24 ก.พ. 2022 เวลา 02:35 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
The retur
150  ล้านปี คือระยะเวลาของโลกที่ผ่านมานับตั้งแต่การล่มสลายของระบบนิเวศน์ทางธรรมชาติในระบบต่างๆที่มีอยู่ในเนื้อในของโลก   ทุกสิ่งทุกอย่างถูกนำออกมาใช้กันอย่างบ้าคลั่งด้วยระบบทุนนิยมของระบบเศรษฐกิจ  สงคราม  ภัยพิบัติทางธรรมชาติที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าและอิทธิพลของพลังงานต่างๆในระบบสุริยะที่มีผลกระทบต่อโลกใบนี้   จนในที่สุด  โลกก็สุดแสนที่จะต้านทานมันไหวกาลวิบัติก็เดินทางมาถึงก่อนเวลาที่กำหนดไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ชั้นบรรยากาศของโลกถูกทำลายด้วยน้ำมือของมนุษย์เอง
การใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลื้องไม่รู้คุณค่า  สงครามที่ต่างฝ่ายต่างจ้องทำลายล้างกัน  คือปัจจัยตัวเร่งเร้าให้โลกเข้าสู่ยุดน้ำแข็งอีกครั้งหนึ่ง
เหล่าบรรดาทวีปทั้ง 7 เคลื่อนตัวขึ้นไปรวมเป็นเนื้อเดียวกันอีกครั้งหนึ่งแถวแทบขั้วโลกเหนือ   โลกทั้งใบมีสภาพเหมือนลูกบอลหิมะผู้ที่อยู่รอดจึงต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมอันโหดร้ายนี้ให้ได้   มนุษย์ที่เหลือรอดอยู่กลับเข้าไปอาศัยอยู่ตามถ้ำอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับบรรพบุรุษของเราเมื่อครั้งก่อนจวบจนวันหนึ่งก็มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น
มีบางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอันเต็มไปไอหมอกหนา   แสงสว่างวาบส่องทะลุชั้นบรรยากาศของโลกลงมากระทบกับพื้นน้ำแข็งเบื้องล่าง  วัตถุนั้นปรากฏเด่นชัดมากขึ้นมันรูปทรงเหมือนยานอวกาศในตำนานที่เคยมีการเล่าขานกันมา  รูปทรงที่เรียวยาวอย่างสมส่วนสีออกไปทาทางโทนสีเงิน มันไม่มีเสียง  ไม่มีปฏิกิริยาความร้อนใดๆที่เปล่งออกมาจากตัวยานนั้น  ยานลงจอดในแนวดิ่งจนนิ่งสนิท
มนุษย์โลกสี่คนที่ยืนมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าของพวกเขา   ด้วยความรู้สึกตกตะลึง ตื่นเต้น  เพราะไม่คิดว่าเรื่องเล่าในตำนานที่ถูกบันทึกถ่ายทอดกันมาจะเป็นเรื่องจริง  ในวันที่โลกย่างเข้าสู่วัยชรา   ในความเงียบสงบบนความหนาวเหน็บของพื้นน้ำแข็ง  ทั้งสี่คน ต่างจ้องมองไปที่ตัวของยานอวกาศลำนั้นเป็นจุดเดียวกัน  ไม่นานนักประตูของยานก็ค่อยๆเปิดออกเผยให้เห็นแสงสีฟ้าอุ่นๆสว่างอยู่ภายในตัวยาน  จะว่าไปแล้วรูปทรงและขนาดของยานลำนี้ก็ไม่ถึงกับโตมากมายนัก
ดูจากภายนอกไม่สามารถเดาได้ว่าภายในยานนั้นมีการจัดแบ่งพื้นที่อย่างไร   ในเรื่องเล่าหรือในบีนทึกที่เป็นตำนานที่คงพอมีเหลืออยู่ความทรงจำของพวกเรามนุษย์โลก  ยานอวกาศที่มาจากนอกโลกก็จะมีลักษณะที่แตกต่างกันออกไปในหลายๆรูปแบบแต่ก็ไม่เคยใครยืนยันให้เด่นชัดเป็นรูปอธรรมขึ้นมาชักทีถึงตอนนี้ก็ตามแต่
ไม่ต้องสงสัยกันต่อไป  เพราะตอนนี้กำลังมีบางสิ่งบางอย่างเริ่มปรากฏตัวขึ้นมา !!!!!!
