26 ก.พ. 2022 เวลา 13:53 • ดนตรี เพลง
[รีวิวอัลบั้ม] Resurrection - Zweed N’Roll
ได้เวลาฟื้น
[รีวิวอัลบั้ม] Resurrection - Zweed N’Roll
-ยังคงรีวิวอัลบั้มไทยกันอย่างต่อเนื่อง คราวนี้เป็นวงอัลเทอเนทีฟที่ผมติดตามการเติบโตมาเรื่อยๆ อาจจะไม่ลึกในยุคก่อนมีชื่อเสียงสุดๆจากเพลง #ช่วงเวลา ถ้า Day 1 จริงๆก็คงเป็นเพลง #ธันวาคม มีหลายคนน่าจะเป็นเหมือนผมคือเริ่มต้นรู้จักเพลง #ช่วงเวลา แล้วฟัง #ธันวาคม ต่อจนนึกว่าปล่อยในเวลาไล่เลี่ยกันรึเปล่า ที่ไหนได้เพลงนี้มีมาตั้งนานนมก่อนที่จะมีเพลงเปลี่ยนชีวิต #ช่วงเวลา ของเขาเสียอีก เป็นวงที่มีเพลงจำพวก sleeper hit ของแท้ ฟังรอบแรกไม่เก็ต จะเก็ตก็ตอนเมื่อเวลาผ่านไป กว่าจะเริ่มมีชื่อเสียงในหมู่คนฟังได้ เหมือนการเดินทางของวงที่ใช้เวลาตั้ง 8 ปีกว่าจนเริ่มได้รับการยอมรับ กระแสตอบรับที่มีต่อซิงเกิ้ลอื่นๆที่ตามมา ไม่ว่าจะเป็น Always, Diary และ #อยู่ ก็สามารถซื้อใจผู้ฟังได้พอสมควร โดยไม่ยึดติดความเป็น one hit wonder อีกต่อไป
-สิ่งที่ชี้ชัดถึงการที่สะสมแฟนเพลงมาเรื่อยๆ จนสามารถเปิดคอนเสิร์ตใหญ่ The First Concert เป็นของตัวเองได้ในเดือนกุมภาพันธ์ 2020 นั่นก็คือสไตล์ดนตรีที่มีลายเซ็นความหม่นชัดเจนที่สุดวงนึง ชนิดที่ได้กลิ่นอายของเพลงไหนเมื่อไหร่สามารถชี้ได้เลยว่าเป็นของวงนี้ คาแรคเตอร์ความลึกลับของพวกเขาก็เป็นส่วนนึงในการทำให้เพลงมีซุ้มเสียงที่ personal ในระดับนึง ถ้าใครได้ดูคลิปสัมภาษณ์ย้อนหลังในช่วง #FUNGINTERVIEWSEASON1 จะรู้เลยว่าพวกเขาไม่พูดเยอะ เน้นเล่น เน้นผลงานแบบเอาให้ชัด ให้แน่ใจจริงๆ เค้าว่ากันว่าผลงานเพลงของศิลปินคนไหนมักจะสะท้อนคาแรคเตอร์ส่วนตัวของศิลปิน ประโยคนี้ดูท่าจะจริง
จากซ้ายไปขวา ทัน ธรรม์ ดำรงรัตน์ (กลอง), ปูน ณัฐพัชร์ สมิตนุกูลกิจ (กีตาร์), พัด สุทธิภัทร สุทธิวาณิช (ร้องนำ), มิน ณัฐกร ศิลวัฒน์ (กีตาร์), นิว นิติ นิติยารมย์ (เบส)
