17 ก.พ. 2022 เวลา 17:47 • ความงาม
Zara - Zara Olfactive: Stunningly Venice
เมื่อความสำเร็จในการจับมือกันสร้างสรรค์น้ำหอมของ Zara กับ Jo Malone CBE (หรือ Jo Loves) ใน Collection - Zara Emotions สู่การต่อยอดที่สร้างสรรค์น้ำหอมอย่างต่อเนื่องในการเป็นร่มไม้ชายคาเดียวกับ Zara Emotions ในสไตล์ Collection แตกแขนง ไม่ว่าจะเป็น Lullaby, The Glace Collection for Kids, Rain Collection และ Desert Collection ซึ่งสายแตกแขนงทั้งหมดที่บอกไป นั่นคือไม่เข้ามาจำหน่ายในไทยเลย ตึ่งโป๊ะ!
แต่ในเมื่อความสำเร็จและความนิยมที่ทำให้ Zara และ Jo Malone CBE ยังเห็นว่าการสร้างสรรค์กลิ่นยังไม่ควรสิ้นสุด คราวนี้ Collection ใหม่จึงบังเกิด ซึ่งนั่นก็คือ Zara Olfactive (หรือหลายๆ สำนักอาจจะเรียกว่า Zara Vibrant Cities) ซึ่งคราวนี้ที่มาที่ไปเริ่มจะขยายไปสู่เมืองต่างๆ ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับแบรนด์ Zara ในการสร้างสรรค์แฟชั่นมาในทุกวันนี้ ซึ่งแน่นอนว่ามีทั้งหมด 8 เมือง ที่นำมาสู่ 8 กลิ่น แต่จะมาเล่ากลิ่นครบไหมไว้ว่ากันในโอกาสต่อๆ ไป แต่สำหรับครั้งนี้ จะพาไปเจอกับกับการเป็น 1 ใน 8 กลิ่น ที่จะให้ความอึ้งทึ่งเสียวตามชื่อรุ่นกันซักหน่อยที่เมืองเวนิส ประเทศอิตาลี ซึ่งกลิ่นจะออกมาในลักษณะไหนว่ากันได้ตามนี้
คำโปรยแรกเริ่มที่ Jo Malone ลงไว้ คือ “Doorways of Light Tell the Stories of Love - ประตูแห่งแสงสว่างที่เล่าเรื่องราวความรัก” ซึ่งก็ถือว่า Link เข้ากับเนื้อกลิ่นได้อยู่ในแง่ความโรแมนติคและสดใสกับการเป็นโทน Citrus Berry ที่เปิดตัวมาตั้งแต่แรกสุด ซึ่งเนื้อกลิ่นจะให้ความเป็นโทนเขียวปร่าขมแกมเปรี้ยวของมะกรูดฝรั่ง (Bergamot) ที่ล้อมกรอบโทนเบอร์รี่สีแดงแนวเรดเคอแรนท์และแครนเบอร์รี่ที่เป็นตัวสร้างความเปรี้ยวหอมแบบเบอร์รี่สีแดงติดปร่า Spicy นิดๆ ตัดทอนให้มีลูกเอื้อนหวานเล็กๆ ด้วยสตรอว์เบอร์รี่ ให้เนื้อกลิ่นมีความสดชื่นและสดใส ได้อารมณ์กึ่ง Shower Gel กึ่งบอดี้โลชั่นกลิ่นเบอร์รี่สีแดงรวมหอมสดชื่นขึ้นมาเลย แต่
เนื้อกลิ่นไม่ได้ทื่อซื่อตรงชวนอาบน้ำ + ชโลมโลชั่นทาผิวเกินไปนัก เพราะว่าจับต้องได้ถึงโทนดอกไม้ที่ซ้อนซ่อนเนียนอยู่ในเนื้อกลิ่นด้วยเลยทำให้เนื้อกลิ่นมีความโรแมนติคแบบเรียบหรูเข้ามาให้รู้สึกได้ ถือว่าคุมสมดุลย์ได้ดีและมีสไตล์ออกทาง Cologne แบบที่ Jo Malone ช่ำชอง
การเข้าสู่ช่วงกลางจะชัดเจนมากกับการเป็นโทน Fruity Floral เพราะเนื้อกลิ่นจะให้โทนสีแดงที่อ่อนลงมาเมื่อผสมกับโทนสีชมพูกึ่งขาวนวลของโทนดอกไม้ แน่นอนว่าให้โทนสีชมพูแนวโรแมนติคและมีความเป็นสาย Feminine เกิน 80% ได้เลย ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงต้นจะตามมาทั้งหมด แต่จะแบ่งเค้กและผสมผสานกันได้เป็นอย่างดี เพราะในวูบกลิ่นที่ลอยเข้าจมูกจะจับต้องได้ถึงโทนเบอร์รี่สีแดงที่ติดเปรี้ยวปลายกลิ่นแกมขมของมะกรูดฝรั่งผสมกับโทนดอกไม้ที่ค่อนไปทางกุหลาบกับโบตั๋นสูงมาก รวมถึงจะมีลูกเอื้อนความนวลระเรื่อหน่อยๆ คล้ายมะลิอยู่ด้วย โดยพื้นกลิ่นจะรู้สึกได้ถึงโทนปร่านวลสะอาดที่เนียนๆ เข้ามาเสริมให้กลิ่นมีน้ำหนักมากขึ้นของพริกไทย ทำให้เนื้อกลิ่นได้มิติความเป็นสีชมพูที่หวานโปร่งมีความสดใสก็ได้ หวานน่ารักแบบไม่ได้วัยรุ่นจ๋าเกินไปแต่มีเสน่ห์แบบวางตัวดีก็สามารถ ซึ่งช่วงนี้คือความโรแมนติคสดใสชัดเจน และตรงตามคำโปรยของรุ่นเสียด้วย
เมื่อเนื้อกลิ่นเริ่มมีโทนกลิ่นหวานแกมอบอุ่นที่มีความเป็นยางไม้กึ่งไม้หอมที่ติดหวานลึกหน่อยให้รู้สึกได้ ก็จะปรับเปลี่ยนสถานะในการเข้าสู่ช่วงท้ายของน้ำหอมที่จะเป็นช่วงหวานอบอุ่นแล้ว ซึ่งเนื้อกลิ่นในช่วงกลางจะตามมาเฉพาะโทนเบอร์รี่สีแดงที่ยังให้ลูกเอื้อนความสดใสอยู่แบบปลายกลิ่น และกลิ่นโทนดอกไม้แนวกุหลาบซ้อนด้วยโบตั๋นที่ให้ลักษณะกุหลาบออกทางสดชื่นสีชมพูที่มาผสมผสานกับโทนอบอุ่นแบบกำลังดี
โดยในโทนอบอุ่นเมื่อจับต้องกลิ่นแล้วลองแยกเนื้อกลิ่นดูจะมีกลิ่นโทนยางไม้สายแอมเบอร์แต่ติดหวานหน่อยของ Myrrh ที่มาแบบกลางค่อนเบา ให้อารมณ์อบอุ่นแบบเย้ายวนพอเหมาะ เสริมด้วยกลิ่นคล้ายๆ Ambroxan อ่อนๆ ที่สร้างวูบกลิ่นไม้หอมอวลๆ ติดเค็มบางๆ และแน่นอนมีโทนออกทาง Musk ที่มาทำให้เกิดความนวลสะอาดเป็นเสมือนตัวกลางที่สอดรับกับโทนไม้หอมแกมยางไม้อบอุ่นและกลิ่นโทนหวานโปร่งนวลดอกไม้เข้ามาเป็นเลเยอร์ที่มีมิติอบอุ่นและโรแมนติคมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่าให้ความเป็นสีชมพูแกมอบอุ่นโรแมนติคชัดเจนเป็นโทนกลิ่นปิดท้าย แบบที่เข้าถึงได้ง่ายและมีเสน่ห์แบบไม่เยอะสิ่งมาก
เหมาะสำหรับ - ลงไว้ว่า Unisex แต่เข้าทางการเป็นน้ำหอมผู้หญิงแบบ 80 - 90% เลย เพราะเนื้อกลิ่นมาในโทนสีชมพูที่เป็น Floral Fruity ชัดเจน ซึ่งเข้ากับหลายๆ สถานการณ์ยามกลางวันไม่ว่าจะทางการหรือทั่วๆ ไป เพราะเนื้อกลิ่นให้ความสดใสแบบมีระดับไม่ได้ดูวัยรุ่นเกินไป แต่ให้ความโรแมนติคที่ลงตัว จะมีก็แต่การใส่เพื่อออกกำลังกายที่ตัดออกไปเถอะ ส่วนยามค่ำคืนเน้นใส่ออกงานหรือว่าอยู่กับคนรักเข้าทางที่สุดแล้ว ส่วนผู้ชายใส่กลิ่นนี้ได้ไหมเอาจริงๆ ก็ได้อยู่ เพราะกลิ่นไม่ได้มาสายปล่อยพลังเกินไป มันก็สร้างความโรแมนติคแบบโทนสีชมพูกับการแต่งกายแบบสว่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน
ความทน - อยู่ที่ราวๆ 6 ชม. เป็นสำคัญ อาจจะมีลบบ้างราวๆ 2 ชม. แต่บวกจะมากขนาดไหนขึ้นอยู่กับสภาพผิวกายที่จะกักเก็บน้ำหอมและสภาพอากาศด้วยส่วนหนึ่ง ส่วนตัวใช้ไป 6 สเปรย์ เจออยู่ระหว่างที่ 6 - 10 ชม. แล้วแต่ว่าวันนั้นร้อนจนเหงื่อออกบ่อยหรือว่าอากาศเย็นๆ กำลังดี
การกระจาย - กลิ่นกระจายดีในตอนต้นประมาณ 5 - 10 นาที แล้วจะผ่อนลงมาที่ออร่ารอบๆ ตัวไวพอสมควร แต่ก็คงที่ยาวไปจนถึงชั่วโมงที่ 4 - 6 แล้วถึงเป็น Skin Scent ตามลำดับ แต่เวลาขยับเนื้อตัว กลิ่นก็จะดีขึ้นมาให้เรารับรู้เป็นวูบๆ ได้อยู่
สรุป - ถ้าจะเอามาเทียบกับสภาพแวดล้อมที่มีกลิ่นไอน้ำทะเลเพราะเวนิสเป็นเมืองแห่งสายน้ำอันนี้น่าจะไม่เข้าทาง แต่พิจารณากันจริงๆ Jo Malone น่าจะร้อยเรียงเอาอีกฉายาของเวนิสว่า The City of Light มาผูกกับความโรแมนติคเวลาที่ไปกับคนรัก โดยเอา Notes กลิ่นที่สร้างความน่ารัก สดใส แต่ไม่ดูเยาว์วัยไปมาเป็นตัวเดินกลิ่นในการสร้างความสุขและเรื่องราวในความรัก อันนี้ถือว่า “ได้” ซึ่งถือว่ามีสไตล์กลิ่นที่มีความมินิมัลแบบที่ไม่ต้องหวือหวาแต่เอาอยู่อย่างมีระดับใน Style ของสุคนธกรชัดเจน
หมายเหตุ:
1. บทความนี้มาจากประสบการณ์ใช้ส่วนบุคคล สามารถเป็นได้ถ้าใช้แล้วไม่เหมือนกับที่ผมเขียน เพราะน้ำหอมเวลาอยู่บนผิวแต่ละคนอาจจะแตกต่างกันไปได้ ซึ่งมันเป็นได้ทั้งเสน่ห์เฉพาะและเป็นข้อเสียสำหรับคนที่ไม่ชอบในเวลาเดียวกัน
2. บทความนี้เป็นทรัพย์สินทางปัญญาประเภทหนึ่งที่กฎหมายรับรอง ห้าม!!! ผู้ใดจะเอาไปใช้อ้างอิงทางการพาณิชย์ ยกเว้นแบรนด์ สุคนธกร และเจ้าของแบรนด์ในการสร้างสรรค์กลิ่นนี้ที่จะสามารถนำไปใช้ได้ ในกรณีถ้าเจอว่ามีบุคคลนำไปใช้โดยไม่ได้รับอนุญาต ก็ต้องว่าตามบริบทของกฎหมาย รวมถึงกรณีเมื่อมีร้านไหนนำไปใช้ตามการอนุญาตแล้ว ก็ขอแจ้งว่า ”เข็มขัดสั้นไม่ได้เกี่ยวข้องใดๆ กับร้านน้ำหอม/ผู้จำหน่ายคนนั้นๆ”
โฆษณา