22 ก.พ. 2022 เวลา 16:35 • ท่องเที่ยว
การเดินป่าครั้งที่ 2 และโหดที่สุดตั้งแต่เคยเที่ยวมา
ที่ “เขาหลวงนครศรีธรรมราช”
ครั้งแรกที่ผมเดินคือขึ้นภูกระดึง มันคือการเดินเทรกกิ้งครั้งแรกของผมเลย และมันเหนื่อยมากๆ อาจจะเพราะอากาศแห้งและเดินขึ้นทางชัน แต่ถ้าเทียบกับเขาหลวงนครศรีธรรมราชความเหนื่อยต่างกันมากๆๆ เหมือนคนหัดเดินป่าแล้วข้ามไประดับโปรเลยทีเดียว
“ เขาหลวงนครศรีธรรมราช “ ตั้งอยู่ที่ จ.นครศรีธรรมราช ภาคใต้เรานี่เอง เขาลูกใหญ่เบอเริ่มตั้งตระง่านกลางจังหวัด แค่เดินออกมาจากหน้าสนามบินคุณก็จะเห็นมันอยู่ตรงหน้าเลย จังหวัดนี้ขึ้นชื่อว่าเป็นปวดของประเทศอยู่แล้ว โดยเฉพาะที่หมู่บ้านกลางหุบเขาอย่างคิริวงค์ซึ่งเป็นที่ๆคนส่วนใหญ่รู้จักกันอยู่แล้ว แต่ที่คุยอาจไม่รู้คือธรรมชาติที่เขาหลวงของที่นี่คือที่สุดของธรรมชาติ ผมจะเล่าการเดินทางครั้งนี้ให้ได้อ่านกัน
เริ่มผมมีโอกาสได้ลองจองทริปเดินป่าเป็นครั้งแรก แบบยังไม่เคยศึกษามาก่อน พอจองได้จึงเริ่มเปิดดูคลิปในการเดินที่นี่ แล้วทุกๆคลิปที่ผมดูบอกว่าโหดมากๆ ตอนนั้นยังไม่รู้ว่าโหดมากๆคือขนาดไหน ผมเริ่มเตรียมตัวโดยการไปเดิน Decathlon เพื่อหาอุปกรณ์ที่จำเป็นเช่น ถุงกันทาก รองเท้าเดินป่า กางเกงเดินป่า เสื้อเดินป่า และอีกหลายๆอย่าง แล้วถ้าจะให้สรุปความจำเป็นอันดับหนึ่งเลยคือ
” รองเท้า ”ต้องเบา มีความยึดเกาะที่ดีระดับหนึ่งเลย เพราะต้องไต่ตามโขคหินบ้าง พื้นลื่นๆบ้าง รองมาก็ ”กางเกงเดินป่า” และที่ผมเลือกก็ของ Decathlon เลยยืดมากๆ แต่ไม่ขาดง่ายๆโดนเกี่ยวยังเหนียวทดแถมขยับตัวได้คล่องแคล่วมากๆ และต้องแห้งไวด้วยเพราะเราจะใส่มันทุกวัน คุณคงไม่ได้อยากขนสัมภาระไปเป็น10กิโลเพื่อจะแบกขึ้นเขาแน่ ผมแนะนำตอนลองใส่ให้ยืดแข่งยืดขาให้สุดๆเลย เพราะตอนเดินได้ยืดแน่ๆ เสื้อก็เช่นกันหาตัวที่ยืดๆใส่แล้วอุ่นสบายและต้องแห้งเร็ว
“ถุงนอน”ก็จำเป็น หาที่ดีๆหน่อยเพราะเขาที่นี่กลางคืนหนาวๆมากๆและบางคืนฝนตกด้วยถ้าถุงนอนไม่อุ่นพอได้ป่วยแน่ๆ การนอนที่นี่คือนอนแปลทริปที่ผมจองมีให้ยืมไม่ต้องเตรียมมาก็ได้ แต่ผมมีเปลทหารอยู่เลยเอามาใช้และมันหนักเอาการเลย
“กระเป๋า” อีกหนึ่งอุปกรณ์ที่สำคัญมากๆถ้าของดีๆเขาออกแบบให้ถ่ายน้ำหนักมาลงที่สะโพกจะไม่รั้งหัวไหล่เรา ดังนั้นเลือกให้ดีๆถ้าปวดไหล่ตั้งแต่วันแรกรับรองวันที่ไม่สนุกแน่ๆ
“ถุงคลุมกระเป๋ากันฝน”เดินป่าใต้ฝกตกแน่นอนไม่ต้องห่วง มีติดไว้สบายใจกว่า