-ในที่สุดเราได้ฟังอัลบั้มชุดที่สองของพวกเขาเสียที ทิ้งช่วงอัลบั้ม I’m 20 ตั้งแต่ปี 2018 เกือบ 3 ปีกว่าๆ ยาวนานเพราะสถานการณ์ไม่เป็นใจด้วย แต่ยังดีที่ไม่ยืดเวลาปล่อยไปมากกว่านี้ นี่คงเป็นฤกษ์งามยามดีสำหรับการปลอบประโลมในสถานการณ์ที่ไม่ค่อยแน่นอนซักเท่าไหร่ กลับมาคราวนี้ด้วยชื่ออัลบั้มความหมายในเชิงบวกที่ชื่อว่า Resurrection (ถ้าหากใครจำไม่ได้ ให้นึกถึงชื่อ The Matrix ภาคล่าสุด) มู้ดของเพลงยังคงลายเซ็นความหม่นของพวกเขาไม่จางหาย แต่ก็ไม่ได้หม่นถึงขั้น depressed ส่วนใหญ่ไปทางล่องลอยเสียมากกว่าราวกับว่าความรู้สึกนั้นด้านชาในบางที แต่เพลงของเพวกเขาไม่กดเราให้จมดิ่งกับความรู้สึกนั้นนานเกินไป เพิ่มเติมคือการพาไปสู่ความคลี่คลายในปลายอุโมงค์ สมชื่อที่จูงให้เราฟื้นขึ้นมาพร้อมความหวังใหม่
-เปิดอัลบั้มด้วย #ไม่มีอะไรเหมือนเดิม (Nothing Lasts Forever) เริ่มต้นด้วยการพยายามจะหลุดพ้นจากลูปเดิมๆ เป็น intro track บอกเป้าประสงค์ของการเริ่มต้นบทใหม่ของพวกเขา จังหวะดุ่มๆ โดดเด่นด้วยลูกเล่นการสแคลชแผ่นที่ไม่ค่อยได้เห็นในเพลงของพวกเขา และเป็นเสน่ห์ความต่างที่เริ่มต้นด้วยความไม่เก่าซ้ำเดิมของพวกเขาเช่นกัน
#เพียง (Nightmare) อคลูสติคมิดเท็มโปในโทน morning vibe ประหนึ่งคนที่เพิ่งผ่านฝันร้ายไปใหม่ ตื่นมาก็รู้สึกกล้ำกลืนฝืนทนกับฝันดีที่อยากมีดันไม่เป็นจริงให้กลบเกลื่อนฝันร้ายไปได้เลย อีกหนึ่งเพลง album ที่น่าจะคลิ๊กใจคนฟังได้ไม่ยาก first impression สำหรับใครหลายคน จังหวะเดียวกับ Always เพียงแต่ปรุงรสขมให้กับเช้าวันใหม่ได้ขมหน่อยก็เท่านั้น แต่โคตรเท่ห์เลยล่ะ เป็นการตอกย้ำคำว่า “เพียง” ที่ทำให้รู้สึกว่าเราก็แค่ทางผ่านเท่านั้นจริงๆ
-เดินเครื่องด้วยซิงเกิ้ลซาวนด์ร็อคเข้มๆสะท้าน เปิด era ใหม่ของพวกเขาที่ได้ยินกันมาเมื่อสองสามปีก่อน #อยู่ (You) ต่อเนื่องจากฝันร้ายที่ดันเป็นจริงเอาตอนที่เขาคนนั้นคิดอยากจะตีจากเราจริงๆ เต็มเปี่ยมอารมณ์การร้องขอที่รู้ทั้งรู้ว่ายังไงเขาต้องไป เป็นการ begging ที่โคตรกรีดกรายมากๆ โดยเฉพาะท่อนแยกท่อนสุดท้ายของเพลงนี้เป็นอะไรที่พีคมาก ตอกย้ำความสะท้านอีกขั้น
-สามเพลงต่อจากนี้จะเข้าสู่โหมดเซื่องซึมแบบไต่ระดับ #โลกใบเก่า (Tired) หนึ่งในเพลงที่ติด Top 65 Thai Songs of 2021 ในเพจเราด้วย ชอบในวลีที่ไม่ดราม่าเกินไป สัมผัสได้ถึงความเรียลในแง่ของคนเลยจุดเก็บเอาอดีตมาคิดจนมันด้านชาต่อความรู้สึกเหล่านั้นแล้วจริงๆ มีความเข้าถึงได้ง่ายกว่าเพลงต่อไป #อยากมีความหมาย เป็นเพลงที่โคตรนึกถึงเจ้าแม่เพลงอกหัก แอม เสาวลักษณ์ เวอร์ชั่นเด็กอัลเทอร์มากๆ การเดินเนื้อเพลงที่ปกติ เข้าถึงคนหมู่มากได้ง่ายสุดตามที่เขาเคยให้สัมภาษณ์จริงๆ
