25 ก.พ. 2022 เวลา 02:04 • กีฬา
ถ้วยลีกคัพ เมื่อก่อนโดนแซะว่าเป็นมิคกี้ เมาส์คัพ ใครๆ ก็ดูแคลน แต่ถ้วยใบนี้ อัพเกรดสู่ถ้วยที่คนอยากได้ในปัจจุบันได้อย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะลำดับเหตุการณ์ให้ฟัง
ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 20 ปีก่อน ถ้วยลีกคัพเป็นรายการที่ได้รับความสนใจไม่มากนัก ยิ่งไปกว่านั้นตัวรายการยังถูก "บุลลี่" จากแฟนบอล ด้วยการตั้งชื่อโทรฟี่ของแชมป์ลีกคัพ เอาไว้อย่างเจ็บแสบว่า "มิคกี้เมาส์ คัพ"
จุดเริ่มต้นของชื่อมิคกี้เมาส์ คัพ เท่าที่มีการบันทึกไว้ ต้องย้อนกลับไปในปี 1977 ณ เวลานั้นลิเวอร์พูลคือทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก พวกเขาเป็นแชมป์ดิวิชั่น 1 อังกฤษ และแชมป์ยูโรเปี้ยนคัพ ภายในทีมประกอบด้วยผู้เล่นเกรดเอ เดินชนกันเต็มไปหมด
สิ่งที่น่าสนใจคือ ในปี 1977 นี่เอง เอฟเวอร์ตันทีมคู่ปรับของลิเวอร์พูล สามารถทะลุเข้าถึงรอบชิงของรายการลีกคัพได้สำเร็จ โดยไปชนกับแอสตัน วิลล่า ซึ่งแฟนๆ ทีมทอฟฟี่ก็ดีใจมาก เพราะไม่ได้เข้าชิงรายการใดเลยมา 9 ปีเต็ม พวกเขาก็อยากฉลองแชมป์อะไรสักอย่างเหมือนกัน ต่อให้เป็นถ้วยลีกคัพก็ยังโอเค
ด้วยความที่ลิเวอร์พูล กับ เอฟเวอร์ตันเป็นศัตรูกัน เมื่อแฟนหงส์ เห็นแฟนทอฟฟี่ตื่นเต้นที่ได้เข้าชิง ลีกคัพ จึงทำการแซะว่า "ถ้วยมิคกี้เมาส์ คัพแบบนั้น อยากได้แชมป์ก็เอาไปเถอะ เดี๋ยวเราไปเอาแชมป์ยุโรปมาแทนดีกว่า" ซึ่งจากวันนั้นเอง ถ้วยลีกคัพจึงถูกสร้างสแลงขึ้นมาว่าเป็น มิคกี้เมาส์ คัพ
6
มิคกี้เมาส์คือตัวละครของดิสนีย์ "มิคกี้" คือตัวแทนของความสดใสร่าเริงที่เด็กๆ ดังนั้นการโดนตั้งฉายาว่า มิคกี้เมาส์ คัพ ก็เพื่อจะลดทอนคุณค่าของถ้วยนี้ลงไปนั่นเองว่าเป็นถ้วยที่เด็กๆ เขาแย่งกันอะไรทำนองนี้ เป้าหมายคือเพื่อดิสเครดิตคู่ปรับของตัวเองนั่นแหละ
1
อย่างไรก็ตาม ในเวลาต่อมา ทีมหงส์แดงก็โดนบ้าง ในปี 2001 ลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิ้ลแชมป์ คือยูฟ่าคัพ, เอฟเอคัพ และ ลีกคัพ โดยเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นคล้อยหลังแค่ 2 ปี หลังจากแมนฯ ยูไนเต็ด ได้ทริปเปิ้ลแชมป์ในปี 1999 (พรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก)
แฟนทีมปีศาจแดงจึงหมั่นไส้แฟนลิเวอร์พูลว่า แหม จะมาดีจงดีใจอะไรกันขนาดนั้น กะอีแค่สามแชมป์ชุดเล็ก และมีการทำป้ายแบนเนอร์ติดไว้ที่โอลด์แทรฟฟอร์ดว่า "Mickey Mouse Treble LFC 2001" (ลิเวอร์พูลสามแชมป์ชุดมิคกี้เมาส์) เป็นการเย้ยหยันว่า สามแชมป์ที่แท้จริงคือปี 1999 ต่างหากเล่า!
