23 ก.พ. 2022 เวลา 06:32 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
จุดจบความรักในวัย 30 !!
พออายุย่างเข้าเลข 3 รูปแบบความรัก ความสัมพันธ์ของแต่ละคนก็เริ่มเปลี่ยนไป
อู๋ได้เห็นรูปแบบความสัมพันธ์ของคนรอบตัวหลากหลายรูปแบบมากขึ้น ทั้งกำลังวางแผนจะแต่งงาน บางคนก็กำลังจะมีลูก บางคู่คบกันได้แค่ไม่ถึงปีก็แต่งงานแล้ว บางคู่คบกันมาหลายปีก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะแต่ง และบางคู่เพิ่งจะเลิกกับแฟนทั้งๆที่คบกันมานานหลายปี
“มึง 30 แล้วกูยังไม่มีแฟนสักที จะขึ้นคานมั้ย?”
“เพิ่งเลิกกับแฟนตอน 30 จะไปหาแฟนที่ไหนได้”
และคำกล่าวข้างต้นเป็นประโยคที่อู๋ได้ยิน และได้เห็นบ่อยมาก พอๆกับการประกาศข่าวดีว่าจะแต่งงานของเพื่อนๆ
หลังจากได้เห็นบ่อยๆเข้าก็เริ่มสงสัยว่า แล้วอะไรเป็นจุดเปลี่ยนของความสัมพันธ์ที่จะเดินหน้าไปต่อ หรือ หยุดเพื่อพอแค่นี้ ในความสัมพันธ์ของคนเรา
อู๋เคยเขียนบทความเกี่ยวกับ ทฤษฎีสามเหลี่ยมแห่งความรัก (Triangular Theory of Love) ที่ได้อธิบายองค์ประกอบของความสัมพันธ์ที่ก่อให้เกิดความรักไว้ 3 ประการ คือ ความสนิทสนม (Intimacy) ความใคร่หลง (Passion) หรือความเสน่หา และความผูกพัน (Commitment) ไปแล้ว ไปตามอ่านย้อนหลังกันได้
และความผูกพันนี่แหละ เป็นส่วนหนึ่งของการตัดสินใจ หรือเป็นองค์ประกอบในด้านความคิดที่มีการผูกมัด หรือมีการทำสัญญาต่อกันว่าจะใช้ชีวิตร่วมกันในระยะยาว และผันแปรไปตามระยะเวลา
แล้วความรู้สึกสนิทสนม เสน่หา คลั่งรัก กลายมาเป็นความผูกพันจนตัดสินใจใช้ชีวิตร่วมกัน มันเกิดขึ้นได้ยังไง สิ่งนี้อธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์ค่ะ
อู๋สรุปให้ฟังง่ายๆ จากบทสัมภาษณ์ นพ.ปีย์ เชษฐ์โชติศักดิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาวิวัฒนาการและความสัมพันธ์ ในรายการพอดแคสต์ R U OK
“ว่าด้วยความรักและความสัมพันธ์” ที่สามารถอธิบายได้ด้วยหลักทางวิทยาศาสตร์และจิตวิทยา นพ.ปีย์ ได้สรุปพัฒนาการความรักของมนุษย์เป็นวิทยาศาสตร์ดังนี้
1.ช่วงแรกของความรัก
จะเป็นช่วงปิ๊งปั๊งกัน ถ้าพูดในมุมมองของพัฒนาการของมนุษย์ในอดีต ผู้ชายจะมีฮอร์โมนTestosterone (เทสโทสเตอโรน)ในวัยเจริญพันธุ์ที่เป็นแรงขับในการหาคู่ ทำให้เมื่อเกิดฮอร์โมนนี้ขึ้นมาแล้ว ฝ่ายชายจะพยายามเข้าหาฝ่ายหญิง เพื่อจุดประสงค์บางอย่าง อย่างการดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ ฝ่ายชายจึงพยายามตามตื้อ ตามจีบฝ่ายหญิงอย่างมาก ซึ่งลักษณะแบบนี้ปัจจุบันของมนุษย์ก็ยังมีอยู่ เพราะวิวัฒนาการของมนุษย์นั้นยาวนานมากกว่าหลายพันธุ์ล้านปี จึงทำให้รูปแบบความรักของมนุษย์ในอดีต ยังคงมีอยู่ในมนุษย์ปัจจุบัน แม้สังคมจะเปลี่ยนจากป่ามาเป็นเมืองแล้วก็ตาม
