27 ก.พ. 2022 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา Forbes เจ้าแห่งคอนเทนต์ธุรกิจ อายุกว่า 100 ปี
คนที่รวยที่สุดในโลกตอนนี้คือใคร มหาเศรษฐีไทยทำธุรกิจอะไรกันบ้าง
น่าจะเป็นคำถามที่ใคร ๆ ต่างก็อยากรู้
2
แล้วถ้าถามว่าเราจะสามารถตามหาคำตอบเหล่านี้ได้จากที่ไหน
เชื่อว่าในหัวของเรา คงหนีไม่พ้นชื่อของนิตยสาร “Forbes”
1
ซึ่งเมื่อไม่นานมานี้ Binance แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโทเคอร์เรนซี ที่มีมูลค่าการซื้อขายมากที่สุดในโลก ก็ได้ประกาศเข้าลงทุนในบริษัทแห่งนี้ เป็นมูลค่ากว่า 6,500 ล้านบาท
แล้วเรื่องราวของ Forbes มีความเป็นมาอย่างไร ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
หากจะพูดถึงเรื่องราวจุดเริ่มต้นของนิตยสาร Forbes เราคงต้องย้อนกลับไปในช่วงปี ค.ศ. 1880 หรือราว 142 ปีก่อน ซึ่งเป็นปีเกิดของคุณ Bertie Charles Forbes หรือ B.C. Forbes
คุณ Forbes เกิดมาในครอบครัวธรรมดาทั่วไปที่แอเบอร์ดีนเชียร์ ประเทศสกอตแลนด์
เขาไม่ได้โดดเด่นหรือร่ำรวยมาก่อน ซึ่งที่บ้านของเขาเป็นครอบครัวที่มีธุรกิจเป็นร้านตัดเสื้อเล็ก ๆ
อย่างไรก็ตาม คุณ Forbes เป็นเด็กที่มีทักษะในการใช้ภาษาได้ดี ไม่ว่าจะเป็นทั้งในแง่ของการพูด หรือการเขียน
บ่อยครั้งที่เขามักจะเรียนรู้ทักษะต่าง ๆ เกี่ยวกับด้านการเขียน เมื่อเขาอายุได้เพียง 13 ปี เขาเริ่มเรียนรู้วิธีการเขียนแบบ “ชวเลข” หรือการเขียนข้อความ โดยย่อเป็นสัญลักษณ์
ซึ่งจะทำให้สามารถจดบันทึกได้เร็วขึ้น เมื่ออายุได้ 14 ปี เขาก็เริ่มเรียนรู้การใช้เครื่องพิมพ์ดีด
ด้วยทักษะด้านการเขียนที่ดีของคุณ Forbes
หลังจากเขาเรียนจบจาก University College, Dundee ในวัยเพียง 17 ปี
เขาจึงได้มีโอกาสเข้าทำงานเป็นนักข่าว ประจำกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ท้องถิ่น
โดยเขาก็เริ่มเขียนข่าวทุกอย่าง ตั้งแต่ข่าวการฆาตกรรม ไปจนถึงข่าวการแข่งขันว่ายน้ำ
2
จนเมื่อปี ค.ศ. 1902 คุณ Forbes เริ่มรู้สึกว่าเขาได้เรียนรู้ทุกอย่างของที่นี่แล้ว
เขาจึงเริ่มมองหางานที่ท้าทายและงานที่จะทำให้เขาเก่งขึ้น
1
นั่นจึงทำให้คุณ Forbes ได้ตัดสินใจย้ายไปที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ประเทศแอฟริกาใต้
ที่แอฟริกาใต้นี่เอง ทำให้เขาได้มีโอกาสทำงานที่หลากหลายมากกว่าเดิม
เขามีงานหลักเป็นนักข่าวให้กับสำนักข่าว Johannesburg Standard and Diggers’ News
และงานเสริมจากการรับจ้างเขียนข่าวให้กับบริษัทต่าง ๆ
1
