งหนึ่ง นาปดนาข้าวเสียอยู่อีกฝั่ง ลำยองขับวนไปทั่วๆ เจอที่ดินสวยแถวนาปดแต่นายหน้ามีหลายคนเกิน
ลุงซักซ้อมแผนให้หาคนในพื้นที่นำทาง ให้มีพยานบุคคลยืนยัน เจรจาซื้อขายกันจริง แต่ไม่ตกลงซื้อ ลำยองเช่าบ้านในเมืองแล้วเริ่มงานเหมือนเดิมทุกวัน เช้านั้นเขาขับรถถึงสี่แยกนาปด บัวลอยขับรถเครื่องอาร์ซีมาจากแยกทางซ้าย เขาหยุดรถให้เธอผ่าน ตอนนั้นยังไม่มีปฏิกิริยาเคมีวูบวาบ ครั้นอีกวันทุกอย่างลงล็อคเดิม เหมือนภาพเดจาวู คนบนเบาะรถสลักแน่นในสายตาติดไปตอนฝัน จากนั้นเป็นหนังฉายซ้ำครบเจ็ดวัน ลำยองบีบแตรแล้วตะโกนถาม เธอไม่ตอบแต่ขับผ่านสี่แยกแล้วจอดรอ ลำยองขับรถเทียบแล้วถามด้วยบทสนทนาที่ซักซ้อมมาตลอดเดือน ตรงไหนมีที่ขายบ้าง
“มีอยู่แปลงเดียว แต่ขายแพง” บัวลอยยักคิ้ว เหลือบมองไมตี้เอ็กซ์สีเขียวแวบหนึ่ง
“ว้า มีเบี้ยเต็มกระเป๋า ซื้ออะไรได้มั่ง” ปากแบบนี้ลำยองชอบนัก
“คงพอซื้อหมูย่างได้มั้ง” เธอใส่เกียร์ออกรถ
เรื่องราวเริ่มต้นแบบนั้น เธอช่วยพ่อย่างหมูอยู่แถวป่ายาง เรียกตรงนั้นตามภูมิศาสตร์ซึ่งยางนาต้นใหญ่ขึ้นเป็นดง พ่อเธอเป็นมือเชือด มีดเล่มใหญ่เหน็บอยู่ในฝักสีฟ้าข้างเอว ผิวเข้มหนวดดก เป็นเสือยิ้มยาก กรีดเนื้อเป็นลูกเต๋าอย่างฉับไว บัวลอยคลุกเคล้าเครื่องเทศแล้วส่งต่อให้พี่ชายของเธอที่หน้าเตา
ลำยองมีเงินเต็มกระเป๋าตามที่โม้ไว้ สั่งหมูย่างสองตัว มารับในอีกวันแล้วแจกตามรายทาง เขาทำงานตามปกติ แต่ระหว่างนั้น บัวลอยได้ปรากฏดวงหน้าในฝันของเขาทุกคืนเสียแล้ว ที่ดินซึ่งเขาถามซื้อจึงกลายเป็นความฝันลึกๆ ที่เขาอยากมีมันจริงๆ
พ่อของบัวลอยเข้าใจคำว่านายหน้าดี เหมือนโกย้งเจ้าของโรงย่างหมูนี่แหละ แกมีฟาร์มเองทั้งยังขายอาหารหมูให้ฟาร์มแถวนั้น รับซื้อหมูเป็นมาเชือดย่าง แถมยังจ้างเจ้าของฟาร์มมาช่วยย่างหมู แกอยู่ในสถานะที่คล้ายนายหน้า เงินผ่านมือ เหลือส่วนหนึ่งตกบนตักโดยเหนื่อยน้อย พ่อรับปากจะถามหาที่ดินให้ แต่ทำไปทำมาเป็นบัวลอยมากกว่าที่ได้นั่งคู่เบาะหน้ากับเขา วันหนึ่งเขาซื้อบัวลอยมากฝาก ขนมมีตั้งเยอะแยะแต่ดันเลือกของที่เธอเกลียดมา ลำยองไม่เชื่อว่าจะมีใครเกลียดกลัวบัวลอยขนาดมองยังไม่กล้า เขาจึงล้อเธอด้วยชื่อนั้น
แล้วลำยองก็ติดอยู่ที่นั่นตลอดชีวิต งานไม่สำเร็จ ลุงจนแต้มตำรวจ ตามแผนลำยองต้องอยู่ทำตัวปกติสักพักค่อยหนี แต่ลุงและพวกถูกยิงตายหมด ลำยองไม่ต้องทำตามแผน แต่ถึงลุงไม่ตายลำยองคงอยู่ต่อ ขณะวิญญาณลุงเดินตามพยายายม แกคงรู้ว่าหลานติดกับเสียแล้ว ที่ดินแปลงหนึ่งดึงดูดเขาไว้