2.ช่วงถัดมาของความรัก เรียกว่า ระยะโปรโมชั่น
ระยะนี้จะอยู่ยาวนาน 6 เดือนถึง 1 ปีครึ่ง ซึ่งในช่วงนี้จะมีฮอร์โมน dopamine (โดพามีน) เข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างที่ทราบกันว่า dopamine เป็นฮอร์โมนทำให้เกิดความสุข ทำให้ช่วงโปรโมชั่นของคนเรา คล้ายคนเสพยาที่เมื่อเสพแล้วสมองจะหลั่งโดพามีนออกมาทำให้เกิดความสุข และคึกคะนอง
ดังนั้นอาการคลั่งรัก จึงคล้ายกับอาการติดยา คือ มีอาการเพ้อ กินน้อยลง คิดถึงอีกคนตลอดเวลา ยอมทุ่มเทแรงกายแรงใจให้อีกฝ่ายได้เสมอ ซึ่งช่วงนี้จะเป็นช่วงที่ร่างกายใช้พลังงานสูง ธรรมชาติจึงไม่ต้องการให้ร่างกายใช้งานหนัก ร่างกายจึงสั่งให้ฮอร์โมนโดพามีนนี้หยุดหลั่งเองเมื่อถึงระยะเวลา
จากข้อมูลข้างต้นสามารถอธิบายเชื่อมโยงพฤติกรรมคลั่งรักจากช่วงโปรโมชั่นได้ด้วยพัฒนาการของมนุษย์ในอดีต สิ่งที่สอดคล้องกันคือ ช่วงระยะ 6 เดือน ถึง 1 ปีครึ่งแรก เมื่อชายหญิงมีลูกเพื่อสืบเผ่าพันธุ์ ช่วงนี้ร่างกายของฝ่ายหญิงจะอ่อนแอลง ไม่สามารถทำกิจกรรมต่างๆได้ตามปกติ ฝ่ายชายก็จะคอยทำหน้าที่ในการดูแล หาอาหาร ปกป้อง เพื่อให้เผ่าพันธุ์ของผู้ชายในท้องผู้หญิงยังอยู่รอดและแข็งแรง
3.ระยะที่สาม ระยะของความผูกพัน
ระยะนี้สมองจะเกิดการหลั่งฮอร์โมนที่เรียกว่า oxytocin (ออกซิโทซิน) เป็นฮอร์โมนของความผูกพัน ในทางการแพทย์จะใช้เป็นฮอร์โมนเพื่อเร่งน้ำนมแม่หลังคลอดกรณีจำเป็น เพื่อสร้างความผูกพันกับลูกและหลั่งน้ำนมให้ลูกดื่ม ดังนั้นเมื่อความรักอยู่ถึงระยะนี้ จึงไม่ได้ทำให้มนุษย์เกิดความรู้สึกรักแบบระยะโปรโมชั่น หรือรักอย่างบ้าคลั่งเหมือนเมื่อ 6 เดือน – 1 ปีครึ่งแรก และเมื่อ oxytocin (ออกซิโทซิน) หลั่ง dopamine (โดพามีน) ก็จะหยุดหลั่งเองโดยธรรมชาติ
หลังจากฮอร์โมนความผูกพันหลั่งแล้ว บางคู่อาจจะอยู่กันต่อไปได้ยาว แต่บางคู่ก็จึงแยกย้ายจากกันไปในช่วงหลังจาก 1-3 ปีแรก จากงานวิจัยชิ้นหนึ่งที่ นพ.ปีย์ ยกตัวอย่างขึ้นมา กล่าวไว้ว่ามนุษย์เราจะคบยาวนานสุด 4-5 ปี หลังจากนั้นอาจแยกจากกันไป หรือจะคบกันต่อไปแล้วแต่ความต้องการของแต่ละฝ่าย ซึ่งสอดคล้องกับพัฒนาการความรักของมนุษย์ในอดีต ที่เมื่อทำหน้าที่ในการดำรงเผ่าพันธุ์จบสิ้น ลูกโตถึงอายุ 4-5 ปีแล้ว มนุษย์ผู้หญิงจะไม่ได้ต้องการผู้ชายในการดูแลลูกและตนเองเหมือนช่วงแรกที่ร่างกายอ่อนแอ ทำให้หลายๆคู่ต้องแยกย้ายไปหาคู่ใหม่ เพื่อดำรงเผ่าพันธุ์ต่อไป หรือจะตกลงใช้ชีวิตด้วยกัน ก็สุดแล้วแต่ในช่วงนั้น
จากการอธิบายมาทั้งหมดเกี่ยวยังไงกันกับ จุดจบความรักในวัย 30 ?
