15 ก.พ. 2022 เวลา 02:40 • นิยาย เรื่องสั้น
ผมมักตื่นตอนดึก แล้วนอนต่อไม่หลับ
เวลาแบบนั้นผมเลือกเดินไปทั่วบ้าน ฝ่าความมืดไปนั่งที่โซฟา เดินไปหน้าห้องน้ำ เดินผ่านตู้เสื้อผ้า แล้วเอื้อมมือคว้าอากาศคล้ายดึงใครมากอด ไม่มีใครติดมาหรอก แต่ผมทำแบบนั้น เผื่อคว้าติดวิญญาณลูกชายคนเล็ก เขาอาจจะยังวนเวียนอยู่ในบ้าน
ผมเพิ่งขำได้กับการ์ตูนของนิตยสารนิวยอร์กเกอร์ หลังจากไม่ตลกหรือรู้สึกอย่างใดอย่างหนึ่งมาหลายปีแล้ว การ์ตูนเป็นภาพชายแก่ยืนวัดความสูง เหมือนที่เราขีดวัดบนฝาบ้านให้รู้ว่าลูกของเราเติบโตแค่ไหน ชายแก่หลังคู้ ล่วงเลยเวลาไปแต่ละปีหัวของเขาค้อมต่ำลง คนเป็นลูกสาวก็ขีดเส้นต่ำลงทุกปี
บ้านอื่นๆก็คงทำแบบนั้น วัดความสูงของลูกตัวเองกับฝาบ้าน ผมมีลูกชายสองคน เส้นขีดระดับความสูงของพวกเขาไล่กันไปบนฝาทางเข้าห้องน้ำ แต่ละเส้นเขียนชื่อและปีพ.ศ.กำกับ ตอนนี้ลูกชายคนโตอายุสิบเจ็ดปีแล้ว ความสูงของเขาน่าจะถึง175 เซนติเมตร เขายังไม่หยุดสูงแต่คงจะเพิ่มขึ้นอีกไม่มาก ผมยังหวังว่าเขาจะสูงขึ้นอีก แม้ว่านั่นสูงกว่าทุกคนในบ้านแล้ว ผมยังวัดความสูงของเขาทุกปี อยากรู้ว่าเขาจะทะลุขีดจำกัดของตระกูลได้หรือเปล่า ตอนนี้ไม่ได้เขียนชื่ออีกแล้วเพราะเขาไม่ต้องแข่งกับใคร แต่ที่ต่ำลงมา มีชื่อลูกชายคนเล็กกำกับ มีรอยดินสอรูปหัวใจซึ่งขีดทับลงไปทุกปี ความสูงเขาหยุดลงแค่นั้นมากี่ปีแล้วนะ
ผ่านมาสี่หรือห้าปี ผมไม่ได้นับ ไม่เคยจดจำวันนั้น จำได้แต่วันเกิดของเขา และปีนี้ผมอาจพร้อมแล้วที่จะพูดถึงและยอมรับว่าเขาไม่อยู่แล้ว ที่ผ่านมาผมไม่ได้รู้สึกเลยว่าเขาจากไป บางวันคิดขึ้นมาว่าเขาอยู่ตรงไหนนะ แอบไปเล่นหลังบ้านหรือไง หรือว่าไปเล่นบ้านยาย ไปปั่นจักรยานกับเพื่อน หรือว่านั่งวาดรูปอยู่หน้าทีวี ทำให้ต้องเดินไปดู บางทีเผลอเรียก แล้วผลลัพธ์ก็เหมือนทุกครั้ง คือผมยืนร้องไห้
เขาเกิดเดือนกรกฎาคม ไม่มีความหมายอะไรเป็นพิเศษในตอนนั้น แต่ตอนนี้มันเป็นเดือนที่ผมสลักลึกว่าพิเศษสุด ผมยังจำใบหน้าของเขาในวันที่เพิ่งเข็นออกมาจากห้องคลอดได้ รถไม่ได้หยุดรอ พนักงานเปลรีบเข็นไปที่ห้องพักฟื้นเลย ผมมีเวลาเร่งรีบในการมองใบหน้า รู้เพียงว่าเขาผิวคล้ำผิดพี่ชาย ผิวผิดพ่อผิดแม่ หน้าตายังดูไม่ออกแต่รู้ว่าปากของเขาเหมือนของผม ยินดีต้อนรับสู่โลก ผมพูดกับเขา
