24 ก.พ. 2022 เวลา 07:13 • กีฬา
คำพูดคลาสสิคตลอดกาลของวงการฟุตบอล มาจากปากเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสันที่พูดสั้นๆ ว่า "Football, Bloody Hell!" แปลเป็นไทยให้เห็นภาพว่า "ฟุตบอล แม่งโคตรบ้า" มันมีที่มาอย่างไร เราจะไปย้อนดูประวัติศาสตร์ด้วยกัน
มันเป็นคำสั้นๆ แต่มีที่มา และยิ่งไปกว่านั้น เป็นคำที่ไม่เคยเก่า มันอยู่กับวงการฟุตบอลอังกฤษมาแล้วมากกว่า 2 ทศวรรษ
ในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมเห็นคนทวีตคำนี้ตั้งแต่เกม แมนฯ ซิตี้ กับสเปอร์สแล้ว เพราะแมนฯ ซิตี้อุตส่าห์ตีเสมอ 2-2 ช่วงทดเจ็บได้แท้ๆ แต่สเปอร์สดันมาซัดประตูชัย 3-2 ได้อีก
แมนฯ ซิตี้ ไม่แพ้ใครมา 15 เกม ส่วนสเปอร์สแพ้มา 3 เกมรวด ใครจะไปเชื่อว่าเรือใบจะโดนคาบ้าน จากฝีมือของนักเตะที่พวกเขาเคยอยากได้แบบสุดๆ อย่างแฮร์รี่ เคน อีกต่างหาก
Football, Bloody Hell จริงๆ
จะว่าไปแล้ว ประโยคนี้คือรากฐานสำคัญของวงการฟุตบอลอังกฤษก็ว่าได้ นั่นคือความ "คาดเดาไม่ได้" คุณไม่มีทางรู้เลยจริงๆ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ดีเทลแต่ละเกมมันเต็มไปด้วยความดราม่าไปหมด
นี่คือหนึ่งสาเหตุสำคัญที่ทำให้พรีเมียร์ลีก เป็นธุรกิจฟุตบอลที่มีมูลค่าแพงที่สุดในโลก ก็มันสนุก มันเดาผลไม่ได้ ในแง่ของความบันเทิงมันก็เป็นโชว์ที่ระทึกใจที่สุดแล้ว
1
สำหรับจุดเริ่มต้นแรกสุดของคำว่า Football, Bloody Hell มาจากอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ผู้จัดการทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ที่พูดไว้ หลังเกมยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศปี 1999 ที่คัมป์นู
ย้อนกลับไปในเกมยุโรปนัดชิงปี 1999 บรรยากาศที่แมนเชสเตอร์พุ่งทะยานถึงขีดสุด เพราะผลงานของทีมปีศาจแดงในซีซั่นนั้นอยู่ในจุดสูงสุด พรีเมียร์ลีกคว้าแชมป์ได้สวยงาม เช่นเดียวกับเอฟเอคัพ ดังนั้นพวกเขามีโอกาสเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษที่คว้า เทรเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ
แมนฯ ยูไนเต็ด ไม่เคยชิงรายการยุโรปตั้งแต่ปี 1968 ยุคเซอร์แมตต์ บัสบี้ ทำให้ในการเจอกับบาเยิร์นนัดนี้ แฟนบอลบ้าคลั่งมาก มีรายงานว่า แฟนบอลมากกว่า 55,000 คน แห่กันมาที่คัมป์นู ทั้งๆที่ฝั่งแมนฯ ยู ได้ตั๋วแค่ 38,000 ใบเท่านั้น หลายคนกะไปวัดดวงซื้อตั๋วผีหน้าสนาม