นอกจากนี้ เขายังได้มีโอกาสช่วยคุณ Harry Cohen ในการก่อตั้งบริษัท The Rand Daily Mail ซึ่งเป็นบริษัทจัดทำหนังสือพิมพ์แห่งหนึ่งในเมืองโจฮันเนสเบิร์ก
ภายหลังจากเก็บเกี่ยวประสบการณ์ได้อยู่ 4 ปี ซึ่งคือปี ค.ศ. 1906 ก็เป็นอีกครั้งที่คุณ Forbes รู้สึกว่าที่เมืองโจฮันเนสเบิร์ก ไม่ได้สร้างความท้าทายให้เขาแล้ว
ทำให้เขาเริ่มมองหาความท้าทายครั้งใหม่ ซึ่งคุณ Forbes ก็พบว่าในช่วงเวลานั้น ผู้คนเริ่มสนใจ “เรื่องราวเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการเงิน” มากขึ้น โดยเขาสังเกตได้จาก เริ่มมีบริษัทที่ทำเกี่ยวกับสื่อในด้านนี้ เกิดขึ้นมามากมาย
ตัวอย่างเช่น The Wall Street Journal หนังสือพิมพ์ที่เน้นการนำเสนอข่าวด้านธุรกิจและการเงิน ที่เพิ่งถูกก่อตั้งขึ้นเมื่อปี ค.ศ. 1889
1
เมื่อเรื่องเป็นแบบนี้ คุณ Forbes จึงไม่รอช้าที่จะมุ่งหน้าสู่นิวยอร์ก
แต่เรื่องกลับไม่ง่ายอย่างที่เขาคิด..
เนื่องจากนิวยอร์กเป็นเมืองใหญ่ ซึ่งเต็มไปด้วยนักข่าวและนักเขียนมากความสามารถมากมาย
การที่คนนอกที่ไม่ได้มีชื่อเสียงอย่างคุณ Forbes จะเข้าไปหางานนั้น จึงไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
เมื่อเขามาเริ่มนับหนึ่งใหม่
เป็นคนไม่มีตัวตน
แล้วเขาใช้วิธีอะไร ให้กลายมาเป็นที่รู้จัก ?
คุณ Forbes ใช้วิธีเสนอตัวเข้าทำงาน “โดยไม่รับค่าจ้าง”
3
ด้วยวิธีนี้ จึงทำให้เขาได้เข้าทำงานที่ New York’s Journal of Commerce and Commercial Bulletin ในตำแหน่งนักข่าวสายธุรกิจและอุตสาหกรรมสินค้าแห้ง
1
ยกตัวอย่างสินค้าในอุตสาหกรรมนี้ เช่น สิ่งทอ, ยาสูบ, น้ำตาล, แป้ง และเมล็ดกาแฟ
ด้วยความสามารถของคุณ Forbes ที่ไม่ใช่แค่การเขียนและรายงานข่าวทั่วไป แต่ยังสามารถเพิ่มมุมมองด้วยการวิเคราะห์ข่าวนั้น ๆ ได้ด้วย ทำให้ผลงานของเขาแตกต่างจากคนอื่น เพียงไม่นานชื่อเสียงของเขาก็เริ่มเป็นที่รู้จักมากขึ้น
1
จนในที่สุดผลงานของเขาก็ไปเตะตาของคุณ William Randolph Hearst เจ้าพ่อวงการสื่อ ผู้เป็นเจ้าของบริษัทเกี่ยวกับสื่อในมืออยู่ทั่วเมืองใหญ่ของสหรัฐอเมริกา ไม่ว่าจะเป็น นิวยอร์ก, ชิคาโก, ลอสแอนเจลิส และบอสตัน
ในเวลานั้น คุณ William Randolph Hearst กำลังรวบรวมนักเขียนและนักข่าวเก่ง ๆ เพื่อสร้างอาณาจักรหนังสือพิมพ์ของเขา ยกตัวอย่างเช่น คุณ Mark Twain เจ้าของฉายา บิดาแห่งวรรณคดีอเมริกัน
1
เมื่อเขาได้เห็นถึงความสามารถของคุณ Forbes คุณ William Randolph Hearst จึงได้ชักชวนให้คุณ Forbes เข้ามาร่วมทำงานด้วย ซึ่งคุณ Forbes ก็ได้ตอบตกลงในทันที
