18 ก.พ. 2022 เวลา 03:44 • การศึกษา
ทำไมต้อง I message เมื่อต้องการจะสื่อสาร ?
จาก 2 บทความก่อนหน้าอู๋ได้พาให้ทุกคนมาเรียนรู้เรื่อง การสื่อสารที่ไม่สร้างสรรค์ ที่เป็นเหตุที่ทำให้เกิดความขัดแย้งกันไปแล้วจากบทความนี้ (https://www.facebook.com/102826678248067/posts/426418872555511/)
หลังจากนั้นก็ได้พาทุกคน ไปเรียนรู้เรื่อง การสื่อสารที่มีประสิทธิภาพ ว่าการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพนั้นจะมีลักษณะอย่างไร (https://www.facebook.com/102826678248067/posts/438258624704869/)
วันนี้จึงได้ฤกษ์มาต่อยอดเพิ่มทักษะ ติดอาวุธให้กับทุกคนเพิ่มเติม เพื่อการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น และลดความขัดแย้งลง ด้วย “ I-Message ” ค่ะ
“I-Message” เป็นการสื่อสารเชิงบวกรูปแบบหนึ่งที่ทำให้ผู้ฟังเกิดความเข้าใจ เปิดใจรับฟัง และไม่เกิดการต่อต้านด้วยอารมณ์ ตลอดจนสร้างแรงจูงใจในการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมได้อีกด้วย เหมาะสำหรับพ่อแม่ หรือผู้ที่ต้องการฝึกการสนทนาเชิงบวกค่ะ
ก่อนจะไปเรียนรู้และปรับวิธีการสื่อสารให้เป็นการสื่อสารเชิงบวก ลองมาสำรวจและเรียนรู้กันก่อนว่า ตัวเราเองเคยสื่อสารด้วยประโยคเหล่านี้หรือไม่ ?
-ปิดเดี๋ยวนี้ ใครอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ในห้องประชุม
-ดูลูกข้างบ้านสิ เขาขยันเรียนกันจะตาย
-ดูน้องเป็นตัวอย่าง น้องตั้งใจเรียนกว่าเธอมากเลย เอาน้องเป็นตัวอย่างบ้างนะ
-ก็เธอทำตัวแบบนี้ ใครเค้าอยากจะคบด้วย
-เลิกบ่นสักทีได้มั้ย น่ารำคาญจริง
ถ้าคำตอบคือ ใช่ ใช้ประโยคลักษณะเหล่านี้บ่อยๆ เราค่อยๆมาเรียนรู้และปรับไปพร้อมกันค่ะ
เมื่อเกิดบทสนทนาระหว่างคน 2 คนขึ้นมาแล้ว สื่อกลางในการสื่อสารนั่นก็คือ “สาร หรือ Message”
สาร (Message) คือ ถ้อยคำที่เราใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน มี 3 ลักษณะ คือ
1. I message เป็นการสื่อสารที่ผู้พูดขึ้นต้นประโยค โดยการใช้สรรพนามแทนตัวเอง สื่อความรู้สึกและความต้องการของตนเอง ให้ผู้ฟังรับทราบได้อย่างชัดเจน รวมทั้งสามารถเลือกใช้คำที่เหมาะสมและให้ความหมายด้านบวก เช่น
-แม่รู้สึกเสียใจที่ไม่รู้เรื่องนี้มาก่อน ลองเล่าให้แม่ฟังซิว่าเรื่องเป็นยังไง
-ฉันอยากให้เธอเก็บเสื้อผ้าที่ใส่แล้วลงตะกร้า
-แม่เป็นห่วงที่ลูกกลับบ้านช้า แม่อยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารในลักษณะนี้ทำให้
• ผู้พูดเข้าใจ สามารถแยกแยะความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจน
• ผู้ฟังเข้าใจอารมณ์และความต้องการของผู้พูด
• หลีกเลี่ยงผลกระทบทางลบ
2. You message
เป็นการสื่อสารที่มักจะใช้สรรพนามขึ้นต้นประโยคเจาะจงไปยังผู้ฟัง เช่น แก เธอ คุณ เป็นต้น โดยผู้พูดไม่สามารถสื่อความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของตนเองให้กับผู้ฟังได้อย่างชัดเจน เช่น
-ทำไมลูกถึงมาบอกเอาตอนนี้ นี่มันกี่โมงกี่ยามแล้ว
-เรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมทำไม่ได้
-บอกไปตั้งกี่ครั้งแล้วว่าให้ทำแบบนี้ เธอนี่ไม่ได้เรื่องเลย
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารในลักษณะนี้ทำให้
• ผู้ฟังมีความลำบากใจที่จะเข้าใจความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของผู้พูด
• ผู้ฟังรู้สึกว่าตนเองถูกตำหนิ ถูกดูถูก ถูกวิพากษ์วิจารณ์ และถูกบังคับ
• ผู้ฟังรู้สึกถูกตอกย้ำถึงความไม่ดี และคุณค่าในตนเองต่ำ (Low self-esteem)
3. He or they message
เป็นการสื่อสารที่ผู้พูดอ้างถึงบุคคลอื่น ทำให้ไม่สามารถสื่อความรู้สึกนึกคิดและความต้องการของตนเองได้อย่างชัดเจน เช่น
-ป้ายังบอกเลยว่าลูกเป็นคนไม่รับผิดชอบ
-ใครๆเค้าก็พูดกันทั้งนั้นแหละ ว่าสิ่งนี้มันไม่ดี
-ลุงข้างบ้านยังบ่นเลยว่าลูกเล่นแรง เล่นเสียงดัง
จะเห็นได้ว่าการสื่อสารในลักษณะนี้ ทำให้
• ผู้ฟังเกิดความรู้สึกถูกเปรียบเทียบ
• ผู้ฟังไม่เข้าใจความรู้สึกและความต้องการของผู้พูดและทำให้ตีความหมายผิดได้ง่าย
ดังนั้นเมื่อพิจารณาดูลักษณะของการสื่อสารทั้ง 3 แบบแล้ว ลักษณะการสื่อสารที่เหมาะสมสร้างสรรค์ ก็ควรจะเป็นแบบ “I message “ เพราะ ผู้พูดเข้าใจ สามารถแยกแยะความรู้สึกของตนเองได้ชัดเจน ผู้ฟังเข้าใจอารมณ์และความต้องการของผู้พูด
ทำให้ลดผลกระทบทางลบจากการสื่อสารลงได้
รู้แบบนี้แล้วลองไปฝึกพูดสื่อสารเชิงบวกด้วย I message กันนะคะ
เรียบเรียงโดย
#นักจิตขี้เม้าส์ #นักจิตอูยอน
แหล่งที่มา
-คู่มือวิทยากร การฝึกอบรมผู้ปกครอง เรื่องวิธีปรับพฤติกรรมเด็ก สาขาจิตเวชเด็กและวัยรุ่น ภาควิชาจิตเวชศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล
-สร้างความสัมพันธ์ด้วยการสื่อสารเชิงบวก (สสส)
#positivecommunication #imessage #การสื่อสารเชิงบวก #psychology
โฆษณา