มนุษย์ทั้งสี่คน ยืนจ้องมองด้วยความรู้สึกระทึกใจ   เรื่องเล่าการมาเยือนของเพื่อนบ้านจากต่างดาวมันกำลังจะกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาต่อหน้าพวกเขาทั้งสี่คน มนุษย์รุ่นสุดท้ายที่ยังเหลือรอดมาจากการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้
ร่างของผู้มาเยือนปรากฏเด่นชัดขึ้นพวกเขามีทั้งด้วยกันแค่สามคน เท่านั้น   พวกเขาค่อยๆก้าวเท้าเดินลงมาจากยานพาหนะของพวกเขา   ดูจากภายนอกแล้วพวกเขาก็ความสูงไม่แตกต่างกับมนุษย์โลกนักโดยการสังเกตการณ์จากระยะที่มนุษย์โลกยืนอยู่   ผู้มาเยือนค่อยๆย่างเท้าเดินเข้ามาอย่างช้าๆใกล้เข้ามาที่ละนิดๆในมือของผู้มาเยือนต่างถือกล่องคล้ายทำจากโลหะไม่สามารถระบุชนิดได้มาคนละ 1 ใบ   จนในที่สุดทั้งมนุษย์โลกและผู้มาเยือนก็ได้ยืนประจันหน้ากัน
สายลมหนาวพัดพาไอหมอกอยู่อย่างไม่ขาดสายประหนึ่งว่าเป็นวันที่เหล่าธรรมชาติบนโลกใบนี้รอคอยมาอย่างแสนยาวนาน   
                  ยังไม่มีคำพูดไหนๆเปล่งออกมาจากทั้งสองฝ่ายได้แต่จ้องมองกันอยู่อย่างนั้นเหมือนต่างฝ่ายต่างกำลังครุ่นคิดอะไรบางอย่างอยู่   ในความเหมือนย่อยมีความต่างอยู่ถึงแม้ว่าผู้มาเยือนะรูปร่างหน้าตาเหมือนมนุษย์มาก  แต่ดวงตาสีค่อยออกไปทางสีเขียว  สวมใส่ชุดรัดรูปบางๆสีขาว  นอกนั้นแทบจะเหมือนมนุษย์ทุกอย่าง
“ พวกท่านมาจากไหน? “  คำพูดแรกที่มนุษย์โลกถามออกไปยังกลุ่มผู้มาเยือนจากต่างแดน
ยังไร้ซึ่งคำตอบที่จะตอบกลับมาอย่างทันทีทันใด   ผู้มาเยือนทั้งสามต่างหันหน้าม้าองมองเหมือนว่าปรึกษาอะไรกันอย่างแต่ไม่มีแม้เสียงพูดเล็ดลอดออกมาจากปากของพวกเขา
“ พวกเรามาจากที่ๆไกลออกไปจากที่นี้มาก” คำพูดแรกที่มาจากปากของผู้มาเยือน  สร้างความงุนงงให้แก่มนุษย์โลกเป็นอย่างมาก  ด้วยว่าเกิดความสงสัยว่าผู้มาเยือนสามารถเข้าใจและรู้ภาษาในการสื่อสารกับพวกตนอย่างไร   หรือว่าพวกเขาไม่ใช่ผู้มาเยือนจากต่างดาวจริงๆ  อาจจะเป็นมนุษย์โลกที่เหลือรอดอยู่ในแผ่นดินอื่นก็อาจเป็นได้
“ พวกเรามากที่ไกลมาก  พวกเราไม่ใช่มนุษย์บนโลกนี้ “  เหมือนกับว่าผู้มาเยือนจะอ่านความในใจของมนุษย์โลกออก   จึงได้พูกออกมาอย่างนั้น
“ จากที่ไหน? พวกเราพอที่จะรู้จักที่นั้นไหม?”  มนุษย์โลกถามต่อ
“  พวกเราไม่รู้ว่าพวกท่านจะรู้จักดวงดาวของเราหรือไม่    พวกแค่มาตาม
สัญชาตญาณของพวกเราที่บอกเราว่าต้องเดินทางมาที่นี้ “  ผู้มาเยือนอธิบายให้มนุษย์โลกฟัง
“ แล้วพวกท่านเข้าใจภาษาการสื่อสารของพวกเราได้อย่างไร ?”