เหตุผลที่คุณ Forbes ไม่มีความลังเลอะไรเลย ก็เพราะว่าในเวลานั้นคุณ William Randolph Hearst มีบริษัทในเครือมากมาย ทำให้เขามีช่องทางหลากหลาย ที่จะเผยแพร่งานเขียน ซึ่งนับเป็นโอกาสที่ดีที่จะสร้างชื่อเสียงได้มากขึ้น
และทุกอย่างก็ดูเหมือนจะเป็นไปอย่างที่เขาคิด
เพราะไม่นานชื่อของคุณ Forbes ก็ได้กลายมาเป็นที่รู้จักในวงกว้าง
1
ซึ่งก็สอดคล้องกับค่าจ้างของเขา ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
หากตีเป็นมูลค่าในปัจจุบันแล้ว มากถึง 6 ล้านบาทต่อปี เลยทีเดียว
ซึ่งก็เรียกได้ว่าเขาได้ขึ้นมาอยู่ที่จุดสูงสุด ในสายอาชีพนี้เลย ก็ว่าได้
แต่คุณ Forbes กลับไม่หยุดเพียงเท่านี้
ดีเอ็นเอของเขายังคงเหมือนเดิม
และเขายังคงขวนขวายเดินหน้าหาความท้าทายต่อไป
1
ส่งผลให้ในปี ค.ศ. 1917 คุณ Forbes ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งงานประจำ แต่ยังคงรับเขียนข่าวให้กับบริษัทของคุณ Hearst อยู่
1
หลังจากลาออก คุณ Forbes ในวัย 37 ปี ได้ทำการก่อตั้งบริษัท Forbes ขึ้นมา
เพื่อทำธุรกิจนิตยสาร ที่จะมีเนื้อหาเกี่ยวกับธุรกิจ และบุคคลที่ประสบความสำเร็จ
ในช่วงแรกนิตยสาร Forbes จะทำการตีพิมพ์ทุก ๆ 2 สัปดาห์ วางขายในราคา 15 เซนต์
แต่ไม่กี่ปีหลังจากนั้น บริษัทก็ได้เผชิญเข้ากับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่ หรือ The Great Depression
ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นวงกว้าง จน Forbes เข้าสู่ยุคตกต่ำ
บวกกับในช่วงเวลาเดียวกัน ก็มีคู่แข่งหน้าใหม่ 2 ราย ที่ได้เข้ามาทำธุรกิจนิตยสารแบบเดียวกันกับ Forbes นั่นก็คือ
- นิตยสาร BusinessWeek ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับข่าวด่วนในแต่ละสัปดาห์
- นิตยสาร Fortune จะเน้นไปที่การวิเคราะห์บริษัทในเชิงลึก
จาก 2 เรื่องนี้ ส่งผลให้งานโฆษณาและค่าสมาชิก ที่เปรียบเสมือนแหล่งรายได้หลักของ Forbes ลดลงไปกว่า 80% จนในปี ค.ศ. 1939 นิตยสาร Forbes มีจำนวนสมาชิกที่จ่ายเงินเหลือเพียง 102,000 ราย
ในขณะที่ BusinessWeek มีจำนวนสมาชิก 192,000 ราย
Fortune มีจำนวนสมาชิกมากถึง 248,000 ราย
ซึ่งเรื่องราวก็แย่ลงไปอีก เพราะไม่นานคุณ Hearst ก็ได้ยกเลิกการจ้างงานของคุณ Forbes อีก
เมื่อธุรกิจกำลังจะไปไม่รอด คุณ Forbes จึงต้องมองผู้ที่จะเข้ามาพลิกธุรกิจอีกครั้ง
ซึ่งผู้ที่เข้ามาช่วยเขาในตอนนั้น ก็คือคุณ “Malcolm Forbes” ลูกชายของเขานั่นเอง
1
แล้วคุณ Malcolm Forbes เข้ามาช่วยอะไร ?