จากนี้ ฉันมีแค่ลมหายใจ
หากเธอจะเอาก็เอามันไป
แต่อย่ามาทำเห็นใจเพื่อตัวเธอเอง
โลกใบเก่า
-เปลี่ยนผ่านจากความด้านชา มาเป็นความล่องลอยเคว้งคว้างในเพลง #อยากมีความหมาย (Empty) สารภาพว่าผมฟังวนหลายรอบเพื่อที่จะเก็ตกับเพลงอย่างจริงจัง บรรยากาศของเพลงชวนเหม่อลอยเต็มที่ ไม่มีท่อนฮุกตายตัวแบบเพลงก่อน แต่ก็คุ้มและไม่เสียเวลาที่จะฟังวนหลายรอบเพื่อซึมซับบรรยากาศเนี่ยแหละ ไม่น่าเชื่อว่าตอนที่ผมเคยได้ยินในคอนเสิร์ตแรกของพวกเขา คนทั้งฮอลล์ร้องตามเพลงนี้ไก้ไม่ยากเย็น พอมาเป็นเวอร์ชั่นจริง extent อะไรเยอะพอสมควร อย่างว่ามันได้อารมณ์โหยหา บรรยากาศพาเคลิ้มไปใหญ่
-ต่อเนื่องจากความโหยหา มาเป็นการพบทางสว่างของคนฉุดเราขึ้นจากหลุมดำจริงๆในไตเติ้ลแทร็ค #ฟื้น (Resurrection) เป็นเพลงสายลึกเข้าไปอีก ปกติแล้วไตเติ้ลแทร็คมักจะฉาพภาพอัลบั้มด้วยมุมกว้างๆเป็นการบ่งบอกภาพรวม แต่กลับไม่ใช่เลย มันคือแก่นที่อยู่ส่วนลึกที่สุดในอัลบั้มที่เป็นโมเมนต์โลกหยุดหมุนทั้งเงียบสงัด ดำสนิท แต่โคตรโชคดีเพลงดันเปิดทางให้มีแสงรำไร คอรัสโหยหวน ร้องแบบช้าๆเนิ่บๆราวกับคนสะลึมสะลือ อยากให้เวลาแห่งความเงียบและส่วนตัวที่สุดผ่านไปอย่างช้าๆ อยู่กับคนที่มามอบแสงสว่างให้นานที่สุดเท่าที่นานได้
-ฟื้นจากการที่จะเริ่มมีเธออยู่ได้แล้ว แต่ก็อดคิดไม่ได้ว่า เธอเป็นแค่แสงชั่วคราวที่แว๊บไปแว๊บมาในช่วงที่ฟ้ามืดหรือไม่หรือไม่ดั่งเพลงต่อไป Lightning In The Sky เพลงภาษาอังกฤษเพลงแรกในอัลบั้มที่ยังคงฟีลพรรณนาโหยหาอย่างต่อเนื่อง สำเนียงกีตาร์สึดเอื้อยอิ่งทำออกมาได้รื่นหูมีมิติในแบบที่ได้ซีนในท่อนแยกไปเต็มๆ
Without you how can I survive
You’re the Lightning In The Sky
When it gets rough, you shine
The darkness has passed me by
Lightning In The Sky
-โหมดเพลงช้าจบไป กระตุ้นด้วยเพลงเร็วประหนึ่งเริ่มต้นวันใหม่ แต่ข้างในยังติดอยู่ความเซ็งไม่จางหายโดยง่าย #ทุกวัน (Tookwan) คือเพลงที่เล่นความย้อนแย้งที่ว่านี้ น้ำเสียงของคุณพัดที่จมสวนทางกับทิศทางดนตรีโดยสิ้นเชิง กิจวัตรประจำวันเดิมๆ สภาพแวดล้อมปนมลพิษ ความแออัดของจราจรไม่สามารถเติมเต็มความว่างเปล่านี้ได้เลย ได้แต่ใช้ชีวิตไปวันๆก็เท่านั้น ต่อให้เพลงย้อนแย้งในตัวมัน ภาคดนตรีร็อคที่เข้มข้นบวกกับความกระมิดกระเมี้ยนของไวโอลินก็ทำให้พอปลุกเร้าขึ้นมาอย่างแปลกประหลาดจริงเชียว