เบียร์หมดขวดในสองทีริน นั่นเป็นความรักหรือ เวลาไม่กี่เดือน ขาข้างหนึ่งติดหล่ม แล้วไม่กี่อึดใจทั้งร่างก็จม ติดอยู่สามสิบปีโดยไม่รู้ตัว
อีกสักขวดจะเป็นไร เมาให้เหมือนหมาแล้วคลานไปดูหน้าบัวลอย
ตกดึกลมเดือนห้าพัดฉ่ำ ช้างหมดไปห้าขวด พรุ่งนี้พนันสิบต่อหนึ่งว่าท้ายทอยระเบิด ตอนนี้ก็เถอะ ปวดตุบๆ แล้ว ลำยองลุกขึ้นจ่ายเงิน โซเซสตาร์ทรถ เลื้อยส่ายง่อกแง่กไปวัด
แขกหมดงานเหลือแต่เจ้าภาพสองสามคน ลำยองตรงไปหน้าศพ จุดธูปหนึ่งดอกประนมมือ นึกเห็นหน้าคนนอนในโลง คนที่บอกว่ามึงไม่ต้องมายุ่งกับลูกสาวกู โถพ่อ ผิดหวังที่ไม่ได้เป็นนายหน้าเหรอ หรือโกรธแค้นที่ลำยองมาจากฝั่งภูเขาโน้น มันคนละเรื่องเชียวนะ ลุงเป็นคอมมิวนิสต์เก่า ไม่เกี่ยวกับลำยองเลย น้องชายพ่อตายก็ไม่เกี่ยว แต่คืนนี้เราอโหสิกันนะ ลำยองคร่ำครวญในใจก่อนปักธูปในกระถาง
ลุกขึ้นหันหลังเจอบัวลอยยืนจ้อง ผลัดเป็นผ้าถุงเสื้อยืดเตรียมนอน ภาพเก่าเลือนๆ ไปแล้ว มันใช่คนที่เขามัดจูบในรถหรือเปล่า หลังจากเทียวไปเทียวมาจนสนิทสนม ลำยองเช่าบ้านที่ตรอกศาลเจ้าในนาโยง ขณะขับรถยังไม่พ้นตลาด เธอพูดถึงที่ดินแปลงของพ่อที่ทิ้งร้างนานแล้ว ขับขึ้นไปทางเหมกน้อยชนภูบรรทัด เป็นพื้นที่เคลื่อนไหวของทหารภูเขา พ่อไม่อยากไปดู แกเล่าเรื่องทหารป่าลงมาหมู่บ้านแล้วข่มขู่ใครก็ตามที่เป็นสายนาย มีเหตุปะทะยิงหลายศพ เรื่องเล่าราวหนังคนละม้วน
ลำยองแย้งว่าเรื่องแบบนั้นน่าจะเป็นฝีมือของนายมากกว่า ไม่รู้ละ บัวลอยบอกว่าพ่อเล่าแบบนั้น หรือฉันสับสน จำได้แต่ภาพที่พ่อบอกว่ามุดหลบกระสุนเข้าไปในท่อ กระสุนเหมือนห่าฝน ขณะที่ฝนกระหน่ำจริง น้องชายพ่อโดนยิงไปต่อหน้า ศพลอยน้ำผ่านท่อ พ่อเอื้อมไปลากศพน้องไม่ได้ กระสุนไม่เว้นระยะให้ ลุงป้าน้าอาคนอื่นดึงหลังออกอีกฝั่ง คลานต่ำบังคันนา ทิ้งศพน้องให้เน่าตรงนั้น พ่อจึงไม่อยากไปยุ่งกับที่ดินผืนที่ว่า
งั้นเราไปเที่ยวดูไหม ถ้าไม่ชอบพ่อคงยอมขายถูกๆ
ถนนยังเป็นดินแดง ทางวกวนหลงจนอ่อนใจ บัวลอยจำได้ว่ามันติดกับน้ำตกเลยทีเดียว มีป่าไผ่ให้สังเกต ก่อนทางขึ้นมีคอกวัวของใครไม่รู้ ที่ดินแปลงสวยหลบอยู่ในป่า แต่ต้องหาทางเข้าให้เจอ
แดดร้อนแต่ในรถเย็นลมแอร์ ปากคะนองพูดไปเรื่อย ถ้าได้เป็นลูกเขยคงไม่ต้องซื้อหรอก คนฟังก้มหน้า แก้มแดงเป็นตำลึง ลำยองจอดรถข้างกอไผ่แล้วจู่โจมเข้ากอดจูบจนบัวลอยร้องลั่น
