17 ก.พ. 2022 เวลา 13:16 • หนังสือ
เอาชนะอย่างไรเมื่อต้องเจอแต่อุปสรรค? สรุปหนังสือ Surrounded by Setbacks
รู้จักนักเขียนที่ชื่อ ‘โธมัส เอริกสัน’ ไหม
หลายคนอาจไม่รู้จักหรือจำไม่ได้ ซึ่งไม่แปลกเลย เพราะเขาไม่ใช่ชื่อนักเขียนที่ถูกพูดถึงบ่อยในวงการหนังสืออย่าง สตีเฟน คิง หรือ มัลคอล์ม แกลดเวล แต่ถ้าเราพูดถึงหนังสือขายดีของเขาอย่าง ‘Surrounded by Idiots’ (วิธีเอาตัวรอดในวงล้อมคนงี่เง่า) หลายคนอาจร้องอ๋อออกมาแน่นอน
แต่รู้กันไหมว่าโธมัส เอริกสัน ใช้เวลากี่ปีกว่าจะได้ตีพิมพ์หนังสือเล่มนั้น? 5 ปี? 10 ปี? หรือ 15 ปี? ลองทายกันดูไหม
คำตอบอาจทำให้หลายคนตกใจ เพราะเขาใช้เวลานานกว่า 20 ปี!
กว่า 20 ปีที่นายเอริกสันพยายามเสนอหนังสือของเขาต่อสำนักพิมพ์ต่างๆ แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ เขาได้รับจดหมายปฏิเสธจากสำนักพิมพ์แล้วสำนักพิมพ์เล่าจนรวมกันได้เป็นกองโต หากหลายคนเจอสถานการณ์เช่นนี้อาจยอมแพ้ไปแล้ว แต่ไม่ใช่เอริกสัน เขาสู้ต่อ แก้ต้นฉบับอยู่ซ้ำๆ รับฟังคำติชมและนำมาปรับใช้ จนในที่สุดหนังสือเล่มแรกของเขา ‘Surrounded by Idiots’ ก็ได้รับการตีพิมพ์ แถมยังขายได้มากกว่า 3 ล้านฉบับทั่วโลก!
อะไรที่ทำให้เขามุ่งหน้าทำตามความฝันได้นานถึงขนาดนี้?
ในหนังสือเล่มใหม่ของโธมัส เอริกสัน “Surrounded by Setbacks” ได้เล่าถึงประสบการณ์ที่เขาได้เรียนรู้ตลอด 20 ปีเกี่ยวกับอุปสรรค ปัญหา ความย่อท้อ และวิธีต่อสู้กับสิ่งเหล่านี้ แม้จะอยู่ในวินาทีที่อยากจะยอมแพ้เต็มทน มาดูกันดีกว่าว่าบทเรียนจากหนังสือ Surrounded by Setbacks จะมีอะไรบ้าง
1
บทเรียนที่ 1 ถึงเวลาออกจากบ้านหลังเก่าที่ชื่อ ‘ไว้ก่อน’
เราล้วนมีความฝัน ความตั้งใจ และคำสัญญาที่ให้ไว้กับตัวเองว่าจะทำให้สำเร็จ จริงอยู่ที่สิ่งเหล่านี้คอยปลุกใจและให้กำลังใจเราอย่างดี แต่พวกมันจะไม่มีความหมายเลยหากเราไม่ ‘ลงมือทำ’
สาเหตุที่เราไม่เริ่มต้นสักที อาจเป็นเพราะเราชินกับการอยู่ในบ้านที่ชื่อว่า ‘ไว้ก่อน’ ทุกๆ วันเราตื่นนอนมาดื่มกาแฟจากร้านโปรด ทำงานที่คุ้นเคย กลับบ้านด้วยเส้นทางเดิม ก่อนจะพักผ่อนด้วยการดูซีรีส์บน Netflix แน่นอน หลายคนมีความฝัน เช่น การทำธุรกิจของตัวเอง หรือ การลดน้ำหนัก แต่การปฏิเสธว่า ‘ไว้ก่อน’ และใช้ชีวิตตามตารางเดิมมันง่ายกว่า
1