1
ก็ต้องบอกว่าแม้คุณ Forbes จะเป็นทั้งนักเขียน และนักข่าวฝีมือดี
1
แต่สำหรับการดำเนินธุรกิจที่เป็นองค์กรขนาดใหญ่แล้ว เขาจำเป็นต้องมีความสามารถด้านอื่นด้วย เช่น การบริหาร, การจัดการต้นทุน และการจัดสรรเงินทุน
1
ซึ่งคุณ Malcolm มีคุณสมบัติในการบริหารจัดการเรื่องดังกล่าวได้ดีกว่า
โดยสิ่งที่คุณ Malcolm เข้ามาช่วยเปลี่ยนแปลงในเวลานั้น มีตั้งแต่
- จ้างพนักงานเขียนเป็นของตัวเองมากขึ้น เพื่อควบคุมคุณภาพของบทความจากเมื่อก่อนที่จ้างบุคคลภายนอก ซึ่งทำการคุมคุณภาพของงานได้ค่อนข้างยาก
1
- ยังคงเน้นเนื้อหาที่มีการเล่าเรื่องของบริษัทที่ประสบความสำเร็จเช่นเดิม แต่หันมาโฟกัสเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่กำลังร้อนแรงในเวลานั้น
1
- เพิ่มบริการ “The Forbes Investor” ที่ให้ข้อมูลหุ้นและวิเคราะห์ตลาดรายสัปดาห์
1
เพียงไม่นานหลังจากการปรับโครงสร้างครั้งนี้ บริษัทเริ่มมียอดขายนิตยสารมากขึ้น
แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ตัวผู้ก่อตั้งอย่างคุณ Bertie Charles Forbes ไม่ทันได้เห็นความสำเร็จของธุรกิจของเขาในมือลูกชาย เพราะเขาได้จากโลกนี้ไปอย่างสงบ ในปี ค.ศ. 1954
หลังจากนั้นไม่นาน อีกหนึ่งจุดเปลี่ยนสำคัญของนิตยสาร Forbes ก็เกิดขึ้น
เมื่อบริษัทได้ตัดสินใจจ้างนักวิจัย เพื่อตรวจสอบความถูกต้องและความแม่นยำของข้อมูลในบทความ
1
ซึ่งเรื่องนี้ ก็ได้สร้างความน่าเชื่อถือให้แบรนด์ Forbes สามารถดึงดูดกลุ่มนักลงทุนและผู้บริหาร
จนในช่วงปี ค.ศ. 1957 มีผู้สมัครสมาชิกเพิ่มเป็น 265,000 ราย
1
หลังจากนั้น 10 ปี ยอดผู้สมัครสมาชิกของ Forbes สามารถกลับมาแซงคู่แข่ง
อย่าง Fortune ได้อีกครั้ง เราลองมาดูตัวเลขจำนวนสมาชิกในปีนั้นกัน
- BusinessWeek มีจำนวนสมาชิก 530,000 ราย
- Forbes มีจำนวนสมาชิก 500,000 ราย
- Fortune มีจำนวนสมาชิก 475,000 ราย
หลังจากนั้น Forbes ก็ได้เปิดบริการใหม่ที่ชื่อ “Forbes Richest 400” หรือการจัดอันดับบุคคลที่รวยที่สุด 400 อันดับแรกของประเทศสหรัฐอเมริกา
1
ภายหลังก็ได้เพิ่มการลิสต์รายการจัดอันดับอื่น ๆ เพิ่มเติม
จนปัจจุบันมีการจัดอันดับมากมาย ยกตัวอย่างเช่น
- Forbes World’s Billionaires List จัดอันดับคนที่รวยที่สุดในโลก
- America’s Richest Self-Made Women จัดอันดับผู้หญิงชาวอเมริกันที่ร่ำรวยด้วยตัวเอง
- The Richest People In Cryptocurrency อันดับคนที่รวยที่สุดในวงการคริปโทเคอร์เรนซี
1
นอกจากนี้ยังมีการจัดอันดับคนที่รวยที่สุดในทวีป และประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก
แน่นอนว่ารวมถึงประเทศไทยด้วย โดยตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในไทย อ้างอิงล่าสุดจากลิสต์ของ Forbes คือ พี่น้องตระกูลเจียรวนนท์ ซึ่งมีทรัพย์สินรวมกันคิดเป็นมูลค่ากว่า 970,000 ล้านบาท
จนตอนนี้ลิสต์การจัดอันดับมหาเศรษฐี
ได้กลายเป็นเครื่องหมายการค้าของ Forbes ไปเรียบร้อยแล้ว
ที่ไม่ว่า Forbes จะบอกว่ามหาเศรษฐีหน้าใหม่ ปีนี้คือใคร
เศรษฐีมีทรัพย์สินเท่าไร อยู่อันดับที่เท่าไร พูดอะไร ใครก็เชื่อ
ทีนี้ มาถึงคำถามที่หลายคนคงอยากรู้กันว่า Forbes มีวิธีการจัดอันดับอย่างไร ?