บัวลอยยืนจ้องหน้านิ่ง คำว่าตายไปอย่ามาเผาผีมันยังฝังแน่นในหู จริงๆ เธอไม่ได้คิดแบบพ่อ เรื่องที่เป็นให้มันเป็นไป เรื่องอื่นหลอกลวง เรื่องนายหน้า เรื่องซื้อที่ดิน จอมโกหกคนนี้แค่ดูต้นทาง ขับรถไปทั่วดูทางหนีทีไล่ เขาโดนลุงหลอกมาอีกที จากแผนที่ว่าจะรับงานฆ่า กลายเป็นลุงวางแผนชิงตัวน้องชายที่จะถูกส่งตัวไปบางขวาง แผนคือเข้าดักปล้นรถตำรวจที่ทับปุด รถเรือนจำวิ่งออกมาจากภูเก็ตต้องผ่านทางนั้น ดูที่ทางหมดทุกจังหวัด รู้จักหมดทุกซอย แต่ใครจะรู้ ลุงเป็นทั้งโจรปล้นและมือปืนรับจ้าง คอมมิวนิสต์เก่าเสียด้วย นี่แหละที่พ่อยิ่งโกรธ แต่มันผ่านไปแล้ว ข่าวรถนักโทษโดนปล้นดังไปทั่ว ลำยองสารภาพเรื่องทั้งหมดแล้วเป็นเถ้าแก่ให้ตัวเอง เอ่ยปากกับพ่อขอบัวลอยแต่งงาน เธอจำบรรยากาศวันนั้นได้ พ่อหนวดกระดิก กัดฟันพูดว่าเป็นบุญแล้วที่กูไม่แจ้งตำรวจ
ลำยองไม่จบเพียงแค่นั้น เขาดิ้นรนจนซื้อที่ดินได้แปลงหนึ่งจริงๆ แล้วลงแรงทำนาจริงๆ ผูกมิตรกับเพื่อนบ้านจริงๆ ถัดไปไม่ไกลจากนาหมื่นศรี เขากลายเป็นชาวนา เป็นคนในพื้นที่ เพียงจะพิสูจน์ว่าเขารักจริง
รักหรือ นั่นใช่ความรักหรือ บัวลอยไม่แน่ใจ แต่ผ่านไปเกือบปี กว่าลำยองจะบากหน้ามาขอแต่งงานอีกที คราวนี้เรื่องจบแบบเด็ดขาด พ่อบอกว่าลูกสาวจะแต่งงานกับช่างเชื่อมเหล็กคนแรกของหมู่บ้าน
จบ หลังจากนั้นเหมือนตายจาก สายลมในทุกฤดูของนาโยงไม่ส่งข่าวระหว่างกัน
ลำยองมองคนรักเก่า ยืนตรงหน้าไม่ใช่ผี หวังอยู่ตลอดว่าจะได้ยืนต่อหน้ากันอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าจะในสภาพนี้ ผมหงอกแซมหัวกันทั้งคู่ ผัวมึงไปไหนละ
“กูไม่เคยมีผัว” บัวลอยพูดเบาๆ เสียงแผ่วราวกับลอยจากฝัน
ลำยองล้มครืน พับลงไปราวนักมวยโดนเตะก้านคอ
ในฝันปรากฏภาพคืนงานแต่งของบัวลอย ลำยองไม่ได้รับเชิญหรอก ได้ยินเพื่อนบ้านเขาพูดกัน คืนนั้นฝนฟ้าหนัก น้ำแทงคันนาพัง ข้าวที่เพิ่งดำตกอยู่ในอันตราย แต่บัวลอยทิ้งมันแล้วอาบน้ำแต่งตัวนั่งดื่มเหล้า เจ้าของร้านเปิดเพลงแสงสุรีย์ รุ่งโรจน์เป็นแบคกราวน์ ฟังเสียงไชโยโห่มา ขันมากผู้ดีมีหน้า แห่แหนกันมาอึงมี่ รอจนดึกดื่นบัวลอยควบรถผ่าฝนข้ามเขตไปบ้านงาน