เกมนัดนั้นมีคนดูที่อังกฤษ 15.5 ล้านคน จากประชากรทั้งหมด 60 ล้าน คิดดูว่าผู้คนจะลุ้นระทึกขนาดไหน
แม้บรรยากาศของแฟนบอลจะคึกคัก แต่ความพร้อมของทีมสวนทางกันอย่างมาก สาเหตุเพราะรอย คีน กัปตันทีมตัวจริง เสียสละตัวเองไปสกัดซีเนอดีน ซีดาน จนโดนใบเหลืองรอบรองกับยูเว่ ทำให้เขาโดนแบนในนัดชิง การไม่มีกัปตันที่คอยปลุกเร้า เป็นความสูญเสียที่มหาศาล
นอกจากนั้นก็ยังไม่มีกองกลางที่ "จีเนียส" ที่สุดอย่างพอล สโคลส์อีกด้วย คิดอะไรไม่ออก สโคลส์ซัดไกลหายได้ง่ายๆ เกมรุกที่ไร้สโคลส์ก็ลดความน่ากลัวลง
1
เมื่อขาดคีน-สโคลส์ มิดฟิลด์ที่เฟอร์กี้ต้องเลือกยืนพื้นแน่ๆ 1 คนคือนิคกี้ บัตต์ ส่วนอีกคนกองเชียร์อยากให้ใช้รอนนี่ ยอห์นเซ่นที่ขึ้นมาเล่นกลางรับได้ แต่เฟอร์กี้คำนวณแล้ว เขามองว่าคู่กลางของบาเยิร์น คือสเตฟาน เอฟเฟ่นแบร์ก กับเยนส์ เยเรมีส์ ที่เก็บบอลดีมาก ถ้าใช้ยอห์นเซ่นล่ะก็ เกมคงเดินไม่ได้แน่ๆ
1
ดังนั้นจึงตัดสินใจใช้เดวิด เบ็คแฮม มาเล่นตรงกลางกับบัตต์ แล้วจับกิ๊กส์ไปยืนปีกขวา ให้เจสเปอร์ บลอมควิสต์เล่นปีกซ้าย
จริงๆ มีทางเลือกอื่นเช่นเอาโอเล่ กุนนาร์ โซลชาที่เล่นปีกขวาได้ ไปยืนตรงนั้นแล้วให้กิ๊กส์ไปยืนฝั่งซ้ายที่ตัวเองถนัด แต่เฟอร์กี้กลับไม่เลือกแบบนั้น เขาเอาโซลชาเป็นสำรองดีกว่า
เชื่อหรือไม่ว่า 11 ตัวจริงของแมนฯ ยูไนเต็ดในเกมนั้น ชไมเคิล, เนวิลล์, สตัม, ยอห์นเซ่น, เออร์วิน, กิ๊กส์, เบ็คแฮม, บัตต์, บลอมควิสต์, ยอร์ก และ โคล ทั้งหมดไม่เคยเล่นด้วยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว นี่เป็นหนแรกสุดที่ได้ลงสนามด้วย combination ชุดนี้
และเชื่อหรือไม่อีกครั้ง ว่านี่คือครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้เล่นร่วมกันด้วย จากนั้นมาเฟอร์กี้ไม่เคยจัด 11 คนนี้ลงสนามพร้อมกันอีกเลย
ฝั่งบาเยิร์นมีนักเตะที่ลงไม่ได้สองคน คนแรกที่บิเซนเต้ ลิซาราซู แต่ก็แทนที่ด้วยมิชาเอล ทาร์นาท ที่มีคุณภาพเหมือนกัน ไม่ได้เป็นปัญหาอะไรนัก ส่วนอีกคนที่ดูจะเสียหายมากกว่าคือโจวานี่ เอลแบร์ ที่บาดเจ็บ อย่างไรก็ตาม เอลแบร์เจ็บมาหลายเกมแล้ว และ 3 ประสานแดนหน้า ยังเคอร์ -ซิคเลอร์ -บาสเลอร์ ก็เล่นด้วยกันได้ดี
สิ่งที่เป็นจุดอ่อนของแมนฯ ยูไนเต็ดเสมอในฤดูกาลนั้น คือไม่เคยระวังในการโดนนำเร็ว เกมเจอยูเวนตุสเสียประตูใน 6 นาที หรือเกมเจอบาร์เซโลน่าเสียประตูใน 49 วินาที มานัดนี้ รอนนี่ ยอห์นเซ่นไปกระแทกคาร์สเท่น ยังเคอร์จนเสียฟาวล์หน้าโกล์ เป็นการเชื้อเชิญมากๆ ให้บาเยิร์นสังหาร
