28 ก.พ. 2022 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
กรณีศึกษา Baillie Gifford จากสำนักงานกฎหมาย สู่บริษัทจัดการลงทุนชื่อดัง
คนที่เคยลงทุนในกองทุนรวม หลายคนน่าจะเคยได้ยินชื่อของ “Baillie Gifford”
เพราะบริษัทนี้ เป็นบริษัทจัดการด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงมากที่สุดแห่งหนึ่งในโลก
แต่รู้ไหมว่า จุดเริ่มต้นของ Baillie Gifford
ไม่ได้มาจากการจัดการด้านการลงทุนตั้งแต่แรก
แล้ว Baillie Gifford ทำอะไรมาก่อน ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
Baillie Gifford ก่อตั้งขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1908 หรือเมื่อ 114 ปีที่แล้ว ที่เมืองเอดินบะระ ประเทศสกอตแลนด์ โดยคุณ Augustus Baillie และคุณ Carlyle Gifford โดยมีรูปแบบเป็นห้างหุ้นส่วน (Partnership) ซึ่งชื่อของห้างหุ้นส่วนนั้น ก็มาจากนามสกุลของทั้ง 2 คนนี้ นั่นเอง
แม้วันนี้ Baillie Gifford จะเป็นบริษัทจัดการด้านการลงทุนที่มีชื่อเสียงระดับโลก
แต่รู้ไหมว่า จริง ๆ แล้วในช่วงแรกที่มีการก่อตั้ง Baillie Gifford นั้น ห้างหุ้นส่วนนี้ เริ่มต้นจากการเป็นสำนักงานกฎหมาย
แต่ด้วยความที่ตลาดการเงินและการลงทุนมีการเติบโตในปลายทศวรรษ 1900s
ก็ทำให้ผู้ก่อตั้งทั้ง 2 คน ตัดสินใจปรับธุรกิจจากการทำสำนักงานกฎหมาย มาเป็นบริษัทจัดการด้านการเงิน
โดยห้างหุ้นส่วน Baillie Gifford เริ่มเข้ามาเกี่ยวข้องกับธุรกิจด้านการเงิน
ด้วยการเป็นบริษัทรับจำนอง ปล่อยเงินกู้ให้แก่เกษตรกร
จนต่อมาก็มาทำธุรกิจจัดการธุรกิจ และจัดการลงทุนอย่างจริงจังในช่วงต้นทศวรรษ 1930s
และด้วยชื่อเสียงที่ค่อย ๆ สั่งสมมา จำนวนเงินที่ลูกค้านำมาให้บริหารจัดการก็ค่อย ๆ เพิ่มขึ้น จนวันนี้ Baillie Gifford ก็กลายมาเป็นบริษัทจัดการกองทุนระดับโลก
ปัจจุบัน Baillie Gifford มีหุ้นส่วนเป็นพาร์ตเนอร์ทั้งหมด 47 ราย
มีผู้จัดการกองทุนมืออาชีพ 319 คน ที่ทำหน้าที่จัดการการลงทุนให้แก่ลูกค้า และทีมงานอีกกว่า 1,500 คน และมีสาขาอยู่ในหลายทวีป เช่น อเมริกาเหนือ เอเชีย ออสเตรเลีย
 
โดย Baillie Gifford นั้นเป็นบริษัทจัดการลงทุนที่เน้นการลงทุนระยะยาว ไม่ใช่นักเก็งกำไร และไม่ได้มองการลงทุนในระยะสั้น ๆ
เพราะเมื่อบริษัททำการศึกษาและพิจารณาที่จะเข้าไปลงทุนในบริษัทใดบริษัทหนึ่งนั้น โดยปกติแล้วจะลงทุนไม่ต่ำกว่า 5 ปีขึ้นไป บางบริษัทอาจเป็น 10 ปี
1
ซึ่งแนวทางในการเลือกบริษัทที่จะลงทุนนั้น Baillie Gifford จะใช้วิธีวิเคราะห์จากล่างขึ้นบน หรือที่เรียกว่า Bottom-Up Approach
ซึ่ง Bottom-Up Approach หมายถึง การให้ความสำคัญกับการวิเคราะห์ “ข้อมูลรายบริษัท” ก่อนภาพเศรษฐกิจใหญ่
เช่น ข้อมูลจากงบการเงิน สินค้าและบริการของบริษัท เพื่อเสาะหาหุ้นที่มีลักษณะเด่นน่าสนใจ หลังจากนั้นจึงค่อยทำการวิเคราะห์ภาพใหญ่ในระดับอุตสาหกรรม และเศรษฐกิจของประเทศ
โดยก่อนที่จะลงทุนนั้น ทางทีมของ Baillie Gifford จะตั้งคำถามต่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่า การลงทุนของพวกเขานั้นจะประสบความสำเร็จ
1
ยกตัวอย่างคำถาม เช่น
- มีโอกาสที่รายได้ของบริษัทจะโตเท่าตัวในอีก 5 ปี ข้างหน้าไหม ?
- ภาพรวมของอุตสาหกรรมในอีก 10 ปี หรือนานกว่านั้นจะเป็นอย่างไร ?
- ข้อได้เปรียบในการแข่งขันของบริษัทนี้คืออะไร ?
- ทำไมลูกค้าถึงชอบสินค้าและบริการของบริษัทนี้ ?
- มูลค่ากิจการเป็นอย่างไร จะมากกว่านี้ไหม เป็น 5 เท่าหรือไม่ ? ถ้าใช่ ทำไมตลาดหรือนักลงทุนยังมองไม่เห็นจุดนี้ ?
- ผู้บริหารจะนำเงินทุนของบริษัทไปใช้ให้เกิดประโยชน์อย่างไร ?
- ความแข็งแกร่งทางการเงิน จะเพิ่มขึ้นหรือลดลงในอนาคต ?
ซึ่งคำถามนี้เป็นตัวอย่างของกรอบการลงทุนให้แก่ Baillie Gifford ก่อนที่จะเข้าไปลงทุนไม่ว่าในหุ้นของบริษัทใด ๆ ก็ตาม
โดยสัดส่วนเงินลงทุนของ Baillie Gifford ถ้าแยกตามภูมิภาคจะประกอบไปด้วย
- อเมริกาเหนือ 41%
- สหราชอาณาจักร 36%
- เอเชีย 12%
- อื่น ๆ 11%
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
ณ สิ้นปี 2021 หุ้น 5 ตัวแรกที่ Baillie Gifford มีสัดส่วนการลงทุนมากที่สุด คือ
1. Moderna มูลค่าเงินลงทุน 396,000 ล้านบาท
2. Tesla มูลค่าเงินลงทุน 363,000 ล้านบาท
3. Illumina มูลค่าเงินลงทุน 257,400 ล้านบาท
4. Shopify มูลค่าเงินลงทุน 247,500 ล้านบาท
5. Amazon.com มูลค่าเงินลงทุน 231,000 ล้านบาท
โดย ณ สิ้นไตรมาสที่ 3 ปี 2021 มูลค่าสินทรัพย์สุทธิภายใต้การจัดการ (AUM) ของ Baillie Gifford เท่ากับ 15.4 ล้านล้านบาท ซึ่งมูลค่านี้ ใกล้เคียงกับมูลค่า GDP ของประเทศไทยทั้งประเทศ เลยทีเดียว..
โฆษณา