ตอนนั้นเรื่องราวจบลงปีกว่าแล้ว แทบไม่มีใครรู้ว่าลำยองมีส่วนร่วมกับเรื่องไหน ตำรวจสาวไม่ถึงคนดูต้นทาง ซื้อที่ดินแปลงสวยบนภูเขาไม่ได้ ลำยองขายรถไมตี้เอ็กซ์แล้วหาซื้อที่นาเขตรอยต่อนาโยงเหนือกับละมอ เป็นที่นาร้างรกไปด้วยกก เจ้าของขายถูก อย่างไรก็ทิ้งไว้เฉยๆ หน้าตามันไม่สวย ถนนห่างจากหลักเขตแค่ห้าเมตร เป็นที่ดินตาบอดโดยสมบูรณ์ ดีว่าหน้าดินฝั่งหนึ่งติดป่าสงวนชุมชน พอจะเดินลัดลงนาได้ ลำยองบุกป่ากกพบน้ำที่ขังตลอดปี มีปลักเล็กๆ ซึ่งคนแถวนั้นวิดปลาอยู่ประจำ ลำยองได้คนหาปลาเป็นเพื่อน แล้วช่วยพัฒนาที่ ค่อยๆ ถากถางกก ค่อยๆ ตกแต่งวันแล้ววันเล่า กระท่อมผุดขึ้นที่เกาะกลางนา ถึงเดือนแปด ลำยองตีเทือกพร้อมดำ ปีแรกไม่ราบรื่น ข้าวกล้าไม่สมบูรณ์ แรงงานไม่พร้อม คนภูเขาแบบลำยองทำงานนามันแทบจะเหลือแรงแบก แต่แค่อยากพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้หลอกลวงเหมือนที่พ่อบัวลอยชี้หน้าด่าไว้
เกือบสี่ทุ่มฝนซา ลำยองไม่ให้เสียชื่อคนพิปูน เขาเก็บปืนไว้ตลอด แน่ละ คนต่างถิ่นจะกล้าอยู่นาคนเดียวได้อย่างไร เหน็บปืนขับรถไปบ้านงาน เสียงดนตรีดังตึบตับแน่นอกขึ้นทุกขณะที่เข้าใกล้
บัวลอยยังแต่งหน้าเข้มจัดแต่เปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดแล้ว ผมเกล้ากระพุ่มแข็ง สีหน้าเหนื่อยเอาแต่พยักหน้าฟัง เจ้าบ่าวเฮอาอยู่กับเพื่อน ในงานเหลือแค่ญาติทั้งสองฝ่าย ไม่นับบรรดาขาเมาที่เต้นกันอยู่หน้าเวทีดนตรีชาโดว์เล่นเพลงสามช่าใต้หลังคา
ลำยองเดินพลางเต้นพลางจากหน้างานไปถึงเวที ไม่มีใครใส่ใจโคลนที่เลอะขา ดิ้นจนเหงื่อหยดปลายจมูกแล้วหลบเข้าหาน้ำดื่ม ล้างหน้าล้างตาแล้วเดินตรงรี่หาเจ้าสาว เจ้าบ่าวยังไม่รู้เรื่องราว แต่พ่อบัวลอยปราดมาแต่ไกล กางแขนขวางลำยองไว้ พูดอะไรสองสามคำ ลำยองหูอื้อได้ยินไม่ชัด ไม่ได้ยินว่าตัวเองพูดอะไรออกไปบ้าง มีคนเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยสองสามคน ทั้งเจ้าบ่าวและเพื่อนเข้ามายื้อยุดผลักอกไปมา ลำยองจำได้ว่าชักปืนยิงแสกหน้าเจ้าบ่าวไปหนึ่งนัด แต่ในมือกลับมีแต่ลม ปืนตกหล่นไปตอนขับรถระหว่างทางโน่นมั้ง จำได้เลาๆ น่าจะมีลงไม้ลงมือ มีลากโยนหรืออะไรทำนองนั้น
ตื่นมาตอนเที่ยงของอีกวันที่ขนำตัวเอง แสดงอภินิหารเหาะกลับมาเชียวหรือ ปวดหน้าปวดตา ฟันกรามหักไปสองซี่ แขนเดาะ ซี่โครงช้ำ ในหัวเห็นภาพตัวเองชักปืนยิงเจ้าบ่าวอย่างเท่ แต่สภาพจริงเละเทะ ยังไม่ได้ดูแลตัวเองต้องฝืนออกไปคว้าจอบแต่งหัวนา แต่ไม่ไหว น้ำเต็มในแปลงกล้าลอยฟ่อง ในฝันถือปืนท้ายิงเจ้าบ่าวหน้าบ้าน เจ้าบ่าวไม่ออกมาสู้ มันแพ้ มึงแพ้แล้ว พระเอกกลับมาดูข้าวในนา เหมือนภารกิจหัวใจเสร็จสิ้น แล้วไม่ใส่ใจอีก ข้าวในนาคือชีวิตที่ต้องใส่ใจ ในฝันเป็นหนังคนละม้วน ชีวิตจริงพระเอกแพ้ราบคาบ