มาริโอ บาสเลอร์ ปั่นฟรีคิกเรียดเสียบเสาสองไปอย่างง่ายๆ จริงๆ ลูกนี้ชไมเคิลน่าปิดเสาสองได้ดีกว่านั้น อย่างไรก็ตามบาเยิร์นนำ 1-0
สิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากโดนนำคือความมั่ว แมนฯ ยูไนเต็ดเกิดอาการลนลาน ยอห์นเซ่น จะปล่อยคืนหลังให้ชไมเคิลเล่น แต่แตะเบาเกินไปจนเกือบโดนฉกไปยิง สุดท้ายแมนฯ ยูไนเต็ดแทบไม่ได้ลุ้นอะไรเลยตลอดครึ่ง จบด้วยการโดนนำ 1-0 ในทรงบอลที่น่าผิดหวังเอามากๆ
พอพักครึ่ง เฟอร์กูสันโมโหสุดๆ กับฟอร์มแบบนี้ เขาระเบิดอารมณ์ในห้องแต่งตัวว่า "พวกแกเล่นแบบนี้ ไม่มีทางได้แชมป์หรอก ตอนที่แกเดินออกจากห้องไปเพื่อลงเล่นในครึ่งหลัง แล้วเดินผ่านโทรฟี่ที่ตั้งอยู่ ก็ตั้งใจมองมันให้ดีๆ ล่ะ เพราะนั่นคือโอกาสที่พวกแกจะเข้าใกล้โทรฟี่ได้มากที่สุดแล้ว ยกเว้นแต่พวกแกสามารถเปลี่ยนเกมของตัวเองได้ตอนนี้"
1
ถามว่าครึ่งหลังแมนฯ ยูไนเต็ดเล่นดีขึ้นไหม คำตอบคือไม่ ไรอัน กิ๊กส์ พยายามกระชากแต่ก็โดนเอฟเฟ่นแบร์กเตะร่วง คือบาเยิร์นปิดกั้นการบุกไว้ทุกอย่าง มันเป็นหนึ่งในเกมที่ตื้อตันมากที่สุด
มีช็อตนึงนิคกี้ บัตต์ ครอสผ่านหน้าประตูไป โดยไม่มีใครใกล้เคียงจะโหม่งโดน แต่ผู้บรรยายภาษาอังกฤษในเกมนั้น ชื่อ ไคลด์ ทิสลีย์ บอกว่า "นี่เป็นโมเมนต์ที่ดีที่สุดของแมนฯ ยูไนเต็ดในนัดนี้" คือเห็นกันชัดๆ เลยว่าบอลมันไปไม่ได้เลย
นอกจากนั้นบาเยิร์นยังมีโอกาสบุกมาเรื่อยๆ จนเกือบได้ประตูที่ 2 จากตัวสำรองเมห์เมต โชล แต่ลูกยิงไปชนเสานิดเดียวเท่านั้น ถ้าหากลูกนี้เข้าไป เกมก็ควรโอเวอร์แล้ว
เมื่อนักเตะไม่สามารถกระตุ้นกันเองเพื่อเปลี่ยนเกมได้ เฟอร์กูสันก็ต้องใช้แท็กติกเข้าสู้ คนแรกที่เขาเปลี่ยนลงเล่นคือ เท็ดดี้ เชอร์ริงแฮม แทนตำแหน่งของเจสเปอร์ บลอมควิสต์ ในนาทีที่ 69 ตามด้วยคนที่สองคือ โซลชาลงแทน แอนดี้ โคล นาที 81
ไม่รู้ว่าเป็นแผน เป็นความบังเอิญ หรือความตั้งใจ ก่อนที่เฟอร์กูสันจะเปลี่ยนตัวเอาเชอริงแฮมลงไป เขายืนคุยกับเชอริงแฮมนานมากหลายนาที แต่พอจะส่งโซลชาลงเล่นเขาไม่ได้คุยอะไรกับโซลชาเลย คือส่งลงดื้อๆ ทั้งแบบนั้น ซึ่งจุดเล็กๆ แบบนี้ มันทำให้โซลชาโมโห
1
โซลชาเล่าว่า "ตอนนั้นสกอร์เราตามหลังอยู่ 1-0 บอสส่งเท็ดดี้ ลงสนามก่อนหน้าผมประมาณ 10 นาที ซึ่งบอสคุยกับเท็ดดี้นานมาก คือคุณจะรู้สึกได้เลยว่าเท็ดดี้เป็นความหวังที่จะทำให้เราคัมแบ็กกลับมาได้จริงๆ แต่พอถึงคิวผม เขาไม่พูดอะไรด้วยเลย"
1