พัฒนาการของระยะความรักที่อธิบายมาทั้งหมดอาจจะไม่สามารถตอบคำถามได้โดยตรง แต่อาจจะทำให้ใครหลายๆคนได้เข้าใจกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ที่ทำให้เกิดความรักได้มากขึ้น ทำให้เข้าใจว่า เอ้อ ! ระยะโปรโมชั่นมันมีอยู่จริง และมันสามารถหมดไปได้นะ แต่นั่นก็ไม่อาจจะนำมายืนยันได้อีกว่า เมื่อฮอร์โมนคลั่งรักของเรา (โดพามีน) หมดไป เราจะต้องเลิกกับแฟนเราแน่ๆ
ส่วนตัวอู๋มองว่าไม่ว่าจะอายุเท่าไหร่ คนจะเลิกกัน เข้ากันไม่ได้ มันไม่มีป้ายระบุวันหมดอายุไว้ว่า “expiration date 30 years old ” หรอกค่ะ จะเลิกกันอายุไหนก็เลิกได้
แต่อู๋คิดว่าส่วนหนึ่งในวัย 30 ปีนั้น เป็นช่วงวัยเปลี่ยนผ่านอีกช่วงหนึ่งของชีวิต ที่ต้องเจอทั้งความเปลี่ยนแปลงทางร่างกาย บางคนเจ็บป่วยง่าย บางคนก็ยังแข็งแรงดี บางคนจิตใจแข็งแกร่งดั่งหินผา บางคนเปราะบางยิ่งกว่าแก้วใส ไหนจะความเข้าใจตัวเองของแต่ละคนอีก แถมยังบวกเข้ากับการเปลี่ยนแปลงความคิด ทัศนคติของตัวเราและคู่ของเรา ความคล่องตัวทางการเงิน ความก้าวหน้าทางการงาน เป้าหมายชีวิตในระยะยาว บวกกับปัจจัยแวดล้อมหลายๆอย่างประกอบกัน ผสมทำให้การเข้ากันได้ของแต่ละคู่ลงตัวไม่เหมือนกัน หรือบางคู่อาจจะผสมกันไม่ลงตัวก็ได้ หากมันไม่ลงตัวก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายที่จะต้องแยกจากกัน
ความรักมันระบุวันหมดอายุไม่ได้ เราจะเลิกกันในวัย 30 มั้ย? เราจะขึ้นคานไม่มีคนรักในวัย 30 มั้ย? อู๋เองคงตอบไม่ได้ คนที่จะตอบคำถามได้ดีที่สุดก็คือตัวคนถามเองนั่นแหละ
เอาเป็นว่า รักแบบไหนก็รักเถอะ แต่อย่าลืมหันมารักตัวเองให้มากๆ เติม dopamine ให้ร่างกายกระชุ่มกระชวยเป็นพักๆ ทั้งคนมีคู่และไม่มีคู่ แค่นี้วัย 30 ของเราก็สุดเหวี่ยงแล้วเธอ !
เรียบเรียงโดย
#นักจิตอูยอน #นักจิตขี้เม้าส์
#จิตวิทยาความรัก #ความรัก #love #psycholoyoflove #relationship
โฆษณา