บ้านหลังเก่าที่ชื่อ ‘ไว้ก่อน’ นั้นช่างอบอุ่น ชวนไม่ให้เราออกไปไหน แต่หากเรากัดฟัน กลั้นใจเริ่มต้นออกเดินทางได้ ทุกอย่างจะง่ายขึ้น
โธมัส เอริกสันเชื่อว่าบนโลกนี้มีหลายอย่างที่อยู่เหนือการควบคุมของเรา แต่การกระทำของเรานั้นอยู่ในการควบคุมของเรา 100% จะเริ่มต้นวันนี้หรือวันไหนขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเราทั้งนั้น และผลดีจากการเริ่มต้นเร็ว หรือ ผลเสียจากการเริ่มต้นช้า ล้วนเป็นผลลัพธ์ที่ขึ้นอยู่จากการตัดสินใจของเราเช่นกัน
1
บทเรียนที่ 2 เอาชนะความกลัว
เอริกสันบอกว่า ยังมีอีกหนึ่งสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้เราเริ่มต้นและสิ่งนั้นคือ ‘ความกลัว’
1
กลัวล้มเหลว กลัวมีปัญหากับคนรอบข้าง กลัวดูไม่ดี หรือกลัวไม่มีเวลาให้คนรอบตัว ความกลัวเหล่านี้ทำให้เราก้าวขาไม่ออก ถึงจะไม่มีความสุขนักกับการหยุดอยู่กับที่ แต่อย่างน้อยมันก็ปลอดภัยกว่า อย่างไรก็ตาม บางทีความกลัวเหล่านี้อาจเป็นเพียงสิ่งที่เรากังวลไปเองและจริงๆ แล้ว เรามีทางออกที่ง่ายกว่าที่คิด!
2
ความกลัวเป็นสัญชาตญาณเอาตัวรอดที่ช่วยให้มนุษย์ดำรงเผ่าพันธุ์มาได้จนปัจจุบัน มันช่วยให้เราไม่ออกไปทำอะไรอันตรายเสี่ยงชีวิต แต่บางครั้ง มันก็ทำให้เราไม่ได้พัฒนาศักยภาพไปจนถึงที่สุดเหมือนกัน
1
ลองใช้เวลานั่งคิดถึงสิ่งที่เรากลัวหรือกังวลดู จับความฟุ้งซ่านและเขียนมันให้เป็นข้อๆ ลงกระดาษ จากนั้นก็ลองเขียน 3 วิธีที่เราจะสามารถจัดการกับความกลัวแต่ละข้อดู ฟังดูง่ายใช่ไหม? เพราะบางทีมันก็ง่ายจริงๆ ยังไงล่ะ! หากลองฝึกแก้ปัญหาด้วยวิธีนี้บ่อยๆ เราจะพบว่าสิ่งที่เราเลี่ยงไม่ทำเพราะเรากลัว จริงๆ แล้วมีทางออกที่ง่ายจนคาดไม่ถึง
1
ชีวิตนี้เราต้องเจออุปสรรค เจอปัญหา และความกลัวอยู่แล้ว เราเจอมาตลอดและเราจะเจอตลอดไป หนทางเดียวที่เราจะเปลี่ยนสิ่งเหล่านี้ให้เป็นโอกาสในการเรียนรู้ได้ คือการเผชิญหน้ากับมัน
2
บทเรียนที่ 3 ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่เริ่มต้นจากก้าวเล็กๆ
ในบทนี้เอริกสันได้แนะนำให้เรารู้จักกับ ‘แฮร์รี’ อดีตนักฟุตบอลหนุ่มประจำมหาลัย ที่ 20 ปีต่อมาได้แต่ใช้เวลาว่างไปกับการนอนดูทีวี เล่นโทรศัพท์ และทานฟาสต์ฟู้ด แฮร์รีรู้สึกเหนื่อยและรู้สึกไม่มีสมาธิตอนทำงาน เขารู้สึกว่า… เขาต้องเปลี่ยน!