"ผมคิดว่า เฮ้ย ผมยิง 17 ลูกให้คุณในฤดูกาลนี้นะ ส่วนเท็ดดี้ทั้งซีซั่นยิงได้แค่ 4 ลูกเอง แล้วทำไมคุณไม่มาคุยกับผม!? สิ่งเดียวที่ผมคิดต่อจากนั้น คือจะพิสูจน์ให้รู้ว่าบอสคิดผิด"
1
เกมผ่านไป 89 นาที ยังไม่เห็นแววว่าแมนฯ ยูไนเต็ดจะเจาะได้ โลธาร์ มัทเทอุสลิเบโร่ของบาเยิร์น บอกว่า "เราข่มพวกเขามิด 89 นาทีเต็ม มันเหมือนเป็นการบุกวันเวย์ข้างเดียว"
อย่างไรก็ตาม จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดของเกมนี้เกิดขึ้นนาที 90+1 นั่นเพราะฝั่งบาเยิร์นเองก็ลนลานเหมือนกัน จากจังหวะเตะมุมของเบ็คแฮม กองหน้าบาเยิร์น ซิคเลอร์ลงมาช่วยเคลียร์ แต่คนเป็นกองหน้าก็เคลียร์ได้แบบพอพ้นๆ ทำให้บอลเด้งไปเข้าทางกิ๊กส์ ยิงสวนกลับมา ก่อนเป็นเชอริงแฮมยืนถูกที่ถูกเวลา ซัดให้ปีศาจแดงเสมอ 1-1
ตัวสำรองคนแรกของเฟอร์กูสัน ส่งมาแล้วเห็นผลทันที เชอริงแฮมยิงประตูสำคัญที่สุดในอาชีพของเขา
แน่นอน คนที่นำมาตลอดแล้วโดนตีเสมอทดเจ็บ กับคนที่ตามมาตลอดแล้วตีเสมอได้ มันมีความรู้สึกที่แตกต่างกัน มาร์คุส บับเบิ้ล ให้สัมภาษณ์ว่า "พอโดนยิงลูกนี้ ร่างกายผมมันบอกว่าทนไม่ไหวอีกแล้ว เช่นเดียวกับจิตใจที่เป๋ไปเลย ตั้งแต่เราโดนลูกตีเสมอ 1-1 ผมรู้แน่ว่าเราจะแพ้เกมนี้"
หลังประตูของเชอริงแฮม อีกแค่ 84 วินาที แมนฯ ยูไนเต็ดได้เตะมุมอีกครั้ง เบ็คแฮมเปิดเหมือนเดิม ให้เชอริงแฮมโหม่งชงให้โซลชาซัดเข้าประตู และแน่นอน สำหรับโซลชา นี่เป็นประตูที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขาเช่นกัน
1
เกมนี้ไม่ใช่เกมที่แมนฯ ยูไนเต็ดเล่นดีเลย เฟอร์กี้เองก็ยอมรับว่า ทุกอย่างไม่เป็นอย่างที่คิด แต่พวกเขาขอแค่ช่วงทดเจ็บแค่นั้น สุดท้ายแซงกลับมาคว้าแชมป์ 2-1 ใครจะไปเชื่อกับเกมที่น่าจะแพ้ไปแล้วแน่ๆ กลับพลิกนำได้เฉยเลย
จุดสำคัญคือ แมนฯ ยูไนเต็ดยิงนำ นาที 92:18 ตอนนั้นกรรมการชูนาฬิกาทดเจ็บ 3 นาที ยังพอมีเวลาอีกหลายวิให้บาเยิร์น บุกเพลย์สุดท้าย แต่การโดนยิง 2 ลูกซ้อนๆ มันทำให้พวกเขาหมดอาลัยตายอยากไปแล้ว นักเตะหลายคน เช่น ซามูแอล คุฟฟูร์ ลงไปกองกับพื้น ทำให้กว่าจะเริ่มเล่น ก็กินเวลา 93:22 แล้ว
ปิแอร์ลุยจิ คอลลิน่า ยังใจดี ให้เล่นต่ออีก 11 วินาที บาเยิร์นจึงบอมบ์เข้าไปครั้งสุดท้าย แต่ไม่สามารถทำอะไรได้แล้ว แมนฯ ยูไนเต็ดเคลียร์ออกมาได้ โดยคนสัมผัสบอลคนสุดท้ายในเกมนี้คือนิกกี้ บัตต์
จบเกมผู้บรรยายภาษาอังกฤษบอกว่า "คุณไม่มีวันหาเกมนัดชิงแชมเปี้ยนส์ลีกที่ดราม่าไปกว่านี้เจออีกแล้ว!"
