14 ก.พ. 2022 เวลา 16:46 • ปรัชญา
ชีวิตคนเรามันอยู่สองส่วน ส่วนหนึ่งคือเรื่องของกาย ส่วนหนึ่งคือเรื่องราวของอารมณ์ที่จิตของผู้ที่มีกรรมมาเกิด ก็ด้วยเรื่องจิตที่พัวพันอยู่กับอารมณ์ พัวพันกับอารมณ์แล้วก็ปล่อยจิตปล่อยใจไปตามอารมณ์ต่างๆที่เราต้องใช้วิญญาณทั้งหก ไปสัมผัส สิ่งต่างๆ รูปรสกลิ่นเสียงสัมผัส รูปสวยรูปงาม เกิดเป็นอารมณ์ยินดีชอบอกชอบใจ ยึดในรูปที่ตาเห็นเสียงที่เราได้ยิน ไฟเราะไม่ไพเราะ ลึกลงไปในสิ่งที่เราไปสัมผัส เช่น รูปสวยรูปงาม มองลึกลงไปเราก็ไม่รู้ว่า มีนิสัยอะไรที่ซ่อนเร้นอยู่ภายในรูปนั้น พอเราไปยึดไปชอบไปหลงใหล นาน ๆ คบไปนานๆ ใกล้ชิดคลุกคลี เราถึงจะรู้จักว่า สิ่งที่ซ่อนเร้นที่เราพัวพัน นั้นเป็นอย่างไร จะพากันมีสุขหรือทุกข์ ก็เรื่องราวของกาลเวลา นั้นคือ เมื่อกาลเวลาผ่านไป เรามาทบทวนตัวเอง ก็เห็นเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น อะไรเป็นเหตุชักนำให้เรา ไปพัวพัน นั้นก็คือ เรื่องราวของอารมณ์ทั้งนั้น ที่พาไป
คราวนี้ เรื่องที่เราปล่อยให้อารมณ์พาไป เราก็ลองพิจารณา จับผิดตัวเราเอง ว่าเรื่องที่ทำเราให้เราต้องทุกข์ทรมานใจ นั้นมาจากเรื่องอะไร เรื่องของใจเราอารมณ์ของเราใช่หรือไม่ ที่เราปล่อยอารมณ์ปล่อยกายไปตามอารมณ์ มันจึงมีเรื่องราวที่ปล่อยกายปล่อยใจไปตามอารมณ์ นำพาไปสู่เรื่องราวของความว่า ภาระที่เป็นทุกข์หรือสุข บางเรื่องมายารักหลงใหลนั้น มันก็แปลก ประเภทเจอปุ๊บรักปั๊บ ความรักมาเหมือนน้ำป่าน้ำหลาก มาแล้วก็ก็พัดเลยไป มายาหวานชื่นก็สลายหายไป ก็ไปทบทวนกันเองว่ามันจะเป็นอย่างไร แล้วมันก็มีตัวอย่างให้เราดู บุคคลรอบข้างเรานี่แหละ เป็นตัวอย่างว่าเป็นแบบนี้หรือไม่ ไปสังเกตกันเองก็แล้วกัน
คราวนี้ เราก็มาดูแล เรื่องจิตของตัวเอง รักจิตของตัวเองให้เป็น ไม่ให้อารมณ์นั้นนำพาไปสู่ เรื่องมายาของอารมณ์ ที่จะทำให้เราเผลอไปหลงใหล เผลอไปหลงใหล เราก็รู้ว่ามายานั้นมันไม่เที่ยง มันมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เหมือนกัน เราไปชอบไปรักใคร เค้าก็มีมายาเกิดขึ้นที่เค้าเหมือนกันก็เหมือนกับเรานั้นแหละ สุดท้ายเราเองแหละ ที่ต้องหัดรักตัวเองให้เป็น ในเรื่องอารมณ์ที่จะเกิดกับเรา สมหวัง ไม่สมหวัง ไม่ได้ดังใจ ต้องทำจิตทำใจให้เป็น ไม่ว่าเรื่องจะดีร้าย เราต้องแก้ไขด้วยสติปัญญาของเราเอง
โฆษณา