วันหนึ่งแฮร์รีเลยเริ่มตื่นตั้งแต่ตี 5 ปั่นจักรยานไปทำงาน ออกกำลังกาย 6 วันต่อสัปดาห์ กินแต่อาหารสุขภาพ และเข้านอนก่อน 4 ทุ่มทุกคืน อย่างไรก็ตาม เมื่อผ่านไป 2 เดือนเขารู้สึกว่าตัวเองยังมีพุงอยู่เลย เหนื่อยจนปวดตัวแทบทุกวัน แถมยังไม่ค่อยมีเวลาให้คนรอบตัวอีก ในที่สุดความท้อถอยนี้ก็ทำให้เขากลับมาทำนิสัยเช่นเดิม
ไม่ใช่เรื่องแปลก เขาใช้เวลากว่า 20 ปีในการทำความคุ้นชินกับไลฟ์สไตล์อันเอื่อยเฉื่อย จะให้กลายเป็นคนรักสุขภาพและกระตือรือร้นภายใน 2 เดือนนั้นเป็นเรื่องยาก
หากแฮร์รีอยากเปลี่ยนตัวเองให้สำเร็จ เขาอาจต้องเริ่มจากเป้าหมายเล็กๆ ที่ทำได้จริง เช่นการเข้ายิมสัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง จากนั้นก็ค่อยๆ เพิ่มการคุมอาหาร และผนวกการปรับเวลานอนเข้ามาในภายหลัง ที่สำคัญเขาควรตั้งเป้าหมายที่ ‘ชัดเจน’ และ ‘เป็นไปได้’ เช่น การกำหนดไปเลยว่าภายใน 3 เดือน จะลดสัดส่วนให้เหลือเท่าไหร่ (เพราะเป้าหมายกำกวมแบบ ‘อยากหุ่นดีขึ้น’ นั้นจับต้องยากและทำให้เราท้อแท้ได้ง่ายๆ)
1
หากวางเป้าหมายชัดเจนและเริ่มต้นด้วยก้าวเล็กๆ แต่ทำได้อย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลแล้ว
1
บทเรียนที่ 4 เข้าใจจุดแข็งและจุดอ่อนของตัวเอง
คนเรานิสัยต่างกัน ดังนั้นหนทางสู่ความสำเร็จของแต่ละคนก็ต่างกันออกไป เราไม่สามารถลอกสูตรสำเร็จจากคนอื่นแล้วมาทำตามได้ ดังนั้นเรามาทำความเข้าใจ ‘นิสัยการทำงาน’ และออกแบบเส้นทางของตัวเองกันดีกว่า เอริกสันได้อธิบายการทำงานของคนตาม 4 บุคลิกภาพไว้ดังนี้
1) บุคลิกสีแดง
เป็นคนชอบเข้าสังคม กล้าที่จะเผชิญหน้ากับปัญหา ไม่กลัวความขัดแย้ง และเชื่อว่าปัญหาก็มีไว้พุ่งชนเช่นกัน ไม่ใช่แค่เป้าหมาย คนบุคลิกสีแดงนั้นชื่นชอบชัยชนะ หากเห็นใครก็ตามเป็น ‘ตัวขัดขวาง’ หรือ ‘ตัวถ่วง’ ความสำเร็จ พวกเขาจะหาทางกำจัดคนคนนั้นทุกวิถีทาง โดยไม่สนว่าความสัมพันธ์จะด่างพร้อยหรือไม่ จุดแข็งที่สุดของชาวบุคลิกสีแดงคือความไม่ย่อท้อ ล้มแล้วลุกได้ทุกครั้ง อย่างไรก็ตาม จุดอ่อนของพวกเขาคือความใจร้อน ไม่อดทน และไม่สนคนอื่นๆ ในทีม
2) บุคลิกสีเหลือง