“ พวกเราไม่รู้แต่พวกเราเข้าใจมันได้และเรียนรู้ได้ไม่ยากนัก”
“ แล้วพวกท่านเดินทางมาที่โลกนี้เพื่อวัตถุประสงค์ใด”  มนุษย์โลกถามคำถามที่พวกเขาทั้งสี่ใคร่อยากจะรู้   เผื่อว่าจะได้หาทางหนีทีไล่ให้ถูกต้องเพื่อเป็นการป้องกันเอาไว้ก่อน
“ พวกเรามาช่วยเหลือพวกคุณ...” ผู้มาเยือนตอบกลับมายังมนุษย์โลก
มนุษย์โลกทั้งสี่คน ต่างพากันหันจ้องหน้าซึ่งกันและกันด้วยความสงสัยอีกครั้งว่า ผู้มาเยือนจะมาช่วยอะไรพวกเขา  ในเมื่อตอนนี้ทั่วทั้งโลกแทบจะไม่เหลืออะไรที่พอเป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิตอยู่ได้อีก  แม้แต่พวกเขาก็อาจจะเป็นมนุษย์ที่เหลืออยู่เป็นกลุ่มสุดท้ายแล้วก็เป็นได้  ทุกสิ่งล่มจมสูญสลายไปกับความร้อน  ความหนาวเย็น  ลำพังพวกเขาก็รอวันตายเช่นกัน  แล้วผู้มาเยือนจะมาอะไรกับพวกเรากันหรือ ?
“ พาพวกเราไปที่พวกท่านอาศัยหลบภัยความหนาวหน่อยจะได้ไหม ?” หนึ่งในผู้มาเยือนที่ยืนอยู่ด้านหน้ากล่าวออกโดยที่มนุษย์ทั้งสี่คน พากันสงสัยว่าผู้มาเยือนต้องการอะไรกันแน่  แต่พวกเขาทั้ง
สี่ก็ไม่ได้กล่าวตอบโต้กลับ   ทำแค่หลังหันกลับแล้วเดินนำเหล่าผู้มาเยือนทั้งสามนั้น  เพื่อนำทางทางพวกเขาไปยังที่พักซึ่งใช้เป็นที่หลบภัยจากความหนาวเย็นอันโหดร้าย 
                  ที่ๆซึ่งพวกเขาทั้งสี่ใช้เป็นที่อาศัยนั้นเหมือนกับถ้ำที่เกิดจากการชนกันของเปลือกโลกแล้วยกตัวขึ้นเป็นแถวเทือกภูเขาสูงส่วนภายในนั้นมีสภาพเป็นโพรงขนาดใหญ่และยาว    มันจึงดูเหมือนห้องโถงขนาดใหญ่และมีความยาวไม่น้อยเลยที่เดียว
มนุษย์โลกและผู้มาเยือนเดินตะลุยหิมะมาครู่หนึ่งก็มาถึงตรงปากทางเข้าถ้ำแห่งนั้น
“ นี้คือที่ๆเราใช้อยู่อาศัยหลบภัยความหนาว”  หนึ่งในมนุษย์บอกกล่าวแก่ผู้มาเยือนออกไป
“ มันช่วยให้เราไม่รู้สึกหนาวเย็นจนเกินไปในทุกๆเวลา   พวกเรากินเนื้อสัตว์ที่อาศัยอยู่ในถ้ำแห่งนี้กินเป็นอาหารเช่นกัน  ถึงแม้มันจะมีไม่มากแล้วก็ตามแต่” มนุษย์โลกอธิบายต่อ
