28 ก.พ. 2022 เวลา 08:55 • กีฬา
บทสรุปหงส์แดงคว้าแชมป์คาราบาวคัพ ทำไมถ้วยนี้ถึงสำคัญนัก ทั้งๆที่เป็นถ้วยใบเล็กที่สุดของอังกฤษ เราจะไปไล่เรียงเรื่องราวด้วยกันตั้งแต่แรก
เจอร์เก้น คล็อปป์ กล่าวว่าต่อให้ทีมดีแค่ไหนหากได้แชมป์น้อยเกินไป ก็จะไม่อยู่ในความทรงจำของผู้คน ดังนั้นเขาตั้งใจจริงๆ ที่จะคว้าแชมป์คาราบาวคัพให้ได้ เพื่อสร้างเกียรติประวัติเพิ่มให้ทีมชุดนี้ก่อนที่แต่ละคนจะแยกย้ายกันไป
4
และในที่สุด ถ้วยใบที่ 5 ในยุคสมัยของคล็อปป์ก็มาถึง แม้จะเป็นถ้วยใบเล็กที่สุดในอังกฤษ แต่มันก็มีความหมายอย่างยิ่ง และนี่คือบทสรุป 25 ข้อ ของหงส์แดงกับชัยชนะอันสุดระทึกที่เวมบลีย์
1) ตั้งแต่คล็อปป์เข้ามาคุมลิเวอร์พูลในปี 2015 ปัจจุบันผ่านมาแล้ว 7 ปี เขาสร้างทีมให้ดีขึ้นจากเดิม อันนี้ไม่มีข้อสงสัย แต่ประเด็นคือจำนวนแชมป์ที่คล็อปป์ทำได้ มีแค่ 4 รายการ คือ
- ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก (2018-19)
- พรีเมียร์ลีก (2019-20)
- ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ (2019)
- ฟีฟ่า คลับเวิลด์ (2019)
1
ถ้าตัดรายการที่แข่งสั้นๆ 1-2 นัดจบ ก็พอจะบอกได้ว่า ลิเวอร์พูลได้แชมป์จริงๆ แค่ 2 รายการเท่านั้นเอง ซึ่งว่ากันตรงๆ นักเตะระดับ ซาลาห์-มาเน่-ฟาน ไดค์-เฮนเดอร์สัน พวกเขาเหล่านี้ ควรจบอาชีพด้วยตำแหน่งแชมป์ที่มากกว่านี้ มีเกียรติประวัติที่เยอะกว่านี้
นักเตะแกนหลักของหงส์แดงชุดนี้อายุเยอะแล้ว จะ 30 กันหมดแล้ว แปลว่าอีกไม่นาน 1-2 ปี ก็ต้องแยกย้ายกันไป ในมุมของคล็อปป์จึงจำเป็นมาก ที่จะต้องสร้างโทรฟี่ให้เยอะที่สุด เพื่อสร้าง Legacy เอาไว้ติดตัวนักเตะเหล่านี้ไปนานๆ แม้วันที่เลิกเล่นแล้ว
2
2) เส้นทางของหงส์แดงในถ้วยคาราบาวคัพ เริ่มจากรอบ 3 เจอนอริช ก่อนเอาชนะอย่างเด็ดขาด 3-0 โดยทาคุมิ มินามิโนะ ยิง 2 ลูก เขาพิสูจน์ตัวเองว่าในเกมที่ไม่กดดันเกินไป สามารถเล่นได้ดี และจบสกอร์ได้เฉียบขาด พอจะฝากความหวังได้
ส่วนหนึ่งก็ต้องบอกว่าลิเวอร์พูลมีดวงในการจับสลากด้วย ในรอบ 3 เจอนอริชที่ตอนนั้นเป็นบ๊วยในลีก ซึ่งก็ดูจะไปเน้นในลีกมากกว่า บอลถ้วยก็เลยส่งสำรองลง หงส์เลยจัดการไม่ยาก