โอเคล่ะ ถ้าไปดู Stat แมนฯ ยูไนเต็ดเหมือนจะดูดีกว่า เช่น ครองบอลมากกว่า (53% -47%) และยิงตรงกรอบมากกว่า (9 ครั้ง ต่อ 7 ครั้ง) แต่ถ้าดูในภาพรวม บาเยิร์นดูจะครองเกมได้ดีกว่า ดังนั้นการยิง 2 ลูกรวด ในช่องว่างแค่ 84 วินาทีจนพลิกชนะ ถือว่าเป็น Miracle ของแมนฯ ยูไนเต็ดอย่างแท้จริง
เลนนาร์ต โยฮันส์สัน ประธานยูฟ่า ที่ต้องเป็นคนมอบโทรฟี่แชมป์ เขาเดินออกจากที่นั่งในนาที 90 ตอนบาเยิร์นนำอยู่ 1-0 เพื่อเดินผ่านอุโมงค์เข้าไปที่พื้นหญ้าในสนาม เมื่อเขาเดินออกมาจากอุโมงค์ ก็เห็นภาพที่ประหลาด "ผมไม่อยากจะเชื่อ คนชนะกำลังร้องไห้ ส่วนคนแพ้กำลังเต้นดีใจ" ซึ่งโยฮันส์สันมารู้ทีหลังว่า ช่วง 3 นาที ที่เขาเดินลงมาสู่สนาม มี 2 ประตูสำคัญเกิดขึ้นที่คัมป์นู
ความสุขของแมนฯ ยูไนเต็ด คือความเศร้าของบาเยิร์น เกมนี้เป็นการทำลายความฝันของโลธาร์ มัทเธอุส (38 ปี) ด้วย โดยเขาได้เกือบทุกรางวัลบนโลกมาแล้ว ทั้งฟุตบอลโลก ทั้งบัลลงดอร์ เกียรติประวัติของเขาจะเติมเต็ม ถ้าได้แชมเปี้ยนส์ลีกสักใบ แต่สุดท้ายก็ฝันสลายอย่างน่าเจ็บปวด มาโดนยิง 2 ลูกซ้อนๆ แบบที่ทำอะไรไม่ได้เลย
ด้วยเหตุการณ์แห่งความระทึกขวัญช็อตนี้เอง เมื่อนักข่าวไปสัมภาษณ์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ว่ารู้สึกอย่างไร จากจะแพ้ แต่พลิกกลับมาชนะได้แบบเหลือเชื่อขนาดนี้ เฟอร์กี้ก็ตอบว่า I can't believe it Football, Bloody Hell หรือแปลว่า "ผมไม่อยากจะเชื่อ ฟุตบอลแม่งโคตรบ้า!"
1
ตามหลังมาทั้งเกม โมเมนตั้มใดๆ ก็ไม่มี แต่สุดท้ายมายิงได้ 2 ลูกคว้าแชมป์กันดื้อๆ เฉยเลย นี่คือความบ้าบออย่างแท้จริง
และสิ่งนี้แหละ มันกลายเป็นคาแรคเตอร์ของฟุตบอลอังกฤษมาตลอดด้วย ทั้งในพรีเมียร์ลีก หรือในเกมยุโรปที่ทีมจากอังกฤษไปเกี่ยวข้อง มันเป็นฟุตบอลที่ระทึกใจ มีปาฏิหาริย์แล้วปาฏิหาริย์อีก คาดเดาอะไรไม่ได้เลย
วันนี้เฟอร์กี้รีไทร์ไปนานแล้ว แต่คำว่า Football, Bloody Hell ก็ยังคงอยู่คู่วงการต่อไปอีกนานเลยล่ะ
#JUSTINCREDIBLE
โฆษณา