19 ก.พ. 2022 เวลา 10:11 • ประวัติศาสตร์
การกินอยู่ของคนในสมัยอยุธยา ตอนที่ 4
2
“เหล้า” “ร้านเหล้า” พิธีกรรมหรือการเข้าสังคมในสมัยอยุธยา
2
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดอ่างแก้ว เขตภาษีเจริญ กรุงเทพฯ ที่มา: ฐานข้อมูลจิตรกรรมฝาผนัง สถาบันไทยคดีศึกษา ม.ธรรมศาสตร์
ต่อเนื่องจากตอนที่ 3 “เกลือ” เคล็ดลับความอร่อย “สัตว์ใหญ่” คนอยุธยาไม่กินกัน ผมได้แปะลิ้งค์ไว้ที่ด้านล่างของบทความนี้ก่อนเชิงอรรถอ้างอิง สามารถเข้าไปอ่านย้อนหลังได้ครับ มาเริ่มเนื้อหาตอนที่ 4 ต่อได้เลยครับ
1
  • “เหล้า” เครื่องดื่มมึนเมาในสมัยอยุธยา
...
  • จากบันทึกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์ โดย ลา ลูแบร์ หรือ แชร์แวส และพระสังฆราชแห่งเบริธ กล่าวเหมือนกันว่า “น้ำเปล่าธรรมดาเป็นเครื่องดื่มหลักตามปกติของคนอยุธยาสมัยนั้น” (มีน้ำมะพร้าวด้วยรองลงมา) “คนอยุธยาแต่เดิมไม่สู้ดื่มสุราเท่าใดนัก” (ในยามปกติ)
8
  • ลา ลูแบร์ กล่าวว่า “การบริโภคสุรา เป็นเรื่องน่าละอายในสังคม”
2
  • แชร์แวส กล่าวว่า “นักเลงสุราถือว่าเป็นความชั่ว ไม่ใช่คุณสมบัติของสาธุชน ต้องแอบกินอย่างซุกซ่อน”
2
  • คนจีนดื่มชา แขกมัวร์ดื่มกาแฟซึ่งนำมาจากอาหรับ ชาวโปรตุเกสดื่มโกโก้นำมาจากมะนิลา (อาณานิคมของสเปนสมัยนั้น)
4
...
  • จาก “จดหมายเหตุโจวต้ากวาน” คณะทูตจีนที่เดินทางมายังนครธม เมื่อ พ.ศ. 1839 กล่าวถึงวิธีหมักเหล้าโบราณตามแบบพื้นเมืองของภูมิภาคเอเชียอาคเนย์ไว้ และพูดถึงสุราพื้นเมือง 4 ชนิด ได้แก่
3
  • “สุราน้ำผึ้ง” ทำจากยาหมักเชื้อผสมน้ำผึ้ง ผสมน้ำครึ่งต่อครึ่ง
  • “เผิงหยาซื่อ” ไม่รู้คำเรียกแบบอยุธยา เป็นสุราสกัดได้จากใบไม้ชนิดหนึ่ง
  • “เปาหลิงโก๊ะ” เป็นสุราทำจากข้าวสารหรือข้าวสุกที่เหลือจากการกินปกติ
  • “สุราน้ำตาล” ทำจากน้ำตาล
6
...
  • ส่วนเหล้าที่นิยมในอยุธยาสมัยนั้น ได้แก่
  • “เหล้ากระแช่” หรือที่เรียกว่า “น้ำตาลเมา” ทำจากน้ำตาลสด (มะพร้าวหรือตาลโตนด) ตรงกับสุราพื้นเมืองประเภท 4 ที่ระบุในจดหมายเหตุของโจวต้ากวานด้านบน เหล้าชนิดนี้ขึ้นชื่อว่ารสแรง เมาง่าย
2
  • “อุ” เป็นเหล้าชนิดเก่าแก่หมักโดยใช้ ข้าวเหนียวกล้อง
  • “สาโท” และน้ำขาว จากข้าว เหล้าชนิดนี้เป็นต้นแบบของ “สาเก” ในญี่ปุ่นอีกด้วย จากการเข้ามาติดต่อของคนญี่ปุ่นในสมัยอยุธยา แล้วนำกลับไปดัดแปลงหมักเองที่ญี่ปุ่น
5
  • “เหล้าองุ่น” หรือ “ไวน์” นั่นเอง เนื่องจากมีหลักฐานการขุดค้นพบทางโบราณคดีที่บ้านฮอลันดาแล้วพบขวดแก้วใส่ไวน์ สอดคล้องกับที่ ลา ลูแบร์ เล่าว่า อังกฤษกับฮอลันดานำเอา “เหล้าองุ่น” เข้ามาจากยุโรปและเมืองซีราซในเปอร์เซีย
6
การขุดค้นพบทางโบราณคดีที่บ้านฮอลันดา จ.อยุธยา พบขวดแก้วใส่ไวน์ ที่มารูปภาพ: ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) db.sac.or.th
...
  • บันทึกของ ลา ลูแบร์ มีระบุถึงเมรัยหรือสุราอีก 2 ชนิด ที่คนอยุธยาดื่มกัน ไว้ว่า
“…ชาวสยามดื่มเมรัยอีก 2 ชนิด เรียกกันว่า ตารี (Tari) กับ เนรี (Neri) ทำจากต้นไม้ 2 ชนิดเรียกว่า ปาลมิสต์ (Palmiste) อันเป็นนามเรียกต้นไม้ทุกชนิดบรรดาที่มีใบใหญ่เหมือนต้นปาล์ม วิธีทำเครื่องดื่มชนิดนี้ก็คือในตอนเย็นๆก็เอามีดไปปาดกาบต้นไม้ที่คอต้นใกล้ยอด แล้วเอาขวดผูกรองไว้คะเนให้ปากขวดชิดที่สุดเท่าที่จะทำได้ ลางทีก็เอาดินเหนียวล้อมยาไว้เพื่อมิให้อากาศเข้า รุ่งเช้าขวดนั้นก็เต็ม ขวดที่ว่านี้ตามธรรมชาติก็ใช้กระบอกไม้ไผ่ลำเขื่องๆ ปล้องนั้นคือก้นกระบอก เครื่องดื่มทั้งสองชนิดนี้อาจทำในเวลากลางวันก็ได้เหมือนกัน แต่ว่ากันว่ามันมีรสเปรี้ยว และใช้กันเป็นน้ำส้มสายชู ตารีนั้นทำจากต้นมะพร้าวป่าพันธุ์หนึ่ง ส่วนเนรีนั้นทำจากต้นหมากชนิดหนึ่งซึ่งข้าพเจ้าจะได้กล่าวถึงในโอกาสข้างหน้า
ซิมง เดอ ลา ลูแบร์
7
  • “ร้านเหล้า” ในสมัยอยุธยา
...
  • ชุมชนชาวยุโรปในอยุธยาโดยเฉพาะบ้านโปรตุเกสและบ้านฮอลันดา มีความน่าจะเป็นไปได้ว่าคือสถานที่สำหรับดื่มกินของชาวต่างชาติในสมัยนั้น แต่กลับถูกเรียกว่า “สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า” เพราะเจ้าของบาร์ซึ่งเป็นชาวฝรั่งเศสเป็นคนใจบุญรับเลี้ยงเด็กลูกครึ่งกำพร้าที่พ่อให้กำเนิดกับแม่ซึ่งเป็นหญิงพื้นเมือง ไม่สามารถนำร่วมออกนอกราชอาณาจักรได้นั่นเอง มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นเรื่องฝ่าฝืนกฎหมาย มีความผิดร้ายแรงและไม่สามารถกลับเข้ามาติดต่อค้าขายกับอยุธยาได้อีก
6
ร้านเหล้าสมัยอยุธยา ภาพจิตรกรรมฝาผนังที่วัดประดู่ทรงธรรม ที่มา: น. ณ ปากน้ำ, วัดประดู่ทรงธรรม (กรุงเทพฯ: เมืองโบราณ, 2528) หน้า 58
  • นอกจากร้านเหล้าของชาวต่างชาติในอยุธยาแล้ว สำหรับคนพื้นเมืองและชาวอยุธยาทั่วไปก็จะนิยมไปซื้อตามร้านเหล้า ซึ่งเปิดเป็นอาคารและคนขายเป็นชาวจีน เห็นได้จากหลักฐานที่เป็นภาพจิตรกรรมฝาผนังสมัยอยุธยา
4
  • “เหล้า” พิธีกรรมความเชื่อ หรือ การเข้าสังคม
1
เมื่อมีเทศกาลงานบุญประเพณีหรืองานเลี้ยงเฉลิมฉลอง ก็จะมีการดื่มเหล้าควบคู่กับเนื้อสัตว์ต่างๆ ถือว่าเป็นการกินในโอกาสพิเศษ
...
  • งานศึกษาของ Anthony Reid อธิบายว่า เหล้าในเอเชียอาคเนย์มีคุณสมบัติพิเศษทางวัฒนธรรมความเชื่อ เพราะเดิมมีความเชื่อในหมู่ชาวพื้นเมืองว่า “เหล้ากับเนื้อสัตว์เป็นของคู่กัน” ในงานเลี้ยงฉลอง สัตว์เลี้ยงจะถูกฆ่ากินเพื่อเป็นเครื่องเซ่นสังเวยแก่ผีแก่เทพ เมื่อผีเมื่อเทพกินเสร็จ คนก็กินต่อ
6
เหล้ามีความหมายในงานพิธีกรรม เพราะทำให้ตกอยู่ใน “ภวังค์” มีความเชื่อมาแต่เดิมว่าเหล้าเป็นสื่อนำวิญญาณของ “ร่างทรง” ผู้เชื่อว่าสามารถติดต่อกับผีได้ การเมามายเป็นหนทางให้คนได้ติดต่อกับอำนาจศักดิ์สิทธิ์หรือภูตวิญญาณ
1
...
  • พุทธศาสนาก็ห้ามเรื่องเหล้า ระบุอยู่ในศีล 5 ชัดเจน แต่เหล้าไม่เคยหายไปจากสังคม เพราะงานบุญประเพณีแบบพุทธ-ผี ยังจำเป็นต้องมีเหล้าในการเฉลิมฉลอง
จิตรกรรมฝาผนัง หนุ่มอยุธยาดื่มเหล้าสังสรรค์ ภายในอุโบสถวัดใหญ่อินทาราม จังหวัดชลบุรี ที่มา: silpa-mag.com
  • เหล้าใช้เป็นเครื่องมือในงานเข้าสังคมหรืองานเลี้ยงรื่นเริง ผู้คนในสมัยนั้นจึงนิยมดื่มกินร่วมกันเป็นหมู่คณะมากกว่าดื่มคนเดียวโดดเดี่ยวเดียวดายอย่างที่พบในยุโรป
3
  • “เหล้า” กับแวดวงสังคมชนชั้นสูง
...
  • ในยุคเริ่มแรกของสังคมชนชั้นสูงอยุธยา “ของมึนเมา” มีความอ่อนไหวต่อสถานภาพความเป็นสมมติเทพมากเป็นพิเศษ โดยปกติแล้วกษัตริย์และชนชั้นสูงอยุธยามีธรรมเนียมปฏิบัติว่าจะต้องหลีกเลี่ยงการแตะต้อง “ของมึนเมา” ในที่สาธารณะ เพราะเป็นเรื่องไม่เหมาะสมในฐานะสมมติเทพ
2
  • ต่อมาเมื่อมีคนต่างชาติเข้ามาติดต่อค้าขายในอยุธยามากขึ้น ช่วงคริสต์ศตวรรษ 17-18 สมัยอยุธยาตอนปลาย สมัยนี้เหล้าเป็นที่นิยมในหมู่ชนชั้นสูงของอยุธยา ด้วยเหตุผลที่ว่าสร้างสัมพันธไมตรีที่ดีต่อกัน (ตามคตินิยมของต่างชาติ)
4
จากบันทึกของพ่อค้าฮอลันดาอย่าง ฟาน ฟลีต ได้กล่าวถึงสมเด็จพระเจ้าปราสาททองว่าทรงเป็นนักดื่ม พระองค์โปรดปรานเหล้าแปลกๆ ใหม่ๆ ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ พระราชทานเลี้ยงขุนนางและแขกคนสำคัญในบางโอกาส ทรงสร้างไมตรีกับโชกุนญี่ปุ่น ด้วยการส่งข้าวพันธุ์ดีไปให้หมักเหล้าสาเก
...
ความหมกหมุ่นในสุราของมึนเมา ยิ่งหากควบคู่กับความประพฤติในเรื่องนารีด้วยแล้ว ยิ่งบั่นทอนความเป็นสมมติเทพลง ซึ่งเป็นอันตรายต่อสังคมวัฒนธรรมแบบเจ้าขุนมูลนาย และการตกอยู่ในอำนาจของสิ่งมึนเมา นำมาใช้เป็นข้ออ้างถึงความไม่เหมาะสมของกษัตริย์เพื่อความชอบธรรมในการเปลี่ยนแผ่นดินอีกด้วย ตัวอย่างเช่น
  • “การปฏิวัติ 1688” ชื่อเรียกของบันทึกชางต่างชาติ หรือเหตุการณ์การผลัดเปลี่ยนกษัตริย์จากราชวงศ์ปราสาททองมาเป็นราชวงศ์บ้านพลูหลวง มีกรณีข้อครหาเรื่องความทารุณและกดขี่ในการจัดเตรียมงานต้อนรับชาวต่างชาติในปลายสมัยสมเด็จพระนารายณ์ โดยมีประเด็นเกี่ยวกับ “ของมึนเมา” ถูกนำมาเชื่อมโยงกับการเมืองภายในราชสำนัก
  • การชำระพระราชพงศาวดารกรุงศรีอยุธยาในสมัยรัตนโกสินทร์ ที่มีการกล่าวโจมตีกษัตริย์อยุธยาตอนปลายหลายพระองค์ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับชนชั้นนำ เช่น สมเด็จพระเจ้าเสือได้ถูกตำหนิอย่างมากเรื่องสุราและนารี กับความประพฤติต่างๆที่ไม่เหมาะสม หรือการตกอยู่ในอำนาจของสุราและนารีในกรณีสมเด็จพระเจ้าเอกทัศน์ เป็นเหตุให้เสียกรุงฯ ครั้งที่ 2 พ.ศ. 2310
จบแล้ว ตอนที่ 4
ติดตามได้ในตอนต่อไป…
...
ติดตามตอนที่ 3 จากด้านล่างนี้
  • แหล่งที่มาอ้างอิง:
ประวัติศาสตร์การบริโภคสุราในประเทศไทย โดย พระไพศาลวิสาโล ด้วยการริเริ่มให้มีการศึกษา ของ คณะกรรมการระบาดวิทยาแห่งชาติ เมื่อ พ.ศ. 2538
กำพล จำปาพันธ์, มนุษย์อยุธยา ประวัติศาสตร์สังคม จากข้าวปลา หยูกยา ตำรา Sex (กรุงเทพฯ : มติชน, 2563) หน้า 210-211
โจวต้ากวาน, บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมประเพณีของเจินละ, แปลโดย เฉลิมยง บุญเกิด (กรุงเทพฯ : มติชน, 2557) หน้า 76-77
เดอ ลา ลูแบร์, จดหมายเหตุลา ลูแบร์ ราชอาณาจักรสยาม, แปลโดย สันต์ ท. โกมลบุตร, หน้า 80-81
แอนโทนี รีด, เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุคการค้า พ.ศ. 1450-1680 เล่ม 1 ดินแดนใต้ลม, แปลโดย พงษ์ศรี เลขะวัฒนะ และคณะ (เชียงใหม่: ชิลด์วอร์มบุ๊คส์, 2548) หน้า 41
เรื่องเดียวกัน หน้า 42
Michael Smithies, ed., History of Siam in 1688 (Chiangmai: Silkworm Books, 2003): George Sioris, Phaulkon: The Greek First Counsellor at the Court of Siam (Bangkok: The Siam Society, 1998), pp. 93-105
โฆษณา