16 ก.พ. 2022 เวลา 16:30 • ปรัชญา
ขันธ์5 ในตัวมนุษย์ประกอบด้วย รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เป็นรูปหรือร่างกาย 1 ส่วน กับนามหรือจิต อีก 4 ส่วน (เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ) ดังนั้นที่ว่าขันธ์5 ไม่มีตัวตนที่แท้จริงนั้นเป็นเพียงแค่เราคิดเอา เรายังละวางตัวตนไม่ได้ เพราะจิตยังครอบครองขันธ์อยู่ เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของจิต ก็ทํางานแล้วและสั่งการร่างกาย ซึ่งเป็นตัวตนที่เกิดขึ้นมาแล้วให้เกิดเป็นความคิด เป็นการกระทําต่างๆ จิตยิ่งยึดเอาขันธ์5 เป็นตัวเป็นตนยิ่งขึ้น แถมตัวตนยังซับซ้อนกว่าเดิมเสียอีก และจิตที่ยึดมั่นถือมั่นในตัวตนนี่แหละที่จะเป็นตัวนําไปเกิดในภพภูมิต่างๆ เพราะระหว่างที่ยึดเอาตัวตนตอนมีชีวิตก็ได้สร้างกรรมไปด้วย เกิดเป็นวิบากสะสมในดวงจิต ประกอบกับอยากมีตัวตนและไม่อยากสูญสลายไป จึงวนเวียนมาเกิดใหม่เรื่อยๆ ในลูปของสังสารวัฏ
ดังนั้น คําว่าขันธ์5 ไม่มีตัวไม่มีตนที่แท้จริง เป็นความคิดที่เกิดจากสัญญา มิได้เกิดจากการเห็นด้วยปัญญาอย่างแท้จริง จิตปล่อยวางตัวตนไม่ได้ จิตจึงไม่สามารถละวางขันธ์ได้ ยังไงก็จะมีตัวตนเสมอ นอกจากตัวตนที่เป็นร่างกายแล้ว ตัวตนในความคิดหรือภพในความคิดก็ยังเกิดขึ้นด้วย ตามกฏปฏิจจสมุปบาท เมื่อมีอวิชชา ทําให้เกิดสังขาร ( การปรุงแต่ง) สังขาร ทําให้เกิดวิญญาณ ( การรับรู้ ) วิญญาณ ทําให้เกิดนามรูป เกิด ภพ ชาติ ชรามรณะ ปฏิจจสมุปบาทในขันธ์5 ( ไม่ข้ามภพ) ทําให้เกิดตัวตนในความคิด ส่วนปฏิจจสมุปบาทแบบข้ามภพ ทําให้เกิดตัวตนในภพภูมิใหม่ ถ้าต้องการให้ไม่มีตัวตนหรือภพหรือนามรูปเกิดขึ้น เราต้องตัดวงจรปฏิจจสมุปบาทในท่อนใด ท่อนหนึ่งเสียก่อน โดยไล่สาเหตุการเกิดแบบย้อนกลับ ไล่ไปจนถึงอวิชชา เพราะปฏิจจสมุปบาทวนเป็นวงกลม ซํ้าไปซํ้ามา โดยใช้ปัญญาที่ได้จากสมาธิ เห็นเหตุและผลในวงจรนั้น เมื่อเหตุดับ ผลจึงไม่เกิดเป็นต้น
ิจิตในขันธ์5 ต้องการมีตัวมีตน และแรงขับของกิเลส ตัณหา วิบากกรรม จึงมีการเกิดใหม่เสมอ ถ้าจิตในขันธ์ 5 รู้ตัว ( รู้ไตรลักษณ์ ) ละทิ้งอวิชชาละวางตัวตนได้จะกลายเป็นจิตผู้รู้ เป็นจิตที่ไม่ต้องการตัวตนอีกต่อไป ในรอบถัดไปของ ปฏิจจสมุปบาท จิตดวงสุดท้ายที่รู้แจ้งแล้วก็จะดับไปในนิพพาน เป็นการสิ้นสุดของวงจรปฏิจจสมุปบาท ไม่มีการเกิดใหม่อีกต่อไป
โฆษณา