ภาพสุดท้ายก่อนตื่นเป็นกอข้าวลอยปริ่มบิ้งนา
ลำยองตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง แน่ละสิ น๊อคหลับไปไม่ทันรู้ตัว นอนอยู่บนที่นั่งพระในวัดนั่นแหละ ได้หนุนหมอนและห่มผ้าอย่างดี งัวเงียตื่นเห็นคนสองสามคนเดินไปมา บรรดาเจ้าภาพคงเริ่มงานเตรียมทำอาหาร ป่านนี้สาวกูดคงด่าโคตรลำยองอยู่ข้างหลัง
บัวลอยเดินมาหยุดตรงหน้า ดึงหน้ากากอนามัยไว้ใต้คาง เห็นหน้าเธอชัดๆ แล้วต้องหลบตา ไม่ได้เขินอย่างหนุ่มสาว แต่อาย ทำอะไรไปบ้างนะเมื่อคืน
“หิวไหม” บัวลอยถาม
คำถามธรรมดาแต่จุกแน่นในอก กี่ปีที่ผ่านมาไม่เคยมีคำถามแบบนี้ ชีวิตที่โดดเดี่ยวกับสภาพเมาเละจนคนเรียกลำยองเป็นชื่อจริง ขนำที่ยังเป็นแค่ขนำมาตลอดเพราะไม่เคยได้นอน ลำยองพูดให้เพื่อนฟังบ่อยว่าจะมีบ้านสบายไปทำไม ในเมื่อเมาหลับอยู่บนลานดินทุกคืน
“เมื่อคืนกูพูดไรไปมั่ง”
“ไม่ร้ายเท่าคืนแต่งงานกูหรอก”
หลังคืนแต่งงาน ลำยองตัดขาดจากโลกฝั่งนี้ เขาไม่ผ่านมาอีกเลย ทั้งยังไม่รับรู้อะไร ฝังตัวอยู่ในทุ่ง ทำนาและรับจ้างไปเรื่อย กลับบ้านเกิดไม่เกินสองครั้ง งานศพพ่อแม่ บางคืนผีพ่อแม่ยืนเรียกข้างคันนา แต่ลำยองไม่ได้เป็นคนของที่โน่นอีกแล้ว เขาเป็นคนทุ่ง ตราไว้เฉพาะว่าเป็นคนทุ่งฝั่งนี้ เกิดอะไรกับบัวลอยไม่เคยรู้
บัวลอยนั่งลงใกล้ๆ ราวภาพฝัน ลำยองเคยฝันเห็นภาพบัวลอยมาปลุกให้กินข้าว แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ฝัน ใกล้และจริงจนได้กลิ่นแป้ง ใกล้จนเห็นรอยยับที่ลำคอ ฝ้าบนแก้มและผมขาวแซมทั่วหัว มือนั้นเหี่ยวและตกกระ สามสิบปีของมึง ไม่ได้สุขสบายอย่างที่คิดเหรอ
“ลูกๆ มึงละ” ลำยองถาม ลุกขึ้นนั่งห้อยขา ห่างกันสักช่วงแขน
“มึงนี่” บัวลอยส่ายหน้า จากนั้นลำยองจึงได้รู้เรื่องที่ไม่เคยรู้
มึงคิดว่าใครจะเอากูอีก หลังจากมึงประกาศกลางงานว่ามึงได้กูที่ขนำนาตรงนั้นตรงนี้ นั่นแหละ เรื่องที่ลำยองหูอื้อไม่ได้ยินคำที่ตัวเองพูด เจ้าบ่าวเก็บของกลับตอนรุ่งเช้า สินสอดยกให้ แต่วันหลังพ่อเอาไปคืนให้หมด บัวลอยเป็นนางสาวตลอดสามสิบปี
“ทำไมมึงไม่ข้ามทุ่งมาบอกกู”
“พ่อจะยิงมึงตายสิ”
ตอนนี้พ่อตายแล้ว หัวหงอกกันแล้ว ไม่ต้องฟังใครกันแล้ว ลำยองเขยิบเข้าไปใกล้
“มึงละ ทำไมไม่ข้ามทุ่งมาหากู”