ชาวบุคลิกสีเหลืองเป็นคนที่ให้คุณค่าเรื่องความสัมพันธ์ พวกเขาชอบยิ่งนักที่จะมีคนสนใจหรือได้รับคำชม ชาวสีเหลืองเป็นคนช่างพูดและเก่งในการพูดปลุกใจผู้อื่นให้ทำตามฝัน แต่สิ่งที่พวกเขาไม่ชอบเลยคือการถูกวิจารณ์และต้องอับอายต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ตาม โดยธรรมชาติแล้วพวกเขาเป็นคนมองโลกในแง่ดี ดังนั้นแม้จะเสียศูนย์เพราะความอาย แต่เดี๋ยวก็กลับมาทำงานต่อได้
3) บุคลิกสีเขียว
คนบุคลิกนี้จะคล้ายๆ กับสีเหลืองตรงที่เป็นคนให้ค่าความสัมพันธ์ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น เป็นนักฟังที่ดี แต่ที่ต่างกันคือพวกเขาจะเงียบๆ ไม่ค่อยกล้าแสดงออก และไม่ค่อยกล้ายืนหยัดเพื่อตนเอง อย่างไรก็ตาม หากชาวสีเขียวอยู่ด้วยกัน พวกเขาจะเป็นกลุ่มก้อนที่แข็งแรงและจัดการปัญหาได้ดี จุดอ่อนอีกอย่างของคนกลุ่มนี้คืออ่อนไหวกับคำวิจารณ์
4) บุคลิกสีฟ้า
ชาวสีฟ้ามองโลกด้วยเหตุผลมากกว่าอารมณ์ เป็นนักวางแผนและนักแก้ปัญหาที่ดี แต่พวกเขามักจะติดกับดักความสมบูรณ์แบบ หากงานไม่ได้ดั่งใจตามที่คิดจะเป็นเรื่องเครียดสำหรับพวกเขามาก ถึงขั้นทำให้ไม่กล้าลงมือเสียทีเพราะพวกเขากลัวความผิดพลาดและกลัวถูกมองว่าไม่ใส่ใจ
หากเราเข้าใจนิสัยของตัวเองในการทำงานแล้ว ลองวางแผนการทำตามความฝันโดยคำนึงถึงปัจจัยเหล่านี้ดู เป็นต้นว่า หากเราเป็นชาวสีฟ้าที่เป็น Perfectionist ไม่ค่อยกล้าลงมือ อาจต้องหาโอกาสเรียนรู้หรือทำงานร่วมกับชาวบุคลิกสีแดงที่กล้าคิดกล้าทำ
บทเรียนที่ 5 ยินดีกับทุกความสำเร็จ แม้จะเล็กแค่ไหนก็ตาม
บางวันเราทำตามเป้าหมายสำเร็จ แต่ยังไม่ทันได้ดีใจกับความสำเร็จเล็กๆ นี้ เราก็รู้สึก ‘ด้อยกว่า’ เพียงเพราะเปิดไปเห็นชีวิตสมบูรณ์แบบของคนอื่นบนโซเชียลมีเดีย กลายเป็นว่าความสำเร็จของเรานั้นช่างน้อยนิดและรู้สึกเหมือนพยายามเท่าไหร่ก็ไม่พอเสียที
แม้จะประสบความสำเร็จในชีวิตระดับหนึ่งแล้ว เราก็ไม่ได้รู้สึกมีความสุขเลย เพราะสังคมนั้นเต็มไปด้วยคนที่เก่งกว่า รวยกว่า และมีความสามารถมากกว่า