ผมตั้งชื่อเขาว่าจงรัก ไม่ได้มีอะไรพิเศษอีกเหมือนกัน เป็นชื่อที่เหลือจากที่เคยคิดตอนตั้งชื่อลูกชายคนแรก แต่หลังจากนั้นผมพบว่ามันพิเศษมากและเหมาะกับเขามาก เขาเป็นที่รักของผมอย่างที่สุด เป็นความรู้สึกประหลาดที่ผมเอ็นดูเขาเป็นพิเศษ อาจจะเพราะเขาตัวดำ หน้าตาไม่น่ารัก ไปไหนก็ไม่ค่อยมีใครอุ้ม เวลารวมกลุ่มกับพี่น้องคนอื่นก็ไม่มีใครอยากเล่นด้วย เขาจึงหลบไปวาดรูปคนเดียว ผมก็เลยบอกเขาเสมอว่าผมรักเขาที่สุด และเป็นเพื่อนของเขาเสมอ ห้องทำงานของผมปิดไว้เพราะต้องการสมาธิทำงาน แต่เขาเปิดเข้าไปได้ตลอดเวลา และผมจะหยุดทำงานมาเล่นกับเขาทุกครั้ง
จะมีใครซึ่งเรารักที่สุดในโลก ก่อนนี้เคยคิดว่าเป็นพ่อ ตอนพ่อตายผมมีผู้ชายที่รักแค่คนเดียว เคยคิดว่าวันที่ผมจะตาย ให้พ่อมายืนรับด้วยแล้วผมจะไม่กลัว ผมกลัวความตายเหมือนคนอื่นแต่คิดอุ่นใจว่าในโลกนั้นมีพ่ออยู่ก็ไม่น่ากลัว เราจะได้เจอคนที่เรารักที่สุดในโลก ถึงเวลาแม่ตาย ผมก็ยังไม่มีความรู้สึกแบบนั้น ผมรักพ่อมากกว่านิดๆ แต่ในวันที่ลูกคนเล็กตาย ผมยืนยันชัดเจนว่า เขาเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวที่ผมรักมากที่สุดในสามโลก พร้อมสักใบหน้าของเขาลงบนแขน เขาจะอยู่กับผมตลอดเวลา
แต่เรื่องนี้ต้องอธิบายลูกคนโต เขาก็ได้รับผลสะเทือนด้วย น้องชายของเขาเป็นมนุษย์เพียงคนเดียวซึ่งมาจากที่เดียวกับเขา นับจากนี้เขาจะเป็นมนุษย์โดดเดี่ยว แตกต่างจากลูกคนเดียวโดยกำเนิด เขาคงรู้สึกเหมือนบางอย่างหายไปจากชีวิต เหมือนที่ผมรู้สึกว่าร่างกายหายไปซีกหนึ่ง ผมอธิบายว่า ไม่ใช่ผมไม่รักเขา หรือรักเขาน้อย แต่คิดในหลายๆทาง เขามีอะไรมากมายที่ดีกว่าน้อง อย่างน้อยเขายังหายใจอยู่ และผมทดแทนทั้งหมดนั่นให้น้อง มันไม่ได้มากมายเลย ผมแค่รักลูกคนเล็กมากว่าลูกคนโตแค่เซนติเมตรเดียว
คำพูดสุดท้ายที่สลักปักอกผม คือขอให้ผมซื้อน้ำทับทิมให้เขาด้วย ตอนนั้นเขาอยู่ในไอซียู ต้องอดน้ำงดของเหลว คอเขาคงแห้งผาก เขาถูกมัดมือไว้เพราะอาละวาด หมอบอกว่าเคมีในสมองรวนไปหมดแล้ว เขามีสติถามว่าหมอบอกว่าไง ผมบอกว่าเขาจะหายดี ไม่มีอะไรต้องห่วง แล้วขอตัว บอกว่าพ่อไปรอข้างนอก เขาบอกว่าพ่อซื้อน้ำทับทึมให้ด้วยนะ ผมรับปาก ผมอยากตายตามเขาไปเดี๋ยวนี้เลย ตอนนั้นผมโกหก และคำนั้นติดค้างในใจผมตลอดมา แต่ละปีที่ผ่านผมพยายามปลดล๊อคเรื่องอื่นไปที่ละเปลาะ บางเรื่องทำใจได้ แต่กับคำพูดสุดท้ายนั้น ผมไม่มีทางปลดได้ น้ำทับทิมไม่มีอะไรพิเศษ แค่สิ่งที่เขานึกออกตอนนั้น แต่ในงานศพมีคนซื้อน้ำทับทิมมาวางหน้าโลง ไปวัดทุกทีผมต้องซื้อน้ำทับทิมถวายพระ และมันทำให้ผมไม่ดื่มน้ำอย่างอื่นอีกเลย ผมแทบจะดื่มแต่น้ำเปล่า และไม่สามารถเล่าเรื่องนี้ได้ กระทั่งวันนี้ที่ผมเขียนมัน
คงเหมือนพ่อแม่ทุกคนที่เจอเรื่องแบบนี้ ผมเหลืออวัยวะแค่ครึ่งเดียว เหลือมือข้างเดียว ร่างกายซีกเดียวเดินไปมาอย่างเลื่อนลอย พูดน้อยลง ร้องไห้ทุกคืน และติดค้างเรื่องของเขา โดยเฉพาะวันสุดท้าย ผมซึมเศร้าหนักจนคิดฆ่าตัวตาย ถ้าตายผมคงได้เจอเขา แต่ผมรู้จักลูกชายคนนี้ดี เขาอ่อนไหว แต่เป็นคนสนุก เขาชอบวาดรูปและผมเห็นอนาคตว่าเขาต้องเดินบนเส้นทางนั้น เขาไม่เคยแสดงอาการว่าจะอยู่ในโลกนี้แค่สิบปี เขาคงคิดว่าตัวเองจะอยู่ในโลกนี้ให้นาน ดังนั้นถ้าเจอผมในโลกหลังความตาย เขาคงผิดหวัง
ในปีสุดท้ายของชีวิต เขาต้องย้ายกลับมาเรียนใกล้บ้าน ผมซื้อจักรยานให้เขาปั่นไปโรงเรียน แต่ความห่วงใยลึกๆ ทำให้ผมไม่เชื่อใจว่าเขาจะปั่นไปได้ เขายืนยันหนักแน่นว่าเขาทำได้ และขอร้องว่าอย่าขับรถตามไป แต่บางวันผมแกล้งขับผ่านไปโดยไม่หันมองเขา ซึ่งเขาโกรธมาก
เขาอยากเติบโต อยากแข็งแรงในโลกใบนี้ เขาไม่อยากเป็นภาระใคร
คนไม่อยากตายต้องตาย แต่คนไม่ตายกลับอยากตาย ผมควรจะมีชีวิตสูดกลิ่นของโลกนี้แทนเขา
มีพี่คนหนึ่งบอกว่า เมื่อลูกเกิด พ่อก็เกิดด้วย ใช่แล้ว ไม่มีลูกก็ไม่มีพ่อ เขาเป็นผู้ให้กำเนิดผมมากกว่า และเมื่อเขาตาย เขาคงไม่อยากฆ่าผม ผมจึงต้องหายใจ และใช้ชีวิตต่อไปแทนเขา
ในสามปีแรกที่เขาจาก ผมเดินทั่วบ้านกลางค่ำคืน คว้าอากาศเผื่อจะกอดวิญญาณเขาติดมา และหลีกเลี่ยงไม่มองผนังที่วัดส่วนสูง แต่วันเกิดเขาในปีที่ผ่านมา ผมเผชิญหน้ากับฝาผนังตรงนั้น มองชื่อของเขาแล้ววาดหัวใจล้อม เขาหยุดความสูงไว้แค่นั้น แล้วเมื่อเดินไปชิด ความสูงของเขาตรงกับหัวใจผมพอดี
เขาหยุดความสูงไว้ในระดับหัวใจของผมตลอดกาล
Original Photo by Harika G on Unsplash
โฆษณา