“ม็อบรถบรรทุกแคนาดา” สะเทือนเศรษฐกิจการค้าระหว่างพรมแดน
ในขณะที่หลายล้านคนทั่วโลก ต้องการเข้าถึงวัคซีนให้เร็วที่สุด เพื่อความปลอดภัยต่อตนเองและผู้อื่น แต่ยังคงมีคนกลุ่มหนึ่งในแคนาดาที่พยายามต่อต้าน ไม่ยอมเข้ารับการฉีดวัคซีน
นั่นคือกลุ่มขบวนรถแห่งเสรีภาพ หรือ Freedom Convoy ที่ประกอบไปด้วยเหล่าคนขับรถบรรทุกข้ามพรมแดนระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ กลุ่มคนเหล่านี้ออกมาชุมนุมเพื่อต่อต้านมาตรการควบคุมโรคระบาดใหญ่ของรัฐบาลแคนาดา และการบังคับให้ผู้ขับรถบรรทุกข้ามแดนทุกคนต้องฉีดวัคซีน
ด้วยความที่เป็นการประท้วงของคนขับรถบรรทุกข้ามแดน พวกเขาจึงเลือกที่จะใช้วิธีจอดรถปิดถนนที่สำคัญในเมืองหลวงออตตาวา และบริเวณสะพานแอมบาสเดอร์ ซึ่งเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างพรมแดนที่สำคัญระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ
จนนายกรัฐมนตรี นายจัสติน ทรูโด ต้องออกมาประณามถึงการกระทำครั้งนี้ว่าเป็นสิ่งที่รับไม่ได้ และจะส่งผลร้ายต่อเศรษฐกิจที่กำลังฟื้นตัว อีกทั้งยังส่งผลกระทบต่ออุตสาหกรรมยานยนต์ที่ประสบปัญหาขาดแคลนชิ้นส่วนการผลิต เนื่องจากการประท้วงที่ยืดเยื้อครั้งนี้
📌 สะพานแอสบาสเดอร์…สะพานเชื่อมเศรษฐกิจแคนาดาและสหรัฐฯ
สะพานแอมบาสเดอร์ (Ambassador Bridge) เป็นสะพานที่เชื่อมต่อระหว่างนครวินเซอร์ รัฐออนแทริโอ ของแคนาดา กับนครดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ของสหรัฐฯ ซึ่งถือได้ว่าเป็นพรมแดนระหว่างประเทศที่สำคัญและมีความหนาแน่นที่สุด โดยสะพานแห่งนี้รองรับการค้ากว่า 25% ระหว่างแคนาดากับสหรัฐฯ และในทุกๆ วัน จะมีรถขนสินค้าข้ามผ่านพรมแดนผ่านสะพานนี้ถึงกว่า 10,000 คันต่อวัน
หากพูดถึงในเรื่องของมูลค่าการค้าระหว่างประเทศที่เกิดขึ้นระหว่างพรมแดนแคนาดากับสหรัฐฯ พบว่ามากกว่า 2 ใน 3 ของการค้าข้ามแดนระหว่างทั้งสองประเทศนี้ที่มีมูลค่าถึง 5.11 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี ถูกขนส่งไปทางถนน ซึ่งแค่สินค้าที่ต้องผ่านทางสะพานแอมบาสเดอร์จุดเดียวก็คิดเป็นมูลค่ากว่า 323 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อวันแล้ว
การปิดสะพานแอมบาสเดอร์ที่มีความสำคัญ และเป็นเหมือนเส้นเลือดใหญ่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจแคนาดาและสหรัฐฯ แห่งนี้ จึงส่งผลให้การขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนต้องหยุดชะงัก บริษัทหรือโรงงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับเส้นทางการค้าข้ามพรมแดน จึงจำเป็นต้องแบกรับต้นทุนที่เกิดจากการประท้วงครั้งนี้อย่างเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากการขาดแคลนซัพพลายในการผลิตที่เดิมทีต้องใช้ซัพพลายจากอีกประเทศ จนอาจต้องเปลี่ยนวิธีการขนส่งเป็นทางอากาศแทนซึ่งจะมีค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น
📌 วิกฤตสายพานการผลิตในอุตสาหกรรมยานยนต์
หนึ่งในอุตสาหกรรมที่ถูกพูดถึงว่าได้รับผลกระทบมากที่สุด และเกิดความสูญเสียเป็นมูลค่ามากที่สุดคืออุตสาหกรรมยานยนต์
แคนาดากับสหรัฐฯ เป็นคู่ค้าที่สำคัญต่อกัน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ต้องพึ่งพากันและกันในการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้า ผู้เชี่ยวชาญยังกล่าวไว้ว่า รถยนต์ในสหรัฐฯ จะไม่สามารถสร้างขึ้นมาได้ หากปราศจากการผลิตชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ในแคนาดา
แม้ว่าแคนาดาไม่มีอุตสาหกรรมยานยนต์เป็นของตนเอง แต่ก็เป็นโรงงานผลิตรถยนต์และส่วนประกอบให้กับแบรนด์รถยนต์หลักๆ ของสหรัฐฯ ประกอบด้วย General Motors (GM), Ford (F), Stellantis (เดิมคือ Chrysler), Toyota (TM) และ Honda (HMC)
และสะพานแอมบาสเดอร์แห่งนี้เองที่เป็นสะพานเชื่อมต่อระหว่างเมืองแห่งยานยนต์อย่างนครดีทรอยต์ รัฐมิชิแกน ไปยังโรงงานผลิตรถยนต์และส่วนประกอบในรัฐออนแทริโอ
จากข้อมูลในปี 2021 สหรัฐฯ นำเข้ารถยนต์ประกอบสำเร็จจากแคนาดา คิดเป็นมูลค่ากว่า 2.5 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในขณะเดียวกัน แคนาดาที่มีประชากรเพียง 1 ใน 9 ของสหรัฐฯ ก็ได้นำเข้ารถยนต์ของสหรัฐฯ กว่า 750,000 คัน คิดเป็นมูลค่ากว่า 1.4 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
เมื่อเกิดการประท้วงของกลุ่มคนขับรถบรรทุกข้ามแดน ทางเชื่อมบริเวณสะพานแอมบาสเดอร์ทางฝั่งแคนาดาจึงถูกปิด ส่งผลให้ซัพพลายเชนในการผลิตรถยนต์จากทั้งสองฝั่งขาดแคลนและล่าช้า ทั้งนี้เนื่องจากเมื่อมีส่วนประกอบใดขาดหายไป โรงงานจำเป็นจะต้องหยุดสายการผลิต จึงส่งผลให้เกิดความเสียหายเป็นมูลค่ากว่า 50,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อการผลิตรถ 1 คัน ซึ่งเป็นต้นทุนที่เพิ่มสูงขึ้นทำให้หลายคนเกิดความกังวลว่าอาจทำให้รถยนต์ขึ้นราคาได้หากการชุมนุมยืดเยื้อต่อไป
นอกจากนี้ยังส่งผลให้คนงานในบริเวณใกล้เคียงต้องสูญเสียรายได้รวมแล้วคิดเป็นเงินกว่า 51 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะคนงานในอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่กระจุกตัวอยู่ทั้งฝั่งรัฐมิชิแกนและรัฐออนแทริโอ
แต่ผลกระทบยังไม่ได้หยุดอยู่แค่ 2 รัฐที่อยู่คนละฝั่งสะพานเท่านั้น เพราะแม้โรงงานจะตั้งอยู่ไกลออกไปอย่างโรงงานของ Toyota ที่ตั้งอยู่บริเวณ รัฐเวสต์เวอร์จิเนีย, รัฐเคนทักกี และ
รัฐแอละแบมา หรืออย่างโรงงานของ Ford ที่ตั้งอยู่ที่รอบนอกเมืองคลีฟแลนด์ รัฐโอไฮโอก็ได้รับผลกระทบเช่นกัน โดยโรงงานเหล่านี้จำเป็นต้องหยุดการผลิตชั่วคราว หรือลดกำลังการผลิตลง
นอกจากอุตสาหกรรมยานยนต์แล้ว อุตสาหกรรมอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้สะพานแอมบาสเดอร์นี้ อาทิ กระดาษ ไม้แปรรูป สินค้าเกษตร ก็ได้รับผลกระทบตามไปด้วย ซึ่งยิ่งไปซ้ำเติมปัญหาขาดแคลนซัพพลายเชนทั่วโลกที่มีอยู่ก่อนหน้าแล้วให้แย่ลงไปอีก
[เกร็ดเล็กน้อย] อันที่จริงแล้ว แคนาดาเป็นหนึ่งในประเทศที่มีอัตราการฉีดวัคซีนสูงที่สุดในโลก กว่า 90% ของคนขับรถบรรทุกนั้นฉีดวัคซีนเรียบร้อยและสามารถข้ามพรมแดนได้แล้ว การค้าระหว่างพรมแดนที่ชะงักไปในช่วงที่ผ่านมาก็ฟื้นตัวขึ้นแล้ว แต่คนกลุ่มเล็กๆ ที่ออกมาประท้วงเพื่อเรียกร้องสิทธิของตนเอง กลับสร้างผลกระทบทางลบต่อเศรษฐกิจ และกระทบกับหลายครอบครัวที่พยายามทำมาหากินตามปกติ
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Website : https://www.bnomics.co
Facebook : https://www.facebook.com/Bnomics.co
Blockdit : https://www.blockdit.com/bnomics
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Youtube : https://www.youtube.com/bnomics
Twitter : https://twitter.com/bnomics_co
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :
เครดิตภาพ : Roger Lemoyne / Al Jazeera
- 7
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