“ พวกคุณก่อกองไฟบรรเทาความหนาวใช่ไหม?”  เหล่าผู้มาเยือนถามต่ออีกครั้ง
“ ไม่...เราไม่ก่อไฟพวกเราไม่รู้จักวิธีก่อไฟด้วยมือ
พวกเราแค่เคยได้ยินแค่ในเรื่องเล่าเก่าแก่นานมาแล้วแค่นั้นเอง”   ผู้มาเยือนพากันหันมาจ้องมองหน้ากันและกันแต่ไม่พูดอะไรออก 
“พวกเรามีแสงสว่างจากดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เท่านั้นที่ให้แงสงสว่างกับพวกเรา     พวกเราไม่รู้ชะตากรรมของพวกเราหรอกว่าจะอยู่รอดได้อีกนานแค่ไหน” มนุษย์โลกกล่าวขึ้นแล้วก้มหน้าลง
“เอาละพวกเราเข้าใจพวกท่าน   พวกเรามาเพื่อที่นี้เพื่อภาวะกิจที่ถูกคาดการณ์ไว้มาอย่างยาวนาน
แต่ก่อนอื่นพวกเราอยากจะสอนพวกท่านให้จุดไฟเป็นเสียก่อนเพื่อว่าพวกท่านจะได้ใช้ประโยชน์จากมันได้” ว่าแล้วผู้มาเยือนทั้งสามคนก็วางกล่องที่ถือมาด้วยลงแล้วเดินไปหาสิ่งของบางอย่างที่พอจะเอามาทำเป็นเชื้อเพลิงได้ เช่น พวกซากเถาวัลย์ หญ้าแห้ง หรืออื่นๆ ที่ยังคงพอที่จะใช้เป็นเหยื่อไฟได้ในไม่ช้าทั้งสามคนก็กลับมาพร้อมสิ่งของที่จะใช้ทำเชื้อเพลิง    หนึ่งในนั้นเดินไปเลือกหยิบก้อนหินขึ้นมา สองก้อนแล้วนำมันตีกระทบกันจนเกิดเป็นประกายไฟ   ให้สะเก็ดไฟไปจุดติดกับเหล่าเชื้อเพลิงที่นำมาใช้นั้น   ไฟถูกจุดติดก่อประกายไฟแห่งความร้อนขึ้นเป็นที่ตื่นตาตื่นใจแก่มนุษย์โลก    อันที่จริงพวกเขาก็เคยเห็นกองไฟมาก่อนในตอนเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่บนโลกใบนี้   แต่ไม่รู้ถึงวิธีจุดไฟในแบบที่ผู้มาเยือนทำให้ดู
“ ต่อจากนี้ไปพวกท่านต้องเรียนรู้ ฝึกหัดวิธีการจุดไฟกันเอาเอง” ผู้มาเยือนบอกกล่าวกับมนุษย์โลกอีกครั้งหนึ่ง 
                  เสียงกระแสลมหนาวพัดผ่านมาอีกครั้งหนึ่งความแรงของมันเหมือนกับพายุลูกน้อยๆก็ว่าได้  ทั้งหมดยังคงยืนรอบอยู่รอบกองไฟที่ถูกจุดขึ้นมาโดยผู้มาเยือนทั้งสามนั้น
กองไฟมอดดับลงไปแล้วแต่ทั้งมนุษย์โลกและผู้มาเยือนก็ยังคงสนทนากันอยู่    จู่ๆหนึ่งในสี่คนของมนุษย์โลกก็เอยถามทางฝั่งผู้มาเยือนว่า..