-เล่นกับความย้อนแย้งไปแล้ว มาถึงแทร็คที่เนื้อหาและดนตรีไปในทางเดียวกันอย่าง #เรา (Us) มันคือเพลงที่ให้อารมณ์หวานและเซอร์วิสแฟนเพลงไปพร้อมๆกันเลย เป็นการพยายามเสริมกำลังใจให้กันและกันที่หอมหวาน ไม่มีความเซ็งเจือปน ไม่ต้องมาเอ๊ะว่ามีซัมติงในแมสเซจมั้ย ฟังกันได้อย่างเบิกบาน ไม่มีอะไรมาก สิ่งที่ชัดเจนอยู่แล้วคืออยากจะขอบคุณที่อยู่ด้วยกัน ไม่เคยสนใจใครอื่นเป็นแน่นแท้
-สลับอารมณ์จากโรแมนติกมาเป็นความไม่ชอบมาพากลในเพลง #อย่าไป (Still) เพลงโปรเจคต์พิเศษที่ร่วมงาน Suntur อาร์ทติสท์ผู้รังสรรค์ศิลปะมินิมอลจนเป็นเอกลักษณ์ เพลงเลยมินิมอลตาม แต่แอบซ่อนไลน์เบสที่เท่ห์มากๆ เป็นการตัดสินใจที่เข้าทีในการเพิ่มเพลงนี้เป็นส่วนนึงในอัลบั้ม ใน Outro ของเพลงนี้เราจะได้ยินเสียงวิทยุบางๆ ประโยคนึงที่ชัดที่สุดคือ ต่อไปนี้เป็นข่าวต่างประเทศ เป็นการสร้างจุด transition ไปยังแทร็คภาษาอังกฤษสองแทร็คสุดท้ายด้วย
-เริ่มจาก Stars ชื่อเพลงสื่อถึงความเปล่งประกายแต่ดูทรงแล้วไม่ใช่ คอรัสฮึ่มๆขึงขัง แอบมีความหลอนในความเปลี่ยวเหงาที่ต่อให้อยู่ท่ามกลางคนมากมาย กู่ร้องตะโกนออกไปก็ไม่มีใครให้ความสนใจ หนึ่งเพลงโหมดนามธรรมพอๆกับ Another Dimension ที่ท้าทายให้คนฟังลองไปตีความกันเอง บ้างก็ตีความไปทางความเปลี่ยวเหงาเรียกร้องทางสังคม บ้างก็ตีความไปทางโลกโซเชี่ยลมีเดียเลยก็มี
-ปิดท้ายด้วยแทร็คเดือดปลุกไฟในใจตัวเอง Fighter เป็นการสรุปเรื่องราวที่ว่าด้วยการพยายามฟื้นคืนที่เดือด ภาคดนตรีเข้มข้นใส่ยับ และสมเกียรติ เริ่มต้นด้วยการพยายามหลุดจากลูปเดิมๆในเพลง #ไม่มีอะไรเหมือนเดิม มาสู่การมูฟออนไปข้างหน้า มันไม่ใช่แค่เรื่องของความรักที่ผิดหวังอย่างเดียว มันเป็นเรื่องของการดิ้นรนในสังคมที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำ เรื่อง insane ต่างๆนาๆ บางทีการที่เรายากลำบากไม่ใช่ความผิดของเราซะทีเดียว มันอาจจะเป็นบททดสอบความแข็งแกร่งในจิตใจของเรา หนึ่งเพลงภาษาอังกฤษที่สาสน์ไม่ซับซ้อนมากมาย เพราะเป้าประสงค์มันชัดอยู่แล้วว่าเราพยายามสู้เพื่อชีวิตที่ดีกว่าเท่านั้นเอง