“เสื้อกันฝน” ผมเลือกแค่แบบครึ่งตัวเพราะกางเกงผมแห้งไว้อยู่แล้ว และผมคิดว่าแค่ครึ่งตัวก็เดินง่ายกว่าทั้งตัว ตั้งแต่วันที่ 2 ผมแถบจะใส่ตลอด เพราะช่วยกันหนาวได้ด้วย
“ยาสามัญทั่วไป” ยาแก้ปวด คลายกล้ามเนื้อ แก้คัน สเปรย์ฉีดกันยุง เตรียมไปให้พร้อมเลย
“ไฟฉาย” เอาแบบติดหัวไปเลยก็ดีได้ไม่ต้องถือบางที่มืดแล้วเราต้องคุ้ยหาของมีไว้สบายใจกว่า
“ถุงกันทาก” หาที่กระชับหน่อยไม่มีสายเกะกะเพราะจะทำให้เดินลำบากแบบผม สุดท้ายผมก็ถอดยัดใส่ระเป๋า แล้วดึงถุงเท้าขึ้นมาคลุมกางเกงแทน
“อื่นๆ” ที่ผมอาจจะตกหล่น แต่ก็อยากให้คิดไว้เสมอว่าเราจะต้องแบกขึ้นเขาตลอด 4 วันเลย เลือกสิ่งที่จำเป็นจริงๆ
ที่เหลือก็ "กำลังใจและกำลังกาย" ผมเป็นคนไม่ค่อยออกกำลัง ผมเตรียมตัวโดยการวิ่งตอนเย็นๆก่อนไปประมาณ 2-3 สัปดาห์ให้ร่างกายไม่อ่อนแอ่เกินไป
เริ่มต้นลงเครื่องที่สนามบินนครศรีธรรมราช พี่บอยหัวหน้าไกด์และคนจัดทริปก็ขับรถมารับถึงที่ ( หากใครไม่รู้จักพี่บอย หรือ ทาซานบอย ลองไปรู้จักเขาได้ https://www.youtube.com/watch?v=deTfJwVsZNw ) พาไปหาของกินรองท้องก่อนด้วยครับ แล้วไก่ทอดที่ขายแถวนั้นอร่อยมาก จากนั้นเราก็เดินทางไปรวมกันที่บ้านของพี่บอยเพื่อจัดเตรียมกระเป๋า พี่ๆจะแนะนำสิ่งที่ควรเอาไปด้วยหรือเอาออก ผมเตรียมน้ำแดงเฮลบรูบอยไปเป็นขวด สุดท้ายก็แบ่งไปเล็กน้อยเท่านั้น เพื่อจะคงน้ำหนักที่เราสามารถยกไหว ไม่ใช่แค่ไหวตอนนั้นแต่เป็นทั้ง 4 วันที่เราต้องเดินในที่ที่ยากลำบาก แต่น้ำหวานนั้นก็เป็นแหล่งพลังที่ดีมากๆของผมเลยเหมือนกัน
ถึงปากทางขึ้นพี่บอยจะพูดคุยแนะนำและพูดถึงกฏเกนณ์ต่างในการเดินเขาหลวงที่นี่ ทั้งการเคารพผืนป่า ขยะที่ต้องเก็บกลับมาให้หมด และทุกคนที่ร่วมทริปในครั้งนี้จะไม่มีการทิ้งใครไว้ข้างหลัง ตอนแรกผมพวกเรากังวลว่าจะรั้งท้ายแต่พี่บอยบอกว่ามีคนอายุเยอะหลายคนเราน่าจะเด็กสุดคิดว่าจะมีคนที่ช้ากว่าพวกเรา แต่สุดท้ายเราก็รั้งท้ายจริงๆ ดูถูกคนอายุเยอะไม่ได้เลย เพราะเขาเดินมามากกว่า 10 ครั้งแล้ว
แล้วพวกเราก็เริ่มเดินขึ้นเขา วันแรกเป็นวันที่ทรมาณที่สุดด้วยร่างกายที่ไม่ได้ฟิตมาก และทางเดินที่ชันมากๆในช่วงแรก ทั้งยังต้องข้ามน้ำ และผ่านหินลื่นๆหลายจุด พวกเราพักกันบ่อยแทบจะทุกครึ่งชั่วโมงได้เลย พวกพี่ๆ และไกด์ส่วนใหญ่เดินนำไปสักพักแล้ว เหลือพวกผมกับเจ้าหน้าที่อีกหนึ่งคน