3) มารอบ 4 เจอเปรสตัน นอร์ธเอนด์ ที่ ณ เวลานั้นอยู่อันดับ 19 ของแชมเปี้ยนชิพ ซึ่งก็ดิ้นรนหนีตายเหมือนกัน โค้ชก็เลยกั๊กๆ จัดตัวมาแบบไม่เต็ม ซึ่งพวก โอริกี้, มินามิโนะ, ซิมิกาส และ ไทเลอร์ มอร์ตัน ก็ยังดีพอที่จะเอาชนะได้ 2-0
4) เข้าสู่รอบ 8 ทีมสุดท้าย คราวนี้มาเจอเลสเตอร์ ซิตี้ ที่แอนฟิลด์ ก่อนเกมมีข่าวออกมาว่า เลสเตอร์ มีตัวติดโควิด 11 คน ใครๆ ก็คิดว่านัดนี้คงส่งผู้เล่นสำรองมาเพียบแน่ๆ แต่พอลงสนามจริงๆ วาร์ดี้, แมดดิสัน, ตีเลอม็องส์, ชไมเคิล ลงเล่นพร้อมเพรียง
ตรงข้ามกับลิเวอร์พูลที่ดูจะอ่านเกมพลาด ไปส่งบิลลี่ คูเมติโอ, คอนเนอร์ แบรดลีย์ และ เนโก้ วิลเลียมส์ ลงสนาม คือคล็อปป์คงเข้าใจว่า ถ้าเจอสำรองเลสเตอร์ เด็กๆ ก็น่าจะเอาอยู่ ซึ่งด้วยคุณภาพที่ต่างกันเกินไป จบครึ่งแรกเลสเตอร์นำ 3-1
1
คล็อปป์แก้เกมทันที ในช่วงพักครึ่ง เช่นส่งโกนาเต้มาแทนคูเมติโอ ส่งโชต้าลงมาเล่นร่วมกับฟีร์มีโน่ และ มินามิโนะ ผลก็คือทีมไล่ยิงมาได้ 3-2 แต่เลสเตอร์ก็ยังยันไว้ได้ดี จนถึงนาที 90+5 โอกาสสุดท้ายของหงส์แดงแล้วจริงๆ บอลลอยไปถึงมินามิโนะ ถ้าเขายิงไม่เข้าก็จบ เลสเตอร์เข้ารอบ นี่เป็นโมเมนต์สำคัญที่สุดของเขาเลยก็ว่าได้
และมินามิโนะซัดเข้ามุมไป ลิเวอร์พูลตีเสมอเป็น 3-3 ดังนั้นไม่ใช่เรื่องโอเวอร์ ถ้าจะบอกว่า ไม่มีมินามิโนะ ณ ตอนนั้น หงส์แดงก็คงไม่มาถึงแชมป์ในวันนี้ และเมื่อตีเสมอได้ในช่วงทดเจ็บ ลิเวอร์พูลชนะจุดโทษเลสเตอร์ได้แบบสุดระทึก โดยโชต้าเป็นคนยิงปิดกล่อง แล้วไปทำท่าสะใจหน้าแฟนบอลเลสเตอร์
5) ลิเวอร์พูลเข้ารอบรองชนะเลิศ มาเจออาร์เซน่อล ปัญหาคือโปรแกรมลงแข่งในช่วงเดือนมกราคม ที่ซาลาห์-มาเน่-เกอิต้า ไปเล่นแอฟริกันเนชั่นส์คัพหมดแล้ว คล็อปป์จึงใช้ตัวผู้เล่นที่มี ซึ่งแน่นอน พอมาถึงรอบนี้แล้ว ไม่มีการใช้ดาวรุ่งอีกต่อไป คล็อปป์ขนตัวจริงลงแบบจัดเต็ม
2
เลกแรก ชาก้าโดนใบแดงตั้งแต่ครึ่งแรก แต่ลิเวอร์พูลที่เหลือตัวมากกว่านานถึง 1 ชั่วโมงกลับปิดเกมไม่ลง เสมอ 0-0 จนโดนเสียงวิจารณ์หนาหู คล็อปป์ต้องออกมาบอกว่า "การเสมอ 0-0 ในเลกแรก มันห่างไกลกับคำว่าพ่ายแพ้มากเลยนะ" และสุดท้ายในเลก 2 เขาก็พิสูจน์ให้เห็นจริงๆ ด้วยการบุกไปชนะถึงเอมิเรตส์ 2-0
6) ในที่สุดลิเวอร์พูลก็ได้เข้ามาชิงชนะเลิศที่เวมบลีย์ กับคู่ปรับสำคัญนั่นคือเชลซี