หาคำตอบมาได้ว่าในแต่ละลิสต์การจัดอันดับของ Forbes จะมีเกณฑ์การจัดอันดับที่แตกต่างกันเล็กน้อย แต่เกณฑ์หลัก ๆ ยังคงมีความเหมือนกันอยู่
ยกตัวอย่างเช่น Forbes 400 หรือการจัดอันดับเศรษฐีที่รวยที่สุด 400 อันดับแรกของสหรัฐอเมริกา
1
จะเริ่มจากการลิสต์รายชื่อมหาเศรษฐีในสหรัฐอเมริกากว่า 700 คน ที่คาดว่าจะมีโอกาสติดใน 400 อันดับ จากนั้นจะทำการหาข้อมูลของทรัพย์สินต่าง ๆ ที่เศรษฐีเหล่านั้นครอบครองอยู่
ไม่ว่าจะเป็น หุ้นของทั้งบริษัทที่เป็นบริษัทมหาชนและเอกชน, อสังหาริมทรัพย์, เครื่องบิน, เรือส่วนตัว ไปจนถึงเครื่องประดับ
โดยจะทำการรวบรวมข้อมูล จากแหล่งที่มีความน่าเชื่อถือ เช่น ข้อมูลจาก ก.ล.ต. หรือแม้แต่ รายงานจากศาล
นอกจากนี้ยังมีการหาข้อมูลเพิ่มเติมจากการสอบถามเศรษฐีเหล่านั้นโดยตรง
รวมไปถึงการสัมภาษณ์จากพนักงานของบริษัท, คู่แข่ง และทนายความ
ในส่วนของความมั่งคั่งที่เกิดจากสมาชิกในครอบครัวนั้น ทาง Forbes จะไม่ทำการรวมทรัพย์สินทั้งหมด แต่จะนับรวมแค่ทรัพย์สินของสมาชิกในครอบครัวที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจเท่านั้น
ซึ่งในกรณีนี้ Forbes ก็จะระบุคำต่อท้ายว่า “and Family” หรือ “และครอบครัว” ให้เราได้เห็นกันอย่างชัดเจน
ทั้งหมดนี้ ก็เป็นเรื่องราวมหากาพย์ทั้งหมดของ Forbes
ธุรกิจที่เกิดขึ้นจากสามัญชนคนธรรมดา
ธุรกิจที่ตัวผู้ก่อตั้งกระหายความท้าทาย
ธุรกิจที่ล้มได้ แต่ก็พร้อมที่จะลุกข้ามยุค ข้ามสมัย
จนวันนี้ ได้กลายมาเป็นหนึ่งในแบรนด์ที่คนทั่วโลกเชื่อถือ และดำเนินธุรกิจมายาวนาน มากถึง 104 ปี
1
และเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา Binance เจ้าของแพลตฟอร์มคริปโทเคอร์เรนซีใหญ่สุดในโลก ได้ประกาศเข้าลงทุนใน Forbes 6,500 ล้านบาท โดยเหตุผลในการลงทุน คงหนีไม่พ้นแบรนด์ ความน่าเชื่อถือ และผู้อ่านที่มีตั้งแต่นักลงทุนทั่วไป นักลงทุนสถาบัน ยันมหาเศรษฐี
กว่า 100 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่า Forbes ได้เล่าเรื่องราวธุรกิจต่าง ๆ มาแล้วมากมาย
ก็เป็นเรื่องน่าติดตามกันต่อไปว่า เส้นทางต่อจากนี้ของ Forbes
ภายใต้ Binance จะเล่าเรื่องราวการเดินทางครั้งใหม่ของตัวพวกเขาเอง อย่างไร..
โฆษณา