“ บอกพวกเราได้ไหมว่าพวกท่านทั้งสามจะมาทำอะไรบนโลกของเรา”  เป็นคำถามพวกเขาทั้งสี่คนใคร่อยากที่จะรู้ทำความเข้าใจในวัตถุประสงค์ของผู้มาเยือนจากต่างถิ่นเหมือนๆกัน
ผู้มาเยือนทั้งสามยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะเอยคำบอกกล่าวออกมา
“ เอาละพวกท่านทั้งพวกเราจะเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้พวกท่านฟังและทำความเข้าใจกับมัน  แต่เราอยากจะขอให้พวกท่านพาพวกเราไปยังทะเลสาบสีฟ้าหน่อยจะได้ไหม” ผู้มาเยือนกล่าว 
มนุษย์โลกทั้งสี่  จึงเดินนำหน้าผู้มาเยือนมุ่งออกไปจากถ้ำเพื่อเดินไปยังทะเลสาบสีฟ้าที่อยู่ไม่ไกลออกไปนัก
ที่เรียกว่าทะเลสาบสีฟ้าก็เพราะมันเป็นทะเลสาบน้ำจืดเป็นสีฟ้าสดใสแม้ว่าพื้นผิวหน้าด้านบนจะกลายเป็นน้ำแข็งไปแล้วก็ตามที   แต่ภายในเนื้อน้ำนั้นยังปรากฏสีฟ้ากระจ่างอย่างชัดเจน
             “ พวกท่านทั้งสี่ฟังเรื่องที่พวกเราจะเล่าให้พวกท่านฟังดีๆ   เมื่อ 150 ล้านปีกว่ามาแล้วบนโลกใบนี้   บรรพบุรุษของพวกเราได้ทำโครงการอวกาศโครงการหนึ่งขึ้นมา    วัตถุประสงค์ของโครงการนั้นก็คือ   เพื่อดำรงไว้ซึ่งเผ่าพันธุ์ของมนุษย์โลกหากในวันข้างหน้าโลกถึงกาลเวลาจบสิ้น
บรรพบุรุษของพวกท่านทำโครงการภายใต้ชื่อ The Return  project นั้นขึ้นมา  โดยการสกัด
เซลล์ , ดีเอ็นเอ  ของมนุษย์โลกที่ถูกคัดเลือกจากทั่ว  พร้อมทั้งของพวกสัตว์ต่างๆบนโลกใบนี้อีกด้วย
พวกเขานำเซลล์ และดีเอ็นเอ เหล่าบรรจุไว้ในแท่นแคปซูล  8 แท่น นำไปติดตั้งกับจรวดยานพาหนะที่จะนำแท่นเซลล์  ดีเอ็นเอของมนุษย์ไปฝังไว้ที่ดาวเคราะห์น้ำแข็งดวงหนึ่งที่อยู่นอกระบบสุริยะของพวกท่าน ทีชื่อว่า NL 8025 ภารกิจของยานอวกาศลำนั้นคือ  นำแท่นเซลล์ ดีเอ็นเอของมนุษย์เหล่านั้นไปฝังไว้ใต้ชั้นพื้นผิวของน้ำแข็งบนดาวเคราะห์ดวงนั้น  เพื่อให้เซลล์ หรือดีเอ็นเอของมนุษย์
และสัตว์เหล่าได้เกิดการวิวัฒนาการเมื่อดวงดาวมีสภาพภูมิอากาศที่อบอุ่นขึ้น    เหมือนกับดั่งที่โลกเคยเป็นมาแต่เริ่มแรก   เมื่อ 100 ล้านกว่าปีก่อนเช่นกัน”  ผู้มาเยือนเล่าเรื่องราวความเป็นมาให้มนุษย์โลกทั้งสี่คนฟัง
“ ถ้าเป็นเช่นนั้นพวกท่านก็...”  
  “ใช่!  พวกเราเดินทางมาจากดาวที่ชื่อว่า NL 8025  และพวกเราก็เป็นวิวัฒนาการจากเซลล์และดีเอ็นเอที่บรรพบุรุษของพวกท่านพาไปฝังเอาไว้เมื่อหลายร้อยล้านปีก่อน” ผู้มาเยือนเล่าต่อเพื่อขยายความต่อ   ซึ่งทำให้บรรยากาศโดยรอบรู้สึกร้อนขึ้นมาในทันที   มันไม่น่าที่จะเป็นไปได้!!!