เวลาค่อยๆผ่านไปช้าๆ ระหว่างทางผมคิดตลอดว่าทำไมต้องเอาเวลาพักผ่อนที่ควรจะได้นอนโรงแรมแสนสบาย มาใช้ชีวิตในป่าที่แทบจะตรงข้ามกันขนาดนี้ ทุกครั้งที่นั่งลง อยากให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้ แต่ก็คิดว่าถ้าไม่เดินก็ไม่ถึงสักทีกลัวจะเป็นตัวท่วงให้ทีม
แต่ถึงอากาศวันแรกจะร้อนแต่มีน้ำจากน้ำตกให้ได้ล้างหน้าชุ่มช่ำอยู่ตลอด ครั้งแรกผมเอาที่กรองน้ำที่ยืมมาลองใช้เพื่อกินน้ำ แต่ดูใช้งานยากและเสียเวลาเลยตักดื่มตรงๆไปเลย รสชาติก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด แถมเย็นสดชื้นอีกต่างหาก ผสมกับน้ำหวานแดงเข้าไปนี่แหละคือพลังงานชั้นดี
สุดท้ายเราก็มาถึงผาน้ำตก ที่เห็นทุกคนอาบน้ำแต่งตัวชิวๆ เตรียมนั่งทำกับข้าวกันแล้ว ผมถามเขาว่าพี่ๆมาถึงกันนานหรือยังเขาบอกมา “ถึงเกือบ 2 ชั่วโมงแล้ว“ คนอายุเกือบ 50+ เดินเร็วว่าพวกผมที่อายุ 20 กลางเกือบ 2 ชั่วโมง และที่หนักกว่าคือเรายังไม่ถึงจุดหมายของวันแรกด้วยซ้ำ แต่พี่บอยตัดสินใจหยุดตรงนั้นเพื่อรอเรา เพราะคิดว่าไปต่อจะมืดสะก่อน “ วันแรกก็เอาสะแล้วพวกเรา “
มาถึงพี่พรานก็พาไปหาที่ผูกเปล เราเหลือที่บนสุดเพราะที่อื่นโดนจับจองหมดแล้ว ผมค่อยๆผูกตามเขาสำคัญที่ต้องมีปมตรงปลายเชือกทั้ง 2 ฝั่งเพื่อฝนตก จะเป็นจุดบังคับให้น้ำหยดตรงนั้นแทนที่จะไหลเข้ามาในเปลเรา ถ้ายืมเปลของทริปมาเขาจะมีตะขอติดไว้ให้ไม่ต้องทำปมแบบผม แล้วฝนก็ตกหนักเลยถึงเวลาได้ทดสอบปมที่ผมเตรียมไว้ ปรากฏว่ายังมีน้ำไหลเข้าเปลผมอยู่เลยไปหาถุงมาคลุมที่ปลาย บวกกับผูกตรงปมน้ำให้ดักน้ำได้มากขึ้น แล้วฝนหยุดเราลงไปล้างเนื้อล้างตัวที่ที่ริมน้ำตก อยู่ๆพี่พรานก็ไล่ให้เราขึ้นจากน้ำ แล้วก็มีน้ำป่ามาจริงๆ พวกพี่ๆพรานเขาเก่งจริงๆ เพราะถ้าผมขึ้นช้ากว่านี้ 5 นาที ผมอาจจะลอยไปกับน้ำแล้ว
แล้วก็ถึงเวลาข้าวเย็นที่พี่ไกด์ทำให้ แล้วมันอร่อยมากๆ อาจจะเพราะความเหนื่อยที่สะสมมาทั้งวัน และเป็นครั้งแรกที่กินข้าวร่วมกับคนแปลกหน้ากลางป่าเขาได้พูดคุยกันนิดหน่อย ก่อนจะแยกย้ายเข้านอนเพราะพรุ่งนี้เราต้องเร่งเดินเพื่อชดเชย วันนี้ที่เราเดินช้ากว่ากำหนด ซึ่งพี่บอยก็ขู่ไว้ว่าถ้ายังเดินกันด้วยความเร็วเท่านี้ อาจจะต้องอยู่เขาเพิ่มอีกสัก 1-2 วันเลย ขึ้นเปลแล้วหลับยาวๆไปเลยครับ วันแรกที่หนักสุดๆ
แล้วมาเจอกับวันต่อๆไปในบทความหน้า ขอบคุณที่ติดตามนะครับ เจ้าของเพจเป็นพนักงานประจำเวลาเขียนอาจจะน้อยไปหน่อย แต่ก็อยากให้ติดตามกันเยอะๆนะครับ
ปล.รูปนี้ผมแคปมาจากวีดิโอจากกล้อง Gopro สะส่วนใหญ่ อาจจะไม่ชัดบ้างขออภัยด้วยนะครับ
โฆษณา