1
ความรู้สึกของแฟนบอลทีมใหญ่ นับจากยุค 1970 จนถึงราวๆ ปี 2000 ก็ต้องยอมรับจริงๆ ว่าพวกเขาจะมองลีกคัพว่าเป็นโทรฟี่ที่เล็กมาก ได้แชมป์ก็ดี ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนมาก เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมนับจากปี 2005 เป็นต้นไป นับจากปี 2005-2021 เป็นจำนวน 16 ซีซั่น ถ้วย ลีกคัพ ตกเป็นของ "บิ๊กทีม" เช่น แมนฯ ซิตี้, ลิเวอร์พูล, แมนฯ ยูไนเต็ด และ เชลซี ไปถึง 14 ครั้ง ส่วนอีก 2 ครั้งที่ทีมเล็กสอดแทรกเข้ามาได้ คือสวอนซี กับ เบอร์มิงแฮมเท่านั้น
มีการวิเคราะห์ที่น่าสนใจว่า สาเหตุอะไรที่ทำให้ถ้วย ลีกคัพ ได้รับความสำคัญมากขึ้น จนบรรดาทีมใหญ่ต่างมุ่งมั่นที่จะเอาแชมป์ให้ได้แบบเอาจริงเอาจัง หากเทียบกับในอดีต
เหตุผลข้อแรกคือ "ในยุคนี้ การได้แชมป์สักรายการมันยาก"
กล่าวคือในวงการฟุตบอล "การได้แชมป์" คือสิ่งสำคัญมาก นอกจากจะเป็นเกียรติประวัติแล้ว ยังสร้างความรู้สึกที่ดีให้แฟนๆ ด้วยว่าทีมฟุตบอลของเราก็ชนะเป็นเหมือนกัน
2
เมื่อจบซีซั่นไม่อยากมีทีมไหน โดนเย้ยหยันว่าจบมือเปล่า ดังนั้นการได้แชมป์ลีกคัพ ก็ยังใช้คำว่า Cup Winner ได้ ซึ่งยังไงก็ดีกว่าคว้าน้ำเหลวแน่ๆ
เหตุผลข้อที่ 2 คือ "โค้ช ต้องการให้นักเตะได้รับประสบการณ์มากขึ้น"
ในวงการธุรกิจจะมีทฤษฎีว่า คุณต้องรู้จักที่จะเอาชนะในเรื่องเล็กๆ ก่อน จากนั้นก็มีประสบการณ์เพิ่มพูนขึ้น จนสามารถไปเอาชนะในเรื่องใหญ่ๆได้ กล่าวคือถ้าคุณชนะในทัวร์นาเมนต์เล็กๆ บรรดานักเตะก็จะเลเวลอัพ เมื่อไปเจอความกดดันจากรายการที่ใหญ่กว่า ก็จะรับมือได้ดีขึ้น
ใน ลีกคัพ ก็เช่นกัน นักเตะหลายคนมีจุดเริ่มต้นจากถ้วยนี้ก่อน ก่อนที่จะไปประสบความสำเร็จในอนาคต
เช่นเดียวกัน คนดูบอลยุคนี้ไม่ได้อยากดูแค่ทีมชุดใหญ่ แต่แฟนๆ อยากเห็นฟอร์มของผู้เล่นจากอะคาเดมี่ของสโมสร ว่ามีคนไหนมีพรสวรรค์บ้าง ซึ่งถ้วยลีกคัพ ก็จะเป็นโอกาสดี ที่เราจะเห็นโค้ชส่งดาวรุ่งเก่งๆ มาผสมกับรุ่นพี่ ผู้เล่นหลายคนก็แจ้งเกิดจากลีกคัพ ก่อนที่จะดังในระดับประเทศ
1
เหตุผลข้อที่ 3 คือ ถ้วยลีกคัพ ไม่ได้หยุดนิ่ง แต่พวกเขารีโนเวทตัวเองให้พัฒนาขึ้น
ในยุคแรก ลีกคัพใช้กฎเตะเหย้าเยือนทุกรอบ ขณะที่ในรอบชิงชนะเลิศใช้กฎรีเพลย์ คือถ้าเสมอกันก็แข่งใหม่ไปเรื่อยๆ จนกว่าจะได้แชมป์นั่นล่ะ อย่างในปี 1977 ที่เอฟเวอร์ตัน เจอกับแอสตัน วิลล่า ต้องรีเพลย์กัน 3 รอบ กว่าจะหาผลผู้แพ้ชนะได้
1
การมีฟอร์แมตที่โหดแบบนี้ นักเตะเองก็เหนื่อย แฟนบอลก็เสียเงินเข้าชมในสนามมากขึ้น ไปๆมาๆ สโมสรก็เลยไม่อยากส่งตัวหลักเล่นรายการนี้ คือเก็บแรงไปแข่งบอลลีกยังจะดีซะกว่า และมันก็เป็นผลพวงต่อๆ กันมา พอสโมสรส่งตัวสำรองลงเล่น คนดูก็ไม่เข้าสนาม สถานีโทรทัศน์ต่างประเทศก็ไม่ซื้อลิขสิทธิ์ความนิยมก็เสื่อมถอย มันกลายเป็นลูกโซ่ไปเลย
1
ดังนั้นลีกคัพจึงต้องปรับตัวซะใหม่ คือการยกเลิกเหย้าเยือนไปซะ เหลือไว้แค่รอบรองชนะเลิศรอบเดียวเท่านั้นให้คงเอกลักษณ์ไว้นิดหน่อย จากนั้นรอบชิง ก็ยกเลิกรีเพลย์ แข่งนัดเดียวจบไปเลย ยิงจุดโทษตัดสินทุกอย่าง