เอริกสันแนะนำว่า ในการที่เราจะเดินหน้าทำตามความฝันได้นั้น เราต้อง ‘หยุด’ เปรียบเทียบชีวิตตัวเองกับชีวิตคนอื่นเสียก่อน อย่าหลงเชื่อทุกอย่างที่เห็นบนโลกโซเชียล และหัด ‘เรียนรู้’ ที่จะยินดีกับความสำเร็จทุกๆ ขั้นของตนเอง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เพราะแรงใจเหล่านี้นี่เองจะเป็นตัวผลักดันให้เราไปต่อ ไม่เช่นนั้นเราคงวิ่งตามความสมบูรณ์แบบอย่างไม่หยุดหย่อนเหมือนหนูแฮมสเตอร์ในกังหันลม (ต่างกันตรงที่แฮมสเตอร์ยังมีความสุข แต่เราไม่มี)
1
ดังนั้นหัดออกจากโลกออนไลน์ ปิดมือถือ ล็อกเอาท์ออกจากอินสตาแกรมบ้างสักวัน ใช้เวลาสำรวจชีวิตตัวเองและแสดงความยินดีกับตัวเองที่มาได้ไกลขนาดนี้ หันมามีความสุขและมองเห็นคุณค่าของคนรอบตัว หรือพักผ่อนตามใจตัวเองบ้าง อย่าปล่อยให้การเดินทางตามความฝันเป็นเส้นทางที่ไม่มีความสุขนะ เดี๋ยวจะไปได้ไม่ไกล
บทเรียนที่ 6 ฝึกเดินให้อยู่บนเส้นทาง
ลองจินตนาการถึงเครื่องบินที่กำลังบินจากไมอามีไปนิวยอร์กดู แม้ตอนเครื่องขึ้นสู่ฟ้า ทุกอย่างจะเป็นไปได้สวย แต่ถ้าหากนักบินเผลอออกนอกเส้นทางแค่องศาเดียว ผู้โดยสารอาจลงเอยกลางมหาสมุทรแอตแลนติกแทนที่จะเป็นสนามบิน JFK
เพียงแค่ 1 องศา แม้จะดูไม่แตกต่างในตอนแรก แต่ผลที่ตามมากลับแตกต่างอย่างมหันต์
การเดินทางตามความฝันของเราเช่นกัน ช่วงแรกเราอาจเริ่มด้วยไฟอันแรงกล้า แต่ถ้าหากเราเถลไถลออกนอกเส้นทางไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเราจะพบว่าเราหลงทางไปเรียบร้อยแล้ว ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าการเปลี่ยนแปลงนิสัยหรือพฤติกรรมเป็นเรื่องยาก แถมแรงดึงดูดจากนิสัยเดิมๆ นั้นก็ช่างดูอบอุ่นและคุ้นเคยเหลือเกิน
แล้วถ้าเราอยากฝึกให้ตัวเองอยู่บนเส้นทางให้ตลอดรอดฝั่งต้องทำอย่างไร? เอริกสันแนะนำว่าเราต้องรู้จัก ‘ความสม่ำเสมอ’ ในการกระทำ ‘การปรับตัว’ ต่อสถานการณ์ไม่คาดคิด ‘การตอกย้ำ’ ตัวเองให้นึกถึงเป้าหมาย และ ‘การให้รางวัล’ ความพยายาม ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ เพื่อเป็นแรงใจให้ตัวเราไปต่อ
สิ่งเหล่านี้นี่เองที่ช่วยให้เขาเดินบนเส้นทางของความฝันได้มาตลอด 20 ปี แม้จะออกนอกเส้นทางไปบ้างแต่ก็กลับมาได้ทุกครั้ง จนทำตามความฝันในการตีพิมพ์หนังสือเล่มแรกได้ในที่สุดนั่นเอง
อ้างอิง:
หนังสือ Surrounded by Setbacks โดย Thomas Erikson
#missiontothemoon
#missiontothemoonpodcast
#bookreview
#softskills
โฆษณา