- ในขณะที่บ้านเราพึ่งมีกฎหมาย PDPA เมื่อเร็วๆ นี้เอง แต่ตั้งแต่ปี 1980 มีคนกลุ่มนึงมองเห็นมันมาแล้วว่าในอนาคต privacy of communication ความ anonymity มันจะสำคัญมาก เราจะป้องกันตัวเองจาก state surveillance/censorship ได้อย่างไร คีย์เวิร์ดเหล่านี้เราจะเจอมันตลอดเวลาเราศึกษาเรื่อง Blockchian, Crypto, DeFi, Bitcoin
- สมัยนู้นเขาก็อาจจะใช้การตีพิมพ์บทความลงนิตยสาร พอมายุคอินเทอร์เน็ตเริ่มแพร่หลาย เขาก็จะเริ่มคุยกันด้วย mailing list เหมือนเป็นกรุ๊ปอีเมล มีอะไรก็เสนอเข้าไปแล้วก็จะมีคนรู้หรือสนใจตอบมา
- ถ้าเราไปดูคนที่เป็นเมมเบอร์ใน mailing list ยุคนั้นมี Marc Andreessen (ผู้ก่อตั้ง Netscape เป็นคนเสนอไอเดียเรื่อง SSL ที่เราใช้กันอยู่ทุกวันนี้) Bram Cohen (ผู้ก่อตั้ง BitTorrent เป็น decentralized file system ตัวแรกๆ) Nick Szabo (ผู้คิดค้น Smart Contract), Adam Back (ผู้ก่อตั้ง Blockstream) นี่คือคนที่อยู่ใน e-mail list เวลานั้น แล้ว impact ของพวกเขายังส่งมาถึงเราทุกวันนี้
1
- ช่วงนั้นก็มี paper ออกมาเรื่อยๆ มีการเสนอสิ่งที่หน้าตาคล้ายๆ blockchain ขึ้นมาในปี 1982 David Chaum เป็นคนแรกที่เสนอว่าเราจะสามารถสร้าง computer system establish maintain and trust by mutually suspicious groups เราจะสร้าง computer system ที่ trust ได้โดยกลุ่มคนที่เราไม่น่าเชื่อถือได้ยังไง
- ในปี 1991 ก็มี paper ที่พูดว่างั้นเราสร้างเป็นคอนเซ็ปต์คล้ายๆ chain of block ขึ้นมาดีกว่า ต่อมามีคนเสนอว่าประสิทธิภาพมันไม่ดีงั้นเราทำ merkle tree เพื่อให้ efficiency มันดีขึ้น จะเห็นว่าจริงๆ movement ของ Bitcoin ไม่ได้เกิดมาจากอากาศ ไม่ใช่ว่ามีคนไปเห็น financial crisis แล้วคิดสิ่งนี้ขึ้นมา มันคือการเดินทางที่ยาวนานมากของไอเดียเรื่อง privacy ไอเดียของ Cypherpunk และการทำงานอย่างหนักของนัก Cryptography หลายๆ คน
- ถ้าดูย้อนกลับไปคือมีการเอา hashtrace มาปรับปรุงหรือเอาบางส่วนของ Bitgold โดย Nick Szabo มาปรับปรุงเรื่อยๆ จนมาเกิดเป็น Bitcoin ตอนแรกทุกอย่างยังไม่ลงตัว ทุกคนคิดมาแต่ละชิ้นแต่ละตัว Bitcoin Paper น่าจะเป็นตัวแรกที่เอาสิ่งต่างๆ เหล่านี้มารวมกันได้อย่างลงตัว
- บริการ BCI เป็นบริษัทที่หลายๆ ธนาคารรวมตัวกันตั้งขึ้นมา ให้บริการพวก Digital LG หรือว่าพวก Bank Garuntee/Bank Confirm เช่น ระบบการออกตราสารหนี้ (bond) บน blockchain ซึ่งถ้าเป็นบริษัทของเรามีการพัฒนาทำให้ ThaiBMA (สมาคมตราสารหนี้ไทย) ซึ่งตอนนี้มี KBank และ Toyota Leasing ใช้ในการออก bond ซึ่งก็เป็น blockchain bond ตัวแรกของไทย
- วงการ healthcare ระบบแลกเปลี่ยนข้อมูลผู้ป่วย ให้เราไปโรงพยาบาลไหนก็ตามให้สามารถเห็นข้อมูลเดียวกันได้หมด ซึ่งตอนนี้ก็กำลัง pilot อยู่ มีระบบพวก Digital ID พวกระบบ KYC
