17 ก.พ. 2022 เวลา 14:48 • ดนตรี เพลง
I always wanna die (sometimes)
ผมว่าบางครั้งชีวิตก็เล่นตลกกับเรา วันนึงสายลมก็พัดพาเรื่องราวดีๆเข้ามาในชีวิต แต่บางวันผมก็รู้สึกเหมือนถูกพายุลูกใหญ่พัดพาเอาความสุขทั้งหมดของผมหายไปเหมือนกัน เอาเข้าจริงผมก็จำไม่ได้หรอกว่าสายลมเหล่านั้นพัดพาเรื่องราวและความแปรเปลี่ยนเข้ามาในชีวิตผมมากน้อยเพียงใด แต่ผมยังคงคุ้นเคยและจดจำความรู้สึกเหล่านั้นได้เป็นอย่างดี
นอกจากรูปภาพที่เก็บทุกความทรงจำแล้ว ก็เพลงเนี่ยแหละที่เก็บทุกความรู้สึก
MysteriousPuzzle
ผมเชื่อว่าหลายๆคน คงเก็บทุกภาพความทรงจำและทุกความรู้สึกซ่อนเอาไว้ผ่านตัวกลางอะไรซักอย่าง และแน่นอน “บทเพลง” ก็ถือเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับใครหลายคนรวมถึงตัวผมเองด้วย เพราะต่อให้เราจะยังคงเจ็บปวด เฉยชา หรือยินดีกับเหตุการณ์เหล่านั้น แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่บทเพลงนั้นถูกเปิด ทุกความรู้สึกก็จะยังคงตราตรึงและเอ่อล้นอยู่ในเพลงเหล่านั้นอยู่เสมอ
วันนึงท่ามกลางความเงียบสงบและภวังค์แห่งความคิดของผม ใจของผมตอนนั้นเรียกได้ว่าเต็มไปด้วยความว่างเปล่า เหงา เปล่าเปลี่ยว และมีคำถามมากมายที่ไร้ซึ่งคำตอบวนเวียนอยู่ในนั้น ได้แต่นอนฟังเพลง จมอยู่กับตัวเอง คิดทบทวนในหัวไปเรื่อยๆ มันเหมือนกับความรู้สึกมากมายที่เก็บเอาไว้จนพูดไม่ออก จะร้องไห้ก็คงร้องได้ไม่เต็มที่ รู้สึกเหมือนกับว่าโลกใบนี้คงไม่มีใครเข้าใจเราดีเท่ากับตัวเราเอง คงไม่จำเป็นต้องพูดทุกอย่างมันออกไป ผมจึงเลือกที่จะฟังเพลงและปล่อยความคิดให้ไหลต่อไปเรื่อยๆ จนกระทั่งมาถึงเพลงที่ผมไม่เคยฟังมาก่อน แต่มันกลับเป็นเหมือนเพื่อนที่พูดแทนใจผมไปทุกอย่างและคอยนั่งปลอบประโลมผมอยู่ข้างๆ และนั่นก็คือเพลง “ I always wanna die (sometimes)”
แล้วเพลงที่เก็บซ่อนทุกความทรงจำและความรู้สึกของคุณล่ะ คือเพลงอะไร?
ผมเองก็เป็นคนธรรมดาคนนึงที่เก็บทุกความรู้สึกเอาไว้ผ่านบทเพลงที่มีชื่อว่า “ I always wanna die (sometimes) “ ของ The 1975 จริงๆผมอาจไม่ได้ผ่านเรื่องราวอะไรมามากมายซักเท่าไหร่ ก็มีดีร้ายปะปนกันไปเป็นสีสันของชีวิต แต่บางครั้งการที่ต้องเผชิญกับอะไรหลายๆอย่างก็ทำให้ผมอยากจะ wanna die เหมือนกัน แต่มันก็แค่ความคิด sometimes เท่านั้นแหละ
มีวันนึงช่วงฤดูใบไม้ร่วงในปี 2017 อาจจะเป็นช่วงเวลาที่หม่นหมองที่สุดของแมตตี้ เขานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นแล้วเล่นเพลงนี้ให้ผมฟังด้วยกีต้าร์โปร่ง ผมรู้เลยว่าทุกอย่างจะเป็นไปได้ด้วยดีหลังจากได้ฟังมัน
Jamie Oborne เจ้าของค่าย Dirty Hits ทวีตถึงเพลงนี้
บทเพลงนี้นอกจากจะเป็นเหมือนเพื่อนของผมแล้ว ยังเป็นเหมือนหลุมดำที่ดูดกลืนทุกความเศร้าโศกและความดีใจของผม ไม่ว่าผมจะผ่านเรื่องราวในชีวิตไปมากเท่าไร มันก็จะยังคงร่วมเดินทางไปกับผมเสมอ
ผมจึงอยากจะส่งต่อความลึกซึ้งของบทเพลงนี้ให้กับท่านผู้อ่านผ่านบางท่อนบางตอนที่จะหยิบยกขึ้นมาต่อไปนี้ครับ หวังว่าเพลงนี้จะเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในใจของใครหลายๆคนนะครับ;)
“I bet you thought your life would change but you’re sat on a train again”
“พนันเลยว่าคุณคงเคยเคยคิดว่าชีวิตคงเปลี่ยนไป แต่คุณก็ยังนั่งอยู่บนรถไฟขบวนเดิม”
เป็นแนวคิดเปรียบเทียบการใช้ชีวิต ผ่านการนั่งรถไฟรถไปจนสุดสถานี ที่มีเป้าหมายเป็นปลายทางรออยู่ ที่สุดท้ายแม้จะผ่านไปจนถึงที่หมายแล้ว รถไฟก็ยังคงต้องกลับไปยังจุดเริ่มต้นแล้วก็เดินรถต่อไปอย่างนั้น เหมือนกับชีวิตเราที่แม้จะตั้งเป้าหมายให้ตัวเองจนทำสำเร็จแล้ว แต่ยังไงเราก็ยังคงต้องทำแบบนั้นไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะสิ้นสุดที่อะไร เป็นการให้ความหมายของชีวิตที่ไม่ได้มีเป้าหมายอยู่จริง ๆ ผ่านมุมมองที่แมตตี้มอง
“Your memories are sceneries for things you said but never really meant”
“วิวนอกหน้าต่างเป็นภาพความทรงจำกับคำพูดที่คุณเคนเอื้อนเอ่ย แต่ไม่ได้ตั้งใจสื่อแบบนั้นจริงๆ”
ยังอยู่บนรถไฟที่ข้างนอกหน้าต่างที่เราเหม่อมองออกไปมีแต่ภาพความทรงจำและคำพูดในอดีตของตัวเองที่กลับมาตอกย้ำ ท่อนนี้แมตตี้ค่อนข้างจะเอนเอียงไปพูดถึงเรื่องความสัมพันธ์ พูดถึงคนพวกที่มีความรู้สึกว่าตัวเองดีไม่พอ เช่น ไม่ดีพอกับคนที่อยู่ข้าง ๆ เท่ากับที่คนอื่นจะทำได้ เป็นความรู้สึกที่อยากจะเป็นคนที่เข้าใจคนอื่นหรืออะไรมากกว่านี้เพื่อที่จะเป็นคนแบบที่อยากเป็น และจริงใจกับคนอื่นมากขึ้น
"But your death it won't happen to you, it happens to your family and your friends."
“แต่การตายจะไม่เกิดขึ้นกับคุณ มันจะเกิดขึ้นกับครอบครัวและเพื่อนของคุณ ผมแสร้งคิดแบบนั้น”
ความจริงแล้วท่อนนี้เป็นอีกมุมมองของแมตตี้ต่อการตายหรือการฆ่าตัวตาย ด้วยความที่ว่าไม่มีความเชื่อทางศาสนาและคิดว่าการตายก็เหมือนกับตอนยังไม่เกิด คือจากการไม่มีตัวตนสู่การไม่มีตัวตนอีกครั้ง เขาไม่ได้กลัวความตายเพราะมันแทบจะไม่มีอะไรต่างจากเดิมเลย แมตตี้ก็เลยหาเหตุผลอื่นมารองรับว่าถ้าตายแล้วยังไงต่อ ซึ่งเขาก็คิดถึงแค่คนเบื้องหลังที่เขามีในชีวิตที่อาจเป็นคนพวกนั้นที่จะต้องรับผิดชอบสิ่งที่เขาทำไว้ และเสียใจ ท่อนนี้ไม่ได้ตัดสินคนที่ทำลงไปหรือคิดจะทำ เป็นมุมมองความคิดต่อชีวิตเขาเอง
1
“And I always wanna die, sometimes
I always wanna die, sometimes”
“ผมก็อยากตายอยู่เสมอ (เป็นบางครั้ง)
ผมอยากตายอยู่เสมอ (เป็นบางครั้ง)”
เหตุผลที่ต้องเป็นประโยคนี้และยังเป็นชื่อเพลงอีกด้วย แมตตี้พูดว่าตอนนี้คำว่า "อยากตาย" ก็กลายเป็นเหมือนมีมที่นิยมใช้กัน ทั้งในชีวิตและโลกออนไลน์ คนต่างใช้มันเพื่อที่จะแสดงความรู้สึกต่อทุกอย่างที่ไม่ได้อย่างใจ หรืออาจจะเพราะความเบื่อหน่าย และเหน็ดเหนื่อยในการใช้ชีวิต ทุกวันที่มันย่ำอยู่กับที่ เป็นเสมือนการพูดแสดงความรู้สึกว่าอยากตาย เหมือนกับบ่นว่าหิวข้าวอะไรแบบนั้น แมตตี้บอกว่ามันน่าจะเป็นประโยคที่คนเห็นแล้วเข้าใจความรู้สึกที่สุดแล้ว
และท่อนนี้คือท่อนที่ผมรู้สึกว่า เป็นประโยคที่ให้กำลังใจแทนคำว่าสู้ ๆ ได้ดีเลยทีเดียว
"You win, you lose, you sing the blues"
“คุณชนะได้ แพ้ได้ คุณก็ร้องเพลงเศร้าออกไป”
ชีวิตก็ต้องมีดี มีล้ม ถ้าวันไหนที่ไม่ได้ดั่งใจเราก็แค่ฟังเพลงหรือร้องเพลงเศร้า มันก็แค่ปัญหาที่เข้ามายุ่งเหยิงก่อนที่สักวันหนึ่งมันจะหายไป(ตาย) เพราะฉะนั้นก็แค่ก้าวผ่านตรงนี้ไปให้ได้ ไม่ได้เปรียบเทียบกับอะไรเลย แค่บอกว่าวันที่เจอเรื่องร้าย ๆ ก็ร้องเพลงปลอบตัวเองไปก็แค่นั้น
ก็อย่างที่แมตตี้บอกไว้ว่าชีวิตคนเราก็ต้องมีล้ม มีดีมีแย่ปะปนกันไป เราก็แค่เปิดเพลงร้องเพลงปลอบตัวเองและก้าวต่อไปให้ได้ก็แค่นั้น
ผมหวังว่าบทความของผมในวันนี้จะทำให้ใครหลายๆคนรู้สึกมีกำลังใจในการใช้ชีวิตมากขึ้นนะครับ ;)
ขอขอบคุณการวิเคราะห์และแปลเพลงจาก :
ขอบคุณครับ
โฆษณา