“ พวกท่านก็คือเผ่าพันธุ์ของพวกเราที่อยู่ต่างดวงดาวกันใช่ไหม  การขยายเผ่าพันธุ์ระหว่างดวงดาวมันเกิดขึ้นจริงๆแล้วหรือนี้   ถ้าพวกท่านไม่เดินทางมาที่โลกใบนี้พวกเราจะไม่มีวันรับรู้เรื่องราวเหล่านั้นได้เลย  เพราะนานมาแล้วที่โลกถูกพังทลายลงด้วยสาเหตุในหลายๆด้าน” มนุษย์โลกกล่าวแล้วก้มหน้าเหมือนน้ำตาจะไหลล่วงหล่นลงมาจากสองแก้ม  หลังจากฟังเรื่องราวเหล่านั้นแล้ว
“ แล้วพวกท่านรู้ได้อย่างไรว่า  พวกท่านสืบเผ่าพันธุ์มาจากมนุษย์โลก?”  มนุษย์โลกถามต่อด้วยความสงสัยและยังคงไม่เชื่อในเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ มีการปลูกถ่ายสามัญจิตสำนึกความทรงจำในภูมิหลังลงในเชลล์และดีเอ็นเอของพวกเราทุกคน   เมื่อพวกเราเติบโตขึ้นมาพวกเราจะระลึกถึงถิ่นกำเนิดของเราได้ไม่ยากนัก    การเดินทางมาที่โลกนี้เป็นหนึ่งในภารกิจในความทรงจำที่พวกเราต้องทำ” ผู้มาเยือนเล่าต่อไปด้วยน้ำเสียงราบเรียบก้องกังวาน
“แล้วภารกิจที่ท่านบอกพวกเราว่าจะต้องทำหลังจากที่พวกท่านเดินทางกลับดวงดาวของพวกท่านแล้วละ”  มนุษย์โลกถามข้อสงสัยอีกประการหนึ่งที่ผู้มาเยือนได้กล่าวเอาไว้
“ พวกเราอยากไห้ท่านช่วยดูแลเผ่าพันธุ์ของพวกเราที่พวกเราจะนำมาฝังไว้บนโลกใบนี้  ณ ที่ทะเลสาบสีฟ้านั้น”
“ อะไรนะ!!!”   มนุษย์โลกตกตะลึง
“ ใช่...เผ่าพันธุ์ของพวกเรา ก็คือเผ่าพันธุ์ของมนุษย์ใบนี้   เราต้องดำรงเผ่าพันธุ์ของพวกเราให้อยู่ต่อไปในห้วงจักรวาลแห่งนี้  พวกท่านรู้หรือไม่ว่าพวกท่านคือ มนุษย์สี่คนสุดท้ายที่เหลืออยู่บนโลกใบนี้และอีกไม่นานพวกท่านก็ต้องล้มหายตายจากไป    โลกใบนี้ก็จะไม่มีมนุษย์เหลืออยู่อีกต่อไป
จนเมื่อโลกอุ่นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง
แคปซูลเชลล์และดีเอ็นเอที่พวกเราฝังไว้จะแตกตัวแล้วเกิดการวิวัฒนาการต่อไปไม่ว่ากี่ล้านปีก็ตาม   โลกจะกลับมามีชีวิตอีกครั้งหนึ่ง”   พูดเสร็จผู้มาเยือนทั้งสามคนก็วางกล่องที่ภายเหล็กที่ภายในนั้นบรรจุแคปซูลชีวิตเอาไว้    ฝากล่องถูกเปิดออกอย่างช้าๆ ปรากฏแสงเรืองรองสีฟ้าอยู่ภายใน  ผู้มาเยือนค่อยบรรจงหยิบแท่นแคปซูลนั้นขึ้นมาแล้วจ้องมองมันเข้าไปภายใน  เช่นเดียวกับมนุษย์โลกทั้งสี่คนที่ยังคงตกตะลึงในเรื่องราวที่ได้เห็นกับสายตาของพวกเขาเอง
แท่นแคปซูลแห่งชีวิตได้ถูกฝังลงไปใต้พื้นผิวน้ำแข็งแห่งทะเลสาบสีฟ้าเป็นที่เรียบร้อย
ทั้งหมด    ต่อจากนี้ไปก็รอแช่วงเวลาอันเหมะสมแห่งกาลเวลาที่จะก่อเกิดชีวิตขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