“พ่อมึงจะยิงตายสิ”
บัวลอยยิ้ม ยิ้มมุมปากแต่ก็เป็นยิ้ม ลำยองใจชื้น ขยับไปใกล้อีกนิด
“มึงได้เงินเยียวยาไหม” บัวลอยถาม
ลำยองฉุนปรี๊ดขึ้นสมอง แต่หัวเราะ มึงจะมาถามอะไรเรื่องนี้ ดีนะไม่ถามว่าได้เงินหกร้อยยัง เออ กูมีบัตรคนจนด้วย บัวลอยบอก ไว้ซื้อผงซักฟอกเดือนสามร้อย หลังจากโควิดระบาดรัฐบาลจ่ายเงินเยียวยาให้คนละห้าพันต่อเดือน ลำยองไม่เคยลงทะเบียนอะไรกับเขาเลย
“มึงรู้ไหม กูไม่เคยลงทะเบียนอะไรเลย กูไม่เอาอะไรจากรัฐบาลนี้” ลำยองถามว่ามึงเคยไปเที่ยวนาหมื่นศรีไหม ที่เขาทำร้านขายของแล้วคนไปนั่งห้อยขากินข้าวถ่ายรูปยังกะไม่เคยเห็นนา บัวลอยพยักหน้า บอกว่าเพิ่งได้ไปไม่กี่วันนี้ เออ เขาทำใหม่แล้ว มึงรู้ไหม ใครเป็นคนขายของคนแรก กูนี่แหละ ลำยองเล่าว่าตอนนั้นมีคนไปปลูกเพิงขายของที่ถนนชลประทาน ลำยองเป็นพ่อค้าคนแรก ถ้าบัวลอยเคยไปเที่ยว จะพบพ่อค้าข้าวต้มที่พูดมากแล้วของไม่เคยพอ วันเสาร์อาทิตย์คนมากันเยอะแยะจนของไม่เคยพอ ที่นั่งไม่เคยพอ มีแม่ค้าขนมจีนมาเพิ่ม มีของขายเพิ่มแต่ไม่เคยมีของพอปากลูกค้า
เรื่องของเรื่องคือลำยองเป็นคนที่คิดหาหนทางไปเรื่อย ทำนาไม่พอกินหรอก ต้องไปรับจ้างทำงานอย่างอื่นด้วย กระทั่งรู้จักกับสาวกูดที่รับทำกับข้าวในงาน จึงได้มีวิชาติดตัวแล้วหาลู่ทางขาย ไม่คาดคิดว่าที่ดินตรงนั้นจะสำคัญขึ้นมา หลังนักท่องเที่ยวบางคนโพสต์รูปลงเฟซบุ๊ค มีร้านค้ามากขึ้น มีที่กินที่ถ่ายรูปขึ้นมากขึ้น จากนั้นอบต.บอกว่าอยากให้ทัศนียภาพดี จึงต้องรื้อเพิงขายของ เปิดทางให้ร้านค้าใหม่ทุนหนา ลำยองและผองเพื่อนดั้งเดิมถูกเฉดหัว แต่เขาไม่ยอมแพ้ กลับมาทำที่บ้านของตัวเอง นาของเขาไม่ไกลจากนาหมื่นศรี มีนาเหมือนกัน เขาเหลาไม้ไผ่ปล้องใหญ่ ทำลูกลมตัวใหญ่ตั้งไว้ที่ขนำ ติดธงหลากสีมองเห็นแต่ไกล มันส่งเสียงร้องไล่นกทั้งวันแต่ไม่มีคนไปเที่ยว ตอนนี้ทางการตัดถนนผ่ากลางนาอีกแปลง ถนนไม่ถึงที่นาของลำยองเช่นเคย ถนนเส้นใหม่เกือบเอื้อมถึง การพัฒนาห่างจากลำยองห้าเมตรเสมอ
“คนมีก็มีอยู่ต่อไป”
ลำยองเล่าว่าเขาให้เงินเยียวยาเกษตรกรด้วย ไร่ละสามพัน คิดดู ตอนปกติ คนที่มีนายี่สิบไร่ก็ถือว่าคนมีใช่ไหม เรามีแค่ไร่เดียว พอได้เงินเยียวยา คนที่มีมากก็คูณเข้าไป เยียวยาเท่ากัน แต่ยังได้ไม่เท่ากันเหมือนเดิม กูเลยไม่เอามันสักอย่าง
“แล้วมึงพอกินไหม”
“คนเดียวมันก็พอ”
“ถ้าสองคนละ” บัวลอยพูดทิ้งท้าย ก่อนลุกขึ้น บอกเดี๋ยวจะหาข้าวให้กิน