Should I give up or should I get up again
Maybe today will be my day
Open the door I’m hoping for
All of my friends no longer insane
Fighter
-ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมพวกเขาสามารถสร้างฐานแฟนเพลงจำพวก Royalty ขึ้นมาได้ ส่วนนึงน่าจะมาจากการที่พวกเขามีเป้าประสงค์การเป็นวงดนตรีมืออาชีพได้อย่างหนักแน่น มั่นคง ไม่ละทิ้งโดยง่าย การตามเส้นทางดนตรีของพวกเขาแล้วมา connect กับผลงานยิ่งทำให้เราอิน ได้เห็นพัฒนาการทางความคิดที่ซ่อนอยู่ในผลงาน มันมีอะไรมากกว่าการเรียนรู้เรื่องความรัก มันเป็นการที่วงและสาวกต่างค่อยๆเรียนรู้ไปพร้อมๆกัน
-ถ้าเปรียบเปรยชีวิตของวงเป็นชีวิตใครคนนึง ผลงานชุดแรก I’m 20 เต็มไปด้วยอารมณ์ของความสับสนปนเป รักมากเจ็บมาก ยังไม่มูฟออนโดยง่าย มันเลยมีความดิบหน่อยๆ พอมาเป็น Resurrection ก็คงเป็นการเรียนรู้ที่จะมูฟออน ไม่คิดที่จะจมอยู่กับที่เดิม มองไปข้างหน้าอย่างเข้าใจด้วยวลีที่เราต่างคุ้นเคยว่า “ชีวิตก็เป็นแบบนี้” ต้องเผชิญความสุข ทุกข์ เศร้าเป็นธรรมดา แต่ก็ไม่หยุดพัฒนาตัวเอง
-จากศิลปินอินดี้ที่ไม่ยึดติดกับค่าย เริ่มต้นจากศูนย์เลยด้วยซ้ำ สู่การไปอยู่ภายใต้ชายคา Warner Music Thailand ที่อัพเกรดให้วงก้าวสู่ความเป็นเมนสตรีมได้ทุกเมื่อ ในขณะเดียวกันทางค่ายก็ไม่ได้ปิดกั้นตัวตนเก่าๆของพวกเขาซะทีเดียว การพีอาร์ต่างๆนาๆก็ช่วยฉายแสงโดยตัววงก็ไม่ลำบากในการโปรโมทตัวเองมากนัก และที่ไม่พูดถึงไม่ได้คือคนที่มาคุมงานชุดนี้อย่าง Shane Edward ที่มาปรับให้เข้าที่เข้าทางจริงๆ สังเกตได้เลยว่าอัลบั้มนี้มีการเล่าเรื่องที่ต่อเนื่องพอสมควร และให้พื้นที่คนอื่นๆนอกเหนือจากคุณพัด บางเพลงเนื้อเพลงน้อย เล่นกับบรรยากาศไปเลย แน่นอนว่าอาจจะขัดกับเนเจอร์คนไทยที่ฟังเพลงเน้นเนื้อหาอยู่บ้าง แต่ก็เพลิดเพลินที่จะซึมซับไปกับเพลงเหล่านั้นจริงๆ ได้เห็นวงมาถึงจุดนี้ มาสู่ใน spotlight ที่สว่างไปพร้อมๆกับศักยภาพของวงที่ถูกมองเห็นอย่างที่ควรจะเป็น
เพราะการฟื้นคือการเติบโต
Give 7.5/10
Thx 4 Readin’
See Y’all
โฆษณา