ทั้งผู้มาเยือนและมนุษย์โลกยืนอยู่ที่ริมทะเลสาบสีฟ้าสายตาจ้องมองไปยังตำแหน่งที่แคปซูลแห่งชีวิตถูกฝังลงไป   ก่อนที่ผู้มาเยือนจะหันมาพูดกับมนุษย์โลกว่า
“ ภารกิจของเราเสร็จสิ้นลงแล้ว  ต่อจากนี้ก็ปล่อยให้เป็นเรื่องของเวลา”
“ แล้วพวกเราต้องทำอย่างไรบ้าง?” มนุษย์คนหนึ่งเอยถาม
“ ท่านจะรู้ด้วยตัวของท่านเองเมื่อท่านกลับไปยังในถ้ำที่พวกท่านอาศัยอยู่” ผู้มาเยือนตอบเพียงสั้นๆแค่นั้น   แล้วผู้มาเยือนทั้งสามก็ก้าวเท้าออกเดินโดยไม่เอยคำพูดใดออกมา
“พวกท่านจะไปไหน?” มนุษย์โลกถามต่อ
“พวกเราจะกลับบ้าน”  ผู้มาเยือนตอบมนุษย์โลกโดยไม่ได้หลังหันกลับมามอง  แล้วเดินหน้าต่อไปยังตำแหน่งที่ยานพาหนะของพวกเขาจอดอยู่ในช้าก็ปรากฏแสงสว่างเกิดขึ้นอีกครั้งเป็นสัญญาณว่ายานพาหนะของผู้มาเยือนได้เริ่มเดินทางออกจากโลกใบนี้สู่ห้วงจักรวาลแล้ว
เสียงลมหนาวพัดกระโชกมาอีกครั้งหนึ่งเหมือนเป็นสัญญาณการสั่งลาจากผู้มาเยือน
 
                  มนุษย์โลกทั้งสี่พากันเดินกลับมาที่ถ้ำแสงอ่อนๆจากดวงอาทิตย์ยังคงส่องร่ำไรอยู่เบื้องบน    พวกเขาพากันมานั่งล้อมวงรอบกองไฟที่ผู้มาเยือนเคยก่อให้ดูเป็นตัวอย่าง   ทิ้งไว้แต่เศษซากของเถ้าถ่านสีดำกับเศษไม้แห้งที่บางส่วนยังคงเหลืออยู่      พวกเขาทั้งสี่คนต่างนั่งจ้องมองกองไฟที่มอดดับลงไปแล้ว   ในหัวสมองของพวกเขาอาจจะคิดว่านี้คือเรื่องจริงหรือ  ทุกอย่างมันไม่ใช่ภาพมายาที่เกิดขึ้นต่อสายตาของพวกเราทั้งสี่คน  แล้วสิ่งที่เราต้องทำหลังจากนี้ละคืออะไรในเมื่อโลกไม่เหลือสิ่งใดให้เราต้องทำอีกแล้ว
พลางหนึ่งในสี่ของมนุษย์โลกก็เอาฝามือกอบขี้เถ้ามาขย้ำผสมกับดินร่วงสีน้ำตาลจากพื้นถ้ำมาผสมกันจนเข้ากันได้ประมาณหนึ่งแล้วจึงลุกขึ้นกอบเอาขี้เถ้าถ่านที่ผสมกับดินด้วยสองฝามือเดินตรงไปที่ผนังด้านทิศตะวันตก    เขาค่อยๆบรรจงวาดภาพบรรยายเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับพวกเขาในวันนี้จารึกมันไว้ที่ผนังถ้ำแห่งนี้    มนุษย์โลกที่นั่งอยู่อีกสามคนพร้อมใจกันลุกขึ้นมาทำตามเพื่อนคนแรก    พวกเขาต่างด้วยช่วยกันวาดภาพที่ฝาผนังถ้ำแห่งนั้น    เพราะในอนาคตวันข้างเมื่อชีวิตที่ถูกฝังแช่แข็งเอาไว้ตื่นขึ้นมาพวกเขาเหล่านั้นจะต้องมาเจอรูปภาพที่วาดเอาไว้ ณ ภายในถ้ำแห่งนี้  
            ดวงอาทิตย์พึ่งจะลาลับท้องฟ้าไปแสงสะเก็ดไฟจากการกระทบกันของก้อนหินสองก้อน
สว่างวาบอยู่เป็นระยะๆ   
           กองไฟกำลังจะถูกก่อขึ้นบนโลกใบนี้อีกครั้ง...
The return
โฆษณา