ลำยองนั่งก้มหน้า มันพูดให้คิดอะไรหรือเปล่า ถ้าสองคน นั่นสิ เรี่ยวแรงกูก็หมดแล้ว บัวลอย พ่อมึงไม่มีแล้ว มึงข้ามไปที่นากูได้ไหม แต่ก็ได้แค่คิด
ข้าวต้มตอนเช้าซดคล่องคอ แม้จะเป็นแค่ข้าวเย็นเหลือๆ ต้มรวมกับหมูเกายุก กลิ่นฟุ้งเรียกน้ำย่อย
“มึงนอนตรงไหนเมื่อคืน” ซดข้าวพลางชวนคุย
“ก็ตรงนี้ ใกล้ๆมึง”
ช้อนแทบร่วง มึงกล้านอนเหรอ ไม่มีใครว่าเหรอ คนที่จะว่าอยู่ในโลงโน่นแหละ ข้าวต้มและบทสนทนาออกรสเมื่อคิดว่าเมื่อคืนได้นอนใกล้กัน เสียที่ไม่รู้สึกตัว ไม่แน่อาจจะพลิกมากอดปล้ำฟัดกันสักยก
เสร็จมื้อเช้าลำยองต้องรีบช่วยงานในครัว นี่เป็นวันเผา งานครัวเริ่มเช้า ลำยองวุ่นอยู่หลังครัวจนจบงานตอนเที่ยง เพลงพระเริ่มบรรเลง ลำยองได้เวลาร้องเพลงถอย รีรอให้บัวลอยหันมาเห็นแล้วทำมือไม้ส่งสัญญาณว่าจะกลับแล้ว บัวลอยหันหลังให้พิธี เดินไปดักหน้า
“ไม่เผาพ่อก่อนหรือ”
“แกบอกไม่ต้องเผาผี”
บัวลอยพยักหน้า แล้วถามขึ้นเองแบบที่ผู้ใหญ่ควรจะทำกัน
“มึงยังคิดว่าเราจะได้อยู่กันด้วยกันใช่ไหม”
ลำยองแปลกใจ แต่พยักหน้า
มึงฟัง แม่ตายก่อนพ่อหลายปี พ่อถือปิ่นโตไปวัดทุกวันพระ ถึงเดือนสิบ พ่อแกงส้มปลาดุกเล ทอดหมู ผัดผักกูดที่แม่ชอบ ดอกไม้ดาวเรืองและกล้วยไม้ นั่งยิ้มฟังพระสวด ยิ้มกับอากาศธาตุรอบวัด กระซิบถามว่ามึงอยู่แถวนี้ใช่ไหมอีฉิม ปีแล้วปีเล่า วันนี้แม่คงยืนรอพ่ออยู่แล้วที่บันไดเมรุ พ่ออายุเจ็ดสิบกว่า ยังรักแม่แม้ว่าตายไปแล้ว ยังทำเหมือนเดิมได้ตั้งแต่วันแรกที่แต่งงานจนตายจากกัน
“โชคดีแล้วที่เราไม่ได้แต่งงาน” บัวลอยพูดทิ้งท้าย
1
ลำยองกลับมาถึงบ้านตอนค่ำแล้ว เก็บอุปกรณ์ทำครัวเสร็จแล้วอยู่ต่อจนเผา จากนั้นยังนั่งเป็นเพื่อนศพจนค่ำ ทั้งบ้านเหลือแต่บัวลอย พี่ชายมีครอบครัวแล้วแยกไปอยู่ที่อื่น ตอนนี้งานในบ้านทุกอย่างตกบนบ่าเธอ ทั้งงานในเล้าหมู ซึ่งต้องดูแลรักษาไว้ต่อ เธอทำคลอดหมูเป็น ร้านค้าที่ให้เชื่ออาหารยังสานสัมพันธ์ คนเชือดที่จะมารับหมูต่อยังมี ร้านของชำทำต่อจากแม่มาหลายปีแล้ว เหลือวัวชนอาจต้องขาย ไม่มีคนตัดหญ้า ครั้งหนึ่งพ่อเคยพลาดตกคลอง เข่งใส่หญ้ายังคล้องไหล่พาจมน้ำเกือบตาย เคยบอกให้ขายพ่อกลับโกรธ พ่อรักมันมากแต่คราวนี้ต้องขาย ถ้าหาคนตัดหญ้าไม่ได้ เรื่องพวกนี้เธอพูดให้ลำยองฟังก่อนแยกย้ายบ้านใครบ้านมัน
ลำยองปวดตุบๆ ที่ท้ายทอย พนันสิบหนึ่งอย่างที่ว่า นึกออกแล้วว่าจำสลับกัน หมอว่าเบียร์นั้นเป็นผลกับความดันมากกว่าเหล้า สายไปแล้ว ควานหายาเม็ดมากินแล้วเข้านอน
ปวดแสนสาหัสเพิ่มจนหัวแทบระเบิด ทุกจังหวะหัวใจเต้น ร้อนผ่าวกระบอกตา ลำยองรีบหลับ แต่ราวกับสั่งปิดเปิดได้เชียว แทนที่จะหลับกลับคิดไม่หยุด
ระยะทางจากนาตัวเองไปบ้านบัวลอย ไม่ใกล้ไม่ไกล เรี่ยวแรงยังมีเหลือหรือเปล่า ไม่ต้องคิดฝันว่าจะได้ปล้ำฟัดกันแบบหนุ่มสาว เอาแค่เห็นหน้ากัน ตักข้าวให้กิน ถามไถ่เวลาป่วยไข้ เหมือนตอนนี้ ถ้ามีคนหยิบยาให้กิน อย่างน้อยตายไปคงมีคนเห็นก่อนเน่าคาขนำ นึกต่อไปว่าถ้าวันหนึ่งเขาต้องถือปิ่นโตไปวัด และนั่งยิ้มรอตอนเดือนสิบ หัวใจว่างโหวงเต้นตึกตักและถูกเติมเต็มหนึ่งเดือนของทุกปี แล้วจากลาเศร้าสร้อยในวันทำบุญส่งตายาย คงไม่มีลูกกันหรอก แต่ถ้าเขาตายก่อน วิญญาณเขาจะรอเดือนสิบมาถึงอย่างตื่นเต้นเช่นกัน เออ ยังมีแรงเหลือตัดหญ้าวัวหรือเปล่า
ได้กลิ่นซังแห้งและเสียงลูกลมลอยเคล้าคลอเพลงรักแล้งเดือนห้า เสียงลูกลมดังควับๆ เหมือนใครเฆี่ยนวัว ใช่หรือ มันไม่ได้ดังโหวกๆ หรือ มันเพี้ยนแปลกจนไม่แน่ใจว่าเสียงอะไรแน่ วิญญาณพ่อกับแม่เรียกอยู่ที่ข้างนาอีกแล้ว พยายมแผ่เงามืดเข้าคลุม นี่กูจะตายวันนี้เลยหรือ พลิกตัวตะแคงไม่ให้ท้ายทอยกดหมอนมากนัก ร้องเพลงคลอให้คลายปวด ก่อนหลับลำยองคิดว่าพรุ่งนี้ต้องบอกป้าร้านชำว่าเปิดเพลงสมัยใหม่บ้าง
บัวลอยไม่เคยอ่อนแอ และจะไม่อ่อนแอนับแต่นี้ เธอโดดเดี่ยวและเหงาที่ในบ้านตอนนี้เหลือเพียงลำพัง นอนร้องไห้คิดถึงพ่อ เรื่องลำยองนั้นคงเป็นไปไม่ได้ แก่ๆ กันแล้วจะหาภาระใดมาอีก ถ้าจะได้คงได้กันตั้งแต่สามสิบปีก่อน ตอนที่นั่งใกล้กันในวัด ไม่เห็นว่าจะเกิดวูบวาบอะไร ประจำเดือนหมดไปแล้วจะมาคิดอะไรเรื่องนี้
เธอเหนื่อยกับงานแล้วหลับอย่างเร็ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปดับธาตุ ต้องรีบตื่นมาเตรียมอาหารและของที่จะใช้ นัดสัปเหร่อไว้ตอนตีสี่ พี่ชายของเธอน่าจะไปด้วย
ย่ำรุ่งมาถึง บัวลอยตื่นมาและคิดว่าวันนี้เธอต้องไปดับธาตุ เหมือนเช้าวันที่เธอดับธาตุให้พ่อเมื่อปีก่อน
บัวลอยขับรถฝ่าลมหนาวถึงวัด เธอไม่ได้กลัวแม้ว่าในวัดจะยังมืดและบรรยากาศวังเวง เธอจอดรถหน้าเมรุ ปิ่นโตน้ำอบดอกดาวเรืองธูปเทียนอยู่ในตะกร้าหน้ารถ เธอเขี่ยขาตั้งลง ลมหนาวพัดโกรกขนลุกเกรียว ในแสงสลัวของย่ำรุ่ง ผีลำยองยืนตะคุ่มรออยู่ที่บันไดเมรุ
ยิ้มเย็นรอเมียรักอยู่ในเงารำไร
1
โฆษณา