คล็อปป์นั้นไม่มีดวงกับสนามเวมบลีย์นัก 2 ครั้งที่เขาพาทีมลงเล่นที่นี่ แพ้ทั้ง 2 คราว หนแรกคือยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก นัดชิงชนะเลิศปี 2013 ดอร์ทมุนด์ แพ้บาเยิร์น มิวนิค 2-1 และนั่นคือจุดเริ่มต้นของขาลงของดอร์ทมุนด์ด้วย ส่วนอีกครั้งเกิดขึ้นในลีกคัพ ปี 2016 ลิเวอร์พูลชิงกับแมนฯ ซิตี้ แต่แพ้ช่วงจุดโทษไป
ดังนั้นคล็อปป์เองจึงต้องการอย่างมาก ที่จะล้างคำสาปนี้ลงให้ได้ ซึ่งในสำนวนภาษาอังกฤษ ก็มีคำว่า Third Time Lucky อยู่ คือพลาดมาแล้ว 2 ครั้ง ลองครั้งที่ 3 มักจะโชคดีสิน่า
7) ในขณะที่เชลซี ก็มีประสบการณ์ที่ไม่ดีเอาซะเลยในเวมบลีย์ 3 ครั้งหลังสุด ที่เข้าชิงที่สนามแห่งนี้แพ้รวด 100% (ลีกคัพ 2019, เอฟเอคัพ 2020, เอฟเอคัพ 2021) ในขณะที่เวลาไปชิงสนามอื่นๆ เชลซีจะทำได้ดีตลอด แต่พอเป็นเวมบลีย์ ทุกอย่างจะยากลำบากขึ้นทันที
8 ) Passion ก่อนเกมของลิเวอร์พูล นอกเหนือจากชัยชนะที่คล็อปป์รอคอยแล้ว ลิเวอร์พูลเองก็โหยหาแชมป์บอลถ้วยในประเทศอย่างมากจริงๆ
2
ครั้งสุดท้ายที่ได้แชมป์ลีกคัพ คือปี 2012 ส่วนเอฟเอคัพ คือปี 2006 ซึ่งเป็นยุคสมัยของสตีเว่น เจอร์ราร์ดทั้งคู่ ว่ากันตรงๆ มันก็เป็นระยะเวลาที่ยาวนานมาก The Champions Wall ผนังที่ระบุจำนวนแชมป์ของลิเวอร์พูลที่แอนฟิลด์ หยุดสถิติตัวเลขเดิมๆ มาเป็นทศวรรษแล้ว
9) ก่อนเกมนี้จะเริ่ม ทีมที่ได้แชมป์ลีกคัพมากที่สุดมี 2 ทีมคือลิเวอร์พูลกับแมนฯ ซิตี้ เสมอกันที่จำนวน 8 ครั้ง ดังนั้นถ้าหงส์แดงชนะเชลซีได้ ก็จะได้โทรฟี่เป็นครั้งที่ 9 ขึ้นนำเดี่ยวๆ ซึ่งเป็นสถิติที่มีคุณค่าทางใจเหมือนกัน
3
ในฟุตบอลอังกฤษนั้น สถิติแชมป์สูงสุดของถ้วยต่างๆ มีดังนี้
2
ลีกสูงสุด - แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (20 สมัย)
เอฟเอคัพ - อาร์เซน่อล (14 สมัย)
ลีกคัพ - ลิเวอร์พูล/ แมนฯ ซิตี้ (8 สมัย)
ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก - ลิเวอร์พูล (6 สมัย)
ถ้าหากลิเวอร์พูลได้แชมป์ลีกคัพครั้งนี้ จะทำให้พวกเขา ยึดอันดับ 1 สอง Categories คือ ลีกคัพ, แชมเปี้ยนส์ลีก จากนั้นก็ค่อยไล่ล่าลีกสูงสุดที่ตามหลังแมนฯ ยูไนเต็ดเหลืออีกแค่ 1 สมัยเท่านั้น
ว่าง่ายๆ คือหนทางในการเป็นทีมที่ดีที่สุดในอังกฤษทุกรายการ เริ่มต้นจากถ้วยใบนี้นี่แหละ
1
10) ในแง่ไลน์อัพ Talking point ที่สำคัญที่สุดของลิเวอร์พูลคือ การเลือกใช้ควีวิน เคลเลเฮอร์ ลงแทนอลิสซอน เบ็คเกอร์ คือถ้าคุณจะจัดชุดฟูลทีม ก็ควรใช้อลิสซอนลงไปเลย แต่คล็อปป์ได้อธิบายว่า เคลเลเฮอร์ คือนายทวารดาวรุ่งที่ฝีมือดีที่สุด ฝีมือแบบนี้ไปอยู่ทีมไหนก็ได้ลงตัวจริง
1
ดังนั้นการจะเก็บคนที่มีพรสวรรค์แบบนี้เอาไว้ เป็นแบ็กอัพ ก็จำเป็นต้องซื้อใจ ด้วยการให้ลงเล่นในเกมสำคัญบ้าง ถ้าคนเก่งไม่ได้แสดงความสามารถ เขาย้ายไปปล่อยของที่สโมสรอื่นไม่ดีกว่าหรือ
คล็อปป์ทำงานในวงการนี้มา 20 ปีแล้ว เขารู้ดีถึงวิธีบริหารจัดการ แน่นอนชัยชนะสำคัญที่สุด แต่ถ้าชนะด้วยได้สปิริตทีมด้วยสองเด้ง มันก็น่าจะเป็นอะไรที่ดีกว่า
11) ก่อนเกมถามว่าใครได้เปรียบ ก็คงตอบได้ว่าเป็นลิเวอร์พูลเพราะฟอร์มดีกว่า แถมเชลซีมีปัญหานอกสนามเยอะอีก เหตุการณ์โรมัน อบราโมวิชก็ยังโดนสื่ออังกฤษตามแซะไม่จบ แต่ถ้าดูจากสถิติ head to head ของคล็อปป์กับทูเคิลในพรีเมียร์ลีก จะเห็นได้เลยว่าทูเคิลไม่เคยกลัวคล็อปป์ 3 ครั้งที่เจอกัน เชลซีชนะ 1 เสมอ 2 สถิติถือว่าดีกว่า
5
12) เมื่อเกมออกสตาร์ต สิ่งที่หลายคนไม่อยากเชื่อคือ นี่เป็นการแลกหมัดกันที่เข้มข้นที่สุดเท่าที่จะจินตนาการออก สองทีมไม่มีใครเล่นเกมรับ บุก บุก บุก โดยสองนายทวาร เคลเลเฮอร์ กับ เอดูอาร์ เมนดี้ เป็นฮีโร่ ในครึ่งแรกเคลเลเฮอร์ปัดลูกยิงของพูลิซิช แต่เมนดี้ ก็ตอบโต้ด้วยการปัดลูกยิงจ่อๆ ของมาเน่ ครึ่งแรกจบ 0-0 แบบไม่น่าเชื่อจริงๆ
4
13) เข้าสู่ครึ่งหลัง มีดราม่าสำคัญเรื่องประตูขึ้นนำของลิเวอร์พูล อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ เปิดฟรีคิก ให้มาเน่วิ่งฉีกหนีรีซ เจมส์ โหม่งชงให้มาติปโหม่งเข้าประตูไป แต่ VAR ทำการริบสกอร์
1
เหตุผลคือ ฟาน ไดค์ ที่ยืนในตำแหน่งล้ำหน้าไปขวางทางรีซ เจมส์จนวิ่งไปประกบมาเน่ไม่ทัน นั่นทำให้กรรมการจะนับฟาน ไดค์ ว่ามีส่วนกับการเล่นทันที และลูกนี้จึงยึดคืนข้อหาล้ำหน้า คล็อปป์โมโหถึงขั้นขว้างหมวกลงกับพื้น
2
ลูกนี้ มันอยู่ที่ดุลยพินิจของกรรมการนั่นแหละ ว่าจะมองฟาน ไดค์ขวางการเล่นหรือเปล่า ซึ่งสจ๊วร์ต อัตเวลล์ มองว่าขวาง ก็เลยเป็นล้ำหน้าไป
14) เกมครึ่งหลังจบที่ 0-0 เข้าสู่ช่วงต่อเวลาพิเศษ ก็มีอีกหนึ่งดราม่าคือประตูของโรเมลู ลูกากู ที่ยิงเข้าไปแล้ว น่าจะได้ประตูแบบใสสะอาด แต่ไลน์แมนยกธงล้ำหน้า และพอดู VAR ก็ระบุว่า "ไลน์" ที่ลูกากูยืนอยู่มันล้ำกองหลังตัวสุดท้ายไปจริงๆ
1
เรื่องนี้มีการดีเบทที่น่าสนใจครับ คือถ้าผมดูด้วยตาเปล่าอย่างเดียวเนี่ยะ ก็รู้สึกได้นะว่าไม่ล้ำ คือไม่รู้ว่าโดนมุมกล้องหลอกตาหรือเปล่า ซึ่งแฟนเชลซีที่อังกฤษหลายคนก็โวย มีทวีตหนึ่งเขียนว่า "ถ้าลูกนี้โดนจับล้ำหน้า ฉันก็ไม่รู้แล้วว่ากฎฟุตบอลของโลกนี้คืออะไร"
คือตามหลักแล้ว เราก็ควรต้องเชื่อเส้นล้ำหน้านั่นแหละว่าใช้เทคโนโลยีมาคำนวณแล้ว คงต้องตีตรงแน่ๆ แต่ฝั่งแฟนเชลซีบอกว่า เฮ้ย ถ้าเส้นมันตีไม่ตรงล่ะ ถ้ามันลากสะเปะสะปะแล้วอ้างว่าล้ำหน้ามั่วๆ แบบนี้ก็มีสิทธิ์เกิดขึ้นได้ใช่ไหม แฟนๆ ทั้ง 2 ทีมก็ถกเถียงกันไปครับ
15) ถ้านับโอกาสจะแจ้งของทั้งคู่ ก็มีพอกัน ดิอาซ, ซาลาห์, ฟาน ไดค์, โรเบิร์ตสัน ได้ซัดเน้นๆ ในเขตโทษแต่โดนเมนดี้เซฟหมด ส่วนเชลซีได้เมสัน เมาท์ โอกาสจ่อๆ 2 หน ยิงพลาดทั้งคู่ เช่นเดียวกับลูกากูช่วงทดเจ็บก็ไปติดเซฟเคลเลเฮอร์ ทำให้เกมต้องเข้าสู่การดวลจุดโทษ
16) สิ่งที่เราเห็นได้ คือทูเคิลตั้งใจแต่แรกแล้ว ว่าจะเปลี่ยนผู้รักษาประตู มาใช้เกป้าแทนในช่วงจุดโทษ ซึ่งนี่ไม่ใช่กลยุทธ์ใหม่ ครั้งหนึ่งหลุยส์ ฟาน กัล ก็เคยเปลี่ยนทิม ครูล ลงมาเซฟจุดโทษอย่างเดียว ในฟุตบอลโลก 2014 รอบ 8 ทีมสุดท้าย (และทีมชนะ)
2
และทูเคิลเองก็ใช้แท็กติกนี้มาแล้วครั้งหนึ่ง ในรายการซูเปอร์คัพ ที่เชลซีชนะบียาร์เรอัล เขาก็ส่งเกป้า ลงมาแทนเมนดี้ นาที 119 และเกป้าก็เซฟ 2 จุดโทษพาทีมคว้าแชมป์ในถ้วยนั้น ดังนั้นก็ต้องบอกว่า เป็นหมากที่ไม่ได้วู่วามอะไร มันผ่านการคำนวณมาแล้วแหละ
1
17) เพียงแต่จุดที่แฟนบอลตั้งคำถามนิดหน่อยคือ เมนดี้ในสนามวันนี้เล่นดีมากๆ หลายสำนักให้คะแนน 9/10 หรือ 10/10 ไม่มีข้อผิดพลาดอะไรเลย และอย่าลืมว่าในแอฟริกันเนชั่นส์คัพ เมนดี้ก็เพิ่งเซฟจุดโทษนัดชิง พาเซเนกัลชนะอียิปต์คว้าแชมป์ทวีปมาสดๆ ร้อนๆ ดังนั้นเรื่องจุดโทษเอาจริงๆ คงไม่ได้เป็นรองเกป้าอะไรขนาดนั้น แต่ทูเคิลตัดสินใจแล้ว จึงส่งเกป้าลงไป เพื่อดวลกับลิเวอร์พูล
1
18) ลิเวอร์พูลมีดวง 2 อย่างในการเสี่ยงเหรียญ ในยุคนี้การเสี่ยงเหรียญจุดโทษจะโยน 2 ครั้ง ครั้งแรกคือเสี่ยงทายว่าจะยิงฝั่งไหน และครั้งที่ 2 คือให้คนทายถูกได้เลือกว่าจะยิงก่อนหรือยิงหลัง
การโยนเหรียญครั้งแรก กรรมการชี้ไปว่ายิงฝั่งแฟนลิเวอร์พูล และโยนครั้งที่ 2 ลิเวอร์พูลทายถูกอีก มิลเนอร์จึงขอเลือกยิงก่อน สื่อดัง Time เคยรวมสถิติว่า ทีมที่เลือกยิงก่อน มีโอกาสเป็นฝ่ายชนะถึง 60% เพราะตามหลักแล้ว การยิงจุดโทษเข้า มีโอกาสมากกว่าไม่เข้า และทันทีที่ยิงเข้า ก็จะเป็นการกดดันฝ่ายที่ต้องตามหลังทันที
19) การดวลจุดโทษยื้อไปเรื่อยๆ ถึง 11 ลูก โค้ชสะสม พบประเสริฐ อธิบายว่าด้วยกฎใหม่ที่ผู้รักษาประตูต้องเหยียบเส้นตลอดเวลา มันส่งเสริมให้การยิงเข้าทำได้ง่ายขึ้นเข้าไปอีก เหตุการณ์ยิงเข้าทุกคน ก็เลยเกิดขึ้นได้บ่อยขึ้น อย่างในเกมแมนฯ ยูไนเต็ด กับบียาร์เรอัล ในยูโรป้าลีกนัดชิงก็ยิงครบทุกคนเหมือนกัน
20) สุดท้ายต้องมาตัดสินกันที่ตำแหน่งผู้รักษาประตู โชคดีของหงส์แดงที่เคลเลเฮอร์ ในสมัยเป็นเยาวชนเล่นตำแหน่งกองหน้ามาก่อน ดังนั้นเรื่องการวางเท้าใดๆ เขาพอมีสกิลอยู่ และสามารถซัดเข้าประตูไป เป็นการกดดันเกป้าได้ก่อน
1
เกป้านั้น มีความเครียดแน่นอน เพราะโค้ชส่งเขาลงมาเพื่อเซฟลูกโทษ แต่ 10 ลูกผ่านไป ยังเซฟไม่ได้สักลูก แถมยังต้องมาเป็นคนยิงเพื่อต่อชีวิตของทีมอีก ซึ่งด้วยแรงกดดันทุกๆ อย่างรวมกัน เกป้ายิงข้ามคาน และเกมก็จบตรงนี้ ลิเวอร์พูลได้แชมป์คาราบาวคัพ ปลดล็อก 10 ปี อันยาวนานลงได้
1
21) นี่เป็นเกมที่คลาสสิคมากจริงๆ ในแง่ของความสนุก เป็น 0-0 ที่คุณภาพสูงสุดเท่าที่คุณจะนึกถึงได้ คล็อปป์บอกว่าถ้าจบที่สกอร์ 5-5 ก็ไม่แปลกใจเลย และจริงๆ เชลซีก็สามารถเป็นผู้ชนะได้ แต่วันนี้ทุกอย่างเป็นใจให้ลิเวอร์พูลแค่นั้นเอง
22) สำหรับลิเวอร์พูล ถ้วยนี้ มีความสำคัญกว่าแค่โทรฟี่ใบหนึ่ง เหตุผลแรกคือทำให้ทีมได้แชมป์ลีกคัพ 9 สมัย เพิ่มตัวเลขสวยๆให้ The Champions Wall
23) เหตุผลที่สองคือเป็นถ้วยที่ทุกคนในสโมสร รู้สึกมีส่วนร่วมอย่างแท้จริง กล่าวคือ ถ้าเป็นพรีเมียร์ลีกหรือแชมเปี้ยนส์ลีก คนที่ลงเล่นก็จะมีแต่แกนหลักของทีม แต่ในคาราบาวคัพ คล็อปป์ใช้นักเตะมากมายหลายคน ตั้งแต่เยาวชน มาจนนักเตะกลุ่มสำรอง และปิดท้ายด้วยชุดตัวจริง คือกว่าจะฝ่ามาได้ 5 รอบ ทุกคนในทีมต้องร่วมแรงร่วมใจกันจริงๆ และทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี เมื่อได้รับมอบหมาย
ลิเวอร์พูลใช้นักเตะทั้งหมด 33 คน ใน 5 รอบของคาราบาวคัพ ประกอบไปด้วย
GK : เคลเลเฮอร์, อาเดรียน, อลิสซอน
CB : โกเมซ, โกนาเต้, ฟาน ไดค์, มาติป, คูเมติโอ, แนท ฟิลลิปส์
FB : ซิมิกาส, โรเบิร์ตสัน, แบรดลีย์, เนโก้ วิลเลียมส์, อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์, โอเว่น เบ็ค
CM : เฮนเดอร์สัน, ฟาบินโญ่, อ็อกซ์เลด-แชมเบอร์เลน, เกอิต้า, โจนส์, เอลเลียตต์, มอร์ตัน, ดิกซัน-บอนเนอร์, มิลเนอร์
FW : มินามิโนะ, โอริกี้, กอร์ดอน, แบลร์, ฟีร์มีโน่, โชต้า, ซาลาห์, มาเน่, ดิอาซ
ไม่เคยมีทีมไหน ใช้นักเตะจำนวนมากขนาดนี้ ในการคว้าแชมป์คาราบาวคัพ แต่มันเกิดขึ้นในยุคคล็อปป์ ถ้วยนี้จึงมีความหมายในแง่ของสปิริตทีมเป็นอย่างยิ่ง คนละเล็กคนละน้อย ช่วยกันก่ออิฐทีละก้อนจนสร้างบ้านได้สำเร็จ
เป๊ป ลินเดอร์ส ผู้ช่วยผู้จัดการทีมหงส์แดงบอกว่า "นักเตะดาวรุ่งของเรา แม้เขาจะไม่มีชื่อใน squad แต่เขาจะมาดูเกมที่เวมบลีย์ด้วย เพราะนี่คือแนวทางที่เราเชื่อมั่น"
24) และเหตุผลที่ 3 ที่ถ้วยนี้มีความสำคัญคือ เป็นจุดเริ่มต้นของความฝัน "4 แชมป์" ทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลอังกฤษ โดย "3 แชมป์" เคยมีมาแล้ว แต่ 4 แชมป์ยังไม่เคย ซึ่งการไม่พลาดพลั้งในรายการแรก ก็เป็นแรงกระตุ้นที่ทำให้ทีมมั่นใจได้ว่า ยังสามารถไปต่อได้อีก
1
25) ดังนั้นบทสรุปของคาราบาวคัพของลิเวอร์พูล โอเค เราไม่ปฏิเสธหรอกว่า รายการนี้เป็นโทรฟี่ที่เล็กที่สุด แต่การคว้าชัยชนะได้ มันก็มีความหมายอยู่
ในภาษาอังกฤษ มีประโยคว่า Small victories can lead to big win แปลว่าชัยชนะเล็กๆ น้อยๆ มันจะนำมาสู่ชัยชนะที่ยิ่งใหญ่ได้
1
เพราะชัยชนะในสิ่งเล็กๆ มันจะค่อยๆ สั่งสมความมั่นใจว่าตัวเองทำได้ มันจะช่วยเสริมสร้างกระดูก เสริมสร้างประสบการณ์ จนรู้ตัวอีกที เราก็มีความพร้อมที่จะประสบความสำเร็จในอะไรที่ยิ่งใหญ่ได้แล้ว
ดังนั้นแม้จะเป็นถ้วยใบเล็กที่สุดของอังกฤษ แต่ก็ไม่มีเหตุผลอะไร ที่จะไม่ภูมิใจกับโทรฟี่ใบนี้
#CARABAOCUPWINNER
โฆษณา