เมื่อฟอร์แมตมันเรียบง่าย ก็ส่งผลให้ทีมใหญ่ๆ ส่งผู้เล่นคนสำคัญลงสนามมากขึ้นตามไปด้วย
และ เหตุผลข้อที่ 4 คือถ้วย ลีกคัพ เปิดตลาดระดับสากลมากขึ้น
คือถ้าสังเกตจากสปอนเซอร์ของลีกคัพในอดีตจะใช้แบรนด์ท้องถิ่น เช่น บริษัท มิลค์ มาร์เก็ตบอร์ด ผู้ผลิตนมและชีส (การแข่งใช้ชื่อว่า "มิลค์คัพ”)
ห้างลิตเติ้ลวูดส์ ที่ปิดกิจการไปแล้ว เช่นเดียวกับ ร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าชื่อรัมเบโลว์ ก็เคยเป็นสปอนเซอร์หลักเช่นกัน โดยใช้ชื่อลิตเติ้ลวูดส์คัพ และ รัมเบโลว์คัพ ตามลำดับ
แต่ในยุคหลังๆ เราสังเกตได้เลยว่า ทาง EFL ผู้จัดการแข่งขัน ลีกคัพ เปิดกว้างให้เมน สปอนเซอร์ของรายการ เป็นสินค้าจากประเทศใดก็ได้ ขอแค่มีคุณภาพดีก็พอ
ทำไมถึงใช้แบรนด์ระดับนานาชาติ? คิดตามคอมม่อนเซนส์ ถ้าใช้ชื่อแบรนด์ท้องถิ่น คนก็ยังรู้สึกว่าเป็นรายการเล็กๆ เตะกันเองขำๆ แต่ถ้าเปลี่ยนชื่อรายการ โดยมีสินค้าระดับนานาชาติเป็นผู้สนับสนุนหลัก ความรู้สึกของคนจะเปลี่ยนไปเลย มันจะทำให้เห็นว่า ถ้วยนี้มันมีคุณภาพ ขนาดที่แบรนด์ท็อปๆ ระดับโลกยังเลือกมาเป็นผู้สนับสนุน
ปี 2003-2012 เบียร์ Carling เครื่องดื่มยอดนิยมจากแคนาดา
ปี 2012-2016 ธนาคาร Capital One ธุรกิจการเงินจากสหรัฐอเมริกา
และผู้สนับสนุนหลักแบรนด์ล่าสุด คือ คาราบาว (Carabao Energy Drink) หรือเครื่องดื่มชูกำลังคาราบาวแดงจากประเทศไทย ที่ตั้งเป้าหมายจะเข้าสู่ตลาดโลกเช่นกัน
2
จากเหตุผลทั้ง 4 ข้อ ถ้าลองคิดดูจะเห็นว่า จากมิคกี้เมาส์ คัพ ในวันนั้น มาถึง คาราบาว คัพ ในวันนี้ เป็นการเดินทางที่ยาวไกลมากของ EFL
3
และตอนนี้ภาพลักษณ์ของถ้วยนี้มีความแข็งแกร่งขึ้น ไม่มีใครออมมือให้ใคร โดยเฉพาะนัดชิงในแต่ละปี โค้ชจะขนตัวหลักมาแบบไม่มีกั๊ก ใส่กันให้ยับจนน็อกกันไปข้าง
2
ดูรอบรองชนะเลิศในฤดูกาลนี้สิ (2021-22) ลิเวอร์พูล, เชลซี, อาร์เซน่อล, สเปอร์ส นี่คือ 4 ทีมใหญ่ทั้งนั้น จะเห็นได้เลยว่า ไม่มีใครลดราวาศอกหรอก อย่างในเอฟเอคัพ เราอาจพอเห็น "ม้ามืด" แต่ในลีกคัพจะเห็นยากมาก เพราะทีมใหญ่เน้นกันสุดๆ
สำหรับนัดชิงชนะเลิศในปีนี้ที่จะเกิดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ. เวลา 23.30 น. ศึกระหว่างลิเวอร์พูล vs เชลซี ก็การันตีความเดือดได้แน่นอน
ตั้งแต่เจอร์เก้น คล็อปป์ย้ายมาคุมลิเวอร์พูล เขามีปมในใจเหมือนกัน เพราะไม่สามารถคว้าแชมป์รายการนี้ได้ คือเคยเข้าชิงมาแล้ว แต่ก็แพ้แมนเชสเตอร์ ซิตี้อย่างน่าเจ็บปวด ขณะที่ฝั่งเชลซี โทมัส ทูเคิล เก็บลิสต์ไปแล้วสามโทรฟี่ (แชมเปี้ยนส์ลีก, ซูเปอร์คัพ, ฟีฟ่าคลับเวิลด์) ดังนั้นเขาย่อมอยากจะลิสต์ถ้วยคาราบาว คัพเอาไว้ เป็นโทรฟี่ใบล่าสุดแน่นอน
เกมนี้จะใส่กันเดือด ฟัดกันให้อยู่หรือตายกันไปข้างแน่นอน และก็เชื่อได้เลยว่านี่จะเป็นคาราบาว คัพอีกหนึ่งฤดูกาล ที่คนจะจดจำได้ไปอีกหลายปีเลยทีเดียว
#CarabaoCup
#FINAL
โฆษณา