- วงการ supplier chain ก็จะได้ประโยชน์เยอะมาก เราสั่งของจากอเมริกากว่าจะมาถึงเรามันผ่านหลายมือมากๆ แต่ทั้งหมดทั้งเชนมัน fragment มากๆ ทุกคนก็คุยกับเฉพาะ adjacent party หรือคุยแค่ไม่กี่คนแค่ในปาร์ตี้ ซึ่งจริงๆ แล้วมันต้องคุยเยอะกว่านั้นมาก ตัว blockchain มันทำให้การ inter connect ของ suppply chain ทั้งระบบ มันทำได้มีประสิทธิภาพดีขึ้นมากๆ automate ได้มากขึ้น
- CBDC (Central Bank Digital Currency) เงินดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางหรือแบงก์ชาติ ซึ่งจริงๆ ไม่ต้องใช้ blockchain ก็ได้ แต่ implement ส่วนใหญ่ในหลายๆ ประเทศก็มีการเอา blockchain ไปใช้ในบางส่วน แม้กระทั่งตัว Digital Yuan ของจีน แม้ไม่ได้ใช้ blockchain ทั้งหมดแต่ก็มีบางส่วนที่ใช้เหมือนกัน
- อันอื่นๆ คนน่าจะเห็นภาพอยู่แล้ว NFT, Digital Art, Game Play to Earn ทั้งหลาย จนเดี๋ยวนี้ต้องกลายเป็น xxx to Earn, Run to Earn นู้นนี่นั่น to earn หมดเลย
======================
8. Web 3.0 คืออะไร
======================
- Web 3.0 คือวิวัฒนาการของอินเทอร์เน็ต Web 1.0 (read) คือเว็บยุคแรกที่มีคนตั้งเซิร์ฟเวอร์แล้วเอาข้อมูลไปแปะบนอินเทอร์เน็ตให้เราเข้าไปอ่าน ต่อมาก็พัฒนาขึ้นมาเป็น Web 2.0 (read & write) เป็นยุคที่อินเทอร์เน็ตเริ่มมีการ interaction กันมากขึ้น เช่น social media คนสามารถโพสต์รูปและคอนเมนต์โต้ตอบกันได้ แต่ว่าปัญหาของ Web 2.0 คือมันเป็น stateless
- อินเทอร์เน็ตทุกวันนี้มันเป็น stateless ปกติการที่เราทำอะไรบนอินเทอร์เน็ตจะมีส่วนประกอบสามส่วนคือ หนึ่งตัว device ของเรา (โทรศัพท์/มือถือ/คอมพิวเตอร์) สองอินเทอร์เน็ตตรงกลาง สามเซิร์ฟเวอร์ (ของ Facebook, Youtube, Clubhouse) ตัวอินเทอร์เน็ตตรงกลางมันไม่จำอะไรทั้งสิ้น ถ้าจะจำก็ต้องเอาไปฝังไว้ที่หัวไม่ก็ท้าย ถ้าฝังไว้ที่เครื่องเราก็คือ cookies ที่เวลาเข้าเว็บไซต์แล้วจะต้องขออนุญาตเก็บหรือเวลาเรายิงโฆษณามันก็จะมาอ่าน cookie เราและพยายามยิงโฆษณาให้ตรงกับ perference ของเรา หรือฝั่งเซิร์ฟเวอร์ก็ทำให้พวก Facebook, Google พวกนี้มีข้อมูลมหาศาล เพราะทุกคนจะต้องเอา data ไปฝากไว้ตรงนั้น ด้วยโครงสร้างแบบนี้เลยทำให้เกิดเป็นไอเดียของ Web 3.0 ขึ้นมา
- Web 3.0 (read, write & own) ทำให้คนสามารถ own หรือเป็นเจ้าของอะไรบางอย่างบนอินเทอร์เน็ตได้ ตัวอินเทอร์เน็ตยังเหมือนเดิมมันไม่ได้ทำให้เป็น stateful แต่เราเปลี่ยนวิธีว่าทำยังไงที่จะทำให้เรา own data บางอย่างบนนั้นได้
- คอนเซ็ปต์ของ Web 3.0 จริงๆ มีมานานแล้ว มีทั้งหมดสองนิยาม ก่อนหน้านี้ Tim Berners-Lee (ผู้คิดค้น World Wide Web) เขาจินตนาการ Web 3.0 ไว้อีกแบบนึงเรียกว่า synmatic web คือเว็บที่คอมพิวเตอร์จะสามารถอ่านตัวเนื้อหาเข้าใจได้ แต่ว่าสุดท้ายโลกมันไม่ได้พัฒนาไปทางนั้น เรามี AI มี machine ที่สามารถเข้าใจเว็บ เข้าใจคอนเทนต์ได้ เราจึงไม่ได้ต้องการ Web 3.0 แบบนั้น แต่เราต้องการ Web 3.0 แบบใหม่ ที่เราทำให้เราสามารถเป็นเจ้าของบางอย่างได้