2 มี.ค. 2022 เวลา 12:51 • ไลฟ์สไตล์
■ ขาดลูก...เหมือนขาดลมหายใจ
เคยได้ยินโบราณเค้าบอกว่า
“ พ่อแม่...เลี้ยงลูกสิบคนได้! แต่ทำไม?
ลูกคนเดียว...เลี้ยงพ่อแม่ไม่ได้ ”
1
• สภาพสังคมไทยเราสมัยก่อน
ไม่ว่าจะเป็นครอบครัวไหนๆ
หรือต่อให้ยากดีมีจนอย่างไร
จะมีลูกเต้าเป็นโขยงแค่ไหนก็ตาม
พ่อแม่...ก็จะเลี้ยงลูกทุกคนได้เสมอ
ไม่เคยคิดว่าเป็นภาระแต่อย่างใด
แม้ว่าตัวเองไม่มีกินหรือจะต้องอดมื้อกินมื้อ
แต่ลูกต้องได้กินอิ่มก่อน ไม่ยอมให้ลูกอด
ถึงแม้เหนื่อยยากแสนสาหัสเพียงใด
พ่อแม่ก็ขอกัดฟันสู้ พยายามอย่างสุดชีวิต
เพื่อส่งเสียให้ลูกได้เล่าเรียน
ให้เค้าเติบโตไปจะได้มีความรู้ติดตัว
และไม่ลำบากกระทั่งพึ่งพาตนเองได้
หวังเพียงแค่ว่า ถ้าตัวเองแก่ตัวลงไป
จะมีลูกๆคอยอยู่เคียงข้างได้พูดคุย
กับแกบ้างยามเหงา และคอยดูแล
เอาใจใส่ยามไม่สบายบ้างเท่านั้น
...แต่ความจริงอาจโหดร้ายกว่าที่ฝัน...
1
• ท่ามกลางสายฝนที่ยังคงโปรยปราย
ยามก่อนรุ่งสางในเช้าของวันหนึ่ง
ท้องฟ้าที่ยังคงถูกความมืดมิดเข้าปกคลุม
พ่อผมซึ่งกำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่หน้าบ้าน
ได้ยินเสียงร้องโอดโอยดังขึ้นว่า โอย!โอย!
เดาว่าคงจะเป็นเสียงของอาซิ่มคนหนึ่ง
ที่กำลังค่อยๆออกแรงก้าวเดินวนไปวนมา
ผ่านหน้าบ้านของผมไปอย่างเชื่องช้า
จนพ่อผมสงสัยจึงส่งเสียงเรียกคนในบ้าน
เพื่อให้ผมช่วยไปดูอาซิ่มคนนั้นที
ว่าใช่อาซิ่มคนที่อยู่บ้านถัดจากเราไป
อีกซอยหนึ่งหรือเปล่า?
ผมกับแม่รีบวิ่งออกมาดูอย่างร้อนรน
แล้วก็พบกับหญิงชราอายุราว 80 กว่าๆ
อาซิ่มเดินไปเดินมาและร้องโอ้ย!โอ้ย!
ร่างกายแกดูซูบผอม เหงื่อโทรมทั่วร่าง
กับท่าทางอันอ่อนแรงและอิดโรยเต็มที
คงเพราะเดินมานานจนแกเริ่มเหนื่อยล้า
อาซิ่มน่าจะหลงทางและหาทางกลับบ้านอยู่
พอเห็นหญิงชราคนนั้น แม่ผมก็จำได้ทันที
ว่าแกเป็นอาซิ่มที่อยู่บ้านหัวมุมถัดไปอีกซอย
และที่สำคัญคืออาซิ่มเป็นอัลไซเมอร์
แกจำอะไรไม่ได้เลย แม้กระทั่งทางกลับบ้าน...
1
คำถามที่อื้ออึงอยู่ในใจของผมตอนนั้นคือ
แกออกจากบ้านมาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?
แล้วคนในบ้านปล่อยแกออกมาได้ยังไง?
แล้วลูกๆแกล่ะไปอยู่ที่เสียไหน?
ผมได้แต่เก็บความสงสัยนี้เอาไว้ในใจ
และตั้งใจว่าค่อยมาถามแม่ภายหลัง
พวกเรารีบเข้าไปถามอาซิ่มว่าจะไปไหน?
แกพยายามจะตอบด้วยน้ำเสียงที่แหบแห้ง
แต่ดูอ่อนแรงและเหนื่อยหอบจนตัวโยน
จนเราฟังแทบไม่ได้ยินว่าแกพูดอะไร
แต่สรุปได้ความว่าแกอยากจะกลับบ้าน...
พวกเราบอกว่าจะพาแกกลับไปส่งที่บ้าน
แกได้แต่พยักหน้าตอบ เราจึงช่วยกันประคอง
เพราะเห็นว่าแกคงเดินเหนื่อยมามากแล้ว
เราจึงพาแกค่อยๆออกเดินอย่างช้าๆ
ตามจังหวะที่แกพอจะเดินได้แค่เพียงก้าวสั้นๆ
แต่ก้าวสั้นๆของแกนั้นดูเหนื่อยและตัวสั่นเทิ้ม
เราเห็นแกหอบเป็นระยะๆด้วย ตลอดเวลา
คงเพราะด้วยแรงที่เหลืออยู่น้อยมากๆ
ทำให้ผมและแม่ต้องพยุงแกอย่างระมัดระวังเพราะกลัวว่าจะหกล้มไปเสียก่อน...
พอเดินมาได้สักระยะหนึ่งก่อนถึงบ้านแก
สังเกตุว่ามีผู้ชายอีกคนยืนอยู่ในความมืดสลัว
ยืนรีๆรอๆอยู่ท้ายซอยในระยะห่างออกไป
และกำลังเพ่งมองตรงมายังกลุ่มพวกเรา
ซึ่งกำลังพยุงอาซิ่มเดินมาส่งที่บ้าน
ในใจผมนี่ก็พลอยนึกตำหนิไปแล้ว
ผมคิดว่า...นี่คือลูกชายแกหรือเปล่า?
แล้วทำไมถึงไม่รีบเดินมารับแม่เค้านะ?
แต่ยิ่งพอเราเดินเข้าไปใกล้ๆ
ภาพของผู้ชายคนนั้นก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ
ปรากฏว่าเป็นอาแปะผู้เป็นสามีของอาซิ่ม
แกกำลังรอภรรยาและถือไม้เท้ายืนปักหลักอยู่
อาแปะพูดว่าขอบใจมากนะที่พาอาซิ่มมาส่ง
จากคนที่ผมคิดว่าเป็นลูกชาย
กลับกลายเป็นอาแปะผู้เป็นสามี ผมถึงกับสะดุ้ง
ที่เห็นแกยืนเฝ้าคอยอาซิ่มอยู่ด้วยความเป็นห่วง
รออย่างใจจดใจจ่อแต่แกก็ทำอะไรไม่ได้มากนัก
เพราะอาแปะอายุมากและเดินไม่ไหวเช่นกัน!
ด้วยความห่วงใยที่มีต่อภรรยาที่ออกจากบ้านไป
แกได้แต่ยืนมองหา เผื่อว่าจะมีใครเดินผ่านมา
จะได้ขอความช่วยเหลือให้ช่วยตามอาซิ่มให้ที
พอผมกับแม่ไปถึง ผมเลยถามอาแปะว่า...
ในบ้านไม่มีใครอยู่เลยหรือ?
แกบอกว่าไม่มีใครอยู่หรอก
เค้าออกไปอยู่ข้างนอกกันหมดแล้ว
ความหมายนั่นคืออะไร? ผมได้แต่งุนงง
แต่ไม่กล้าซักถามไปในขณะนั้น
เพราะเกรงว่ามันจะไปกระทบจิตใจท่าน
แต่ผมคิดว่าแม่ผมคงรู้ ผมเลยเก็บไว้ในใจก่อน
แล้วค่อยรอสอบถามหาความกับแม่พร้อมกันเลย
ตอนนี้ขอส่งอาซิ่มและอาแปะเข้าบ้านก่อนดีกว่า
อาแปะบอกว่าภรรยาแกรบเร้าและขอร้องว่า
แกอยากจะออกมาเดินข้างนอกหลายวันแล้ว
วันนี้อาแปะเลยตามใจพาอาซิ่มออกมาเดิน
แต่อาซิ่มแกก็ออกเดินไปไกลแล้วก็มืดด้วย
พอออกมาแล้วจึงจำทางกลับบ้านไม่ได้
พลัดกับอาแปะซึ่งมองไม่เห็นแล้วว่าอยู่ที่ไหน
ผมก็บอกอาแปะไปว่าไม่เป็นไรนะครับ
ให้ยืนเฉยๆรอผมตรงนี้ก่อน ให้ผมส่งอาซิ่มเสร็จ
จนเข้าไปนั่งในบ้านได้ก่อน เพราะผมเห็นว่าทางเข้าบ้านแกเป็นเนิน ก่อนจะมีบันไดอีก 3 ขั้น
ผมจึงต้องพาอาซิ่มค่อยๆก้าวขึ้นบันไดอย่างช้าๆ
ระหว่างที่เรากำลังเดินพาอาซิ่มขึ้นบ้านอยู่นั้น
เสียงของหล่นดัง!!พลั่ก!!จากทางด้านหลัง
ผมหันไปมองตามเสียงทันที
เห็นอาแปะหกคะล้มขะมำหัวไปกระแทกพื้น
แม่บอกให้ผมรีบไปดูแกก่อน
ส่วนแม่จะพาอาซิ่มขึ้นไปที่หน้าห้องเอง
1
“อาแปะเป็นอะไรหรือเปล่าครับ?”
ผมรีบถามอาการก่อน แกบอกไม่เป็นไร
แต่ถามผมกลับว่าที่หัวมีเลือดออกไหม?”
สงสัยว่าแกคงจะเจ็บหัวตอนล้มกระแทกพื้น
ผมเลยบอกว่า “ไม่มีเลือดออกครับ”
ผมจึงรีบเข้าไปพยุงอุ้มแกจากด้านหน้า
แต่เห็นแกกำลังพยายามใช้ไม้เท้า
ช่วยยันพื้นจากอีกด้านหนึ่งเพื่อจะลุกขึ้น
ผมจึงรีบส่งเสียงห้ามแกไปว่า
“อย่าใช้ไม้เท้าทำอย่างงั้น
เดี๋ยวมันจะลื่น หัวทิ่มหกล้มไปอีก”
แต่แกก็ไม่ฟัง หรืออาจจะไม่ได้ยินก็ไม่รู้
ผมเลยต้องใช้แรงทั้งหมดที่มี
ดันแกไม่ให้ยืนด้วยวิธีนั้น แต่ช่วยยกตัวแก
ประคองให้แกนั่งที่ฟุตบาทสักพักก่อน
เพื่อจะได้ช่วยให้แกลุกยืนได้ง่ายกว่า
ผมกำชับแกด้วยว่า อย่าเพิ่งลุกไปไหนนะ
เดี๋ยวผมช่วยแม่ส่งอาซิ่มเข้าบ้านก่อน
แล้วจะมารับ แกถึงค่อยรับคำอย่างว่าง่าย
ผมจึงรีบผละจากอาแปะไปช่วยแม่
ที่ประคองอาซิ่มให้เข้าไปนั่งในบ้าน
โดยพาไปนั่งที่โซฟาไม้ที่มีที่พนักพิง
แม่ผมจึงช่วยถอดเสื้อตัวนอกให้อาซิ่มออก
เพราะแกใส่เสื้อสองตัวน่าจะร้อนอยู่
แกจะได้หายใจได้สะดวกขึ้น
ส่วนผมก็รีบหาพัดลมมาเปิด
ช่วยให้อากาศถ่ายเทได้ดียิ่งขึ้น
ระหว่างนั้นผมก็พูดเปรยๆกับแม่ว่า...
แกเดินขึ้นลงบ้านกันได้ยังไงนี่?
ขนาดเราช่วยพยุงแก ก็ยังก้าวกันยาก
ขึ้นบันไดสามขั้นกันนี่ก็แทบจะไม่ไหว
มันเป็นแค่คำถามที่เรารู้คำตอบกันอยู่แล้ว...
จากนั้นผมก็รีบไปพยุงอาแปะเข้าบ้าน
แต่ด้วยความดื้อของคนในวัยนี้
ซึ่งผมว่าน่าจะเป็นกันแทบทุกบ้าน
ผมเห็นแกลุกขึ้นเดินมาอยู่ที่หน้าบ้านแล้ว
ผมก็ได้แต่ถามว่าอาแปะลุกมาทำไม?
แกบอกว่าลุกไหวแล้ว ขอบใจมากๆนะ
หลังจากที่ส่งทั้งสองคนเข้าบ้านเรียบร้อยแล้ว
ผมก็ได้ถามแม่ขึ้นว่า ลูกๆแกไม่มีหรือ?
แม่ผมเลยเล่าให้ฟังว่าแกมีลูก 4 คน
แต่ไม่รู้ด้วยสาเหตุใด ลูกๆจึงย้ายบ้าน
ออกไปอยู่ข้างนอกกันหมดทุกคน
ซึ่งโดยปกติจะเห็นลูกชายคนเล็กอยู่ด้วย
แต่ปัจจุบันลูกคนเล็กก็ออกไปอยู่โรงเจแล้ว
และไม่เห็นว่าจะกลับมาที่บ้านอีกเลย
แต่ในช่วงสายๆ ของทุกวันจะมีลูกสาวแก
มาส่งข้าวส่งน้ำให้ และต่อจากนั้น
อาแปะกับอาซิ่มก็อยู่บ้านกันตามลำพัง
1
ผมไม่รู้ต้นสายปลายเหตุที่เกิดขึ้น
กับครอบครัวของผู้สูงอายุสองท่านนี้
แต่เมื่อผมได้ฟังเรื่องราวจากแม่เพิ่มเติม
กับภาพของหญิงชายชราทั้งสองที่ผมพบเจอ
มันทำให้ผมยิ่งรู้สึกสะเทือนใจอย่างบอกไม่ถูก
มันเหมือนเราเห็นท่านทั้งสองถูกลอยแพ
ให้เผชิญกับชะตากรรมกันอยู่ตามลำพัง
โดยลูกเต้าไม่ได้เหลียวแลและไม่มีทางรู้เลยว่า
จะมีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้นกับท่านทั้งสองบ้าง
ขณะที่พวกเค้ากำลังนอนหลับสบายอยู่บนเตียง
...ภาพนี้ทำให้ผมรู้สึกเศร้าใจ
จุกแน่นอยู่ในอกจนพูดไม่ออก...
ที่ทำได้ในขณะนั้นคือได้แต่ภาวนา
ขอให้ท่านทั้งสองอยู่รอดปลอดภัย
ถ้ามีอะไรให้เราช่วยเหลือก็โทรมาหาได้
โดยเฉพาะภาพที่เห็นนั้นมันย้ำเตือนใจผม
ผมให้สัญญากับตัวเองไว้เลยครับว่า
ผมจะไม่มีทางปล่อยให้เหตุการณ์แบบนี้
เกิดขึ้นกับพ่อแม่ของผมอย่างเด็ดขาด
ผมแค่อยากจะบอกว่า...
ขอให้เราได้ทำหน้าที่ของลูกที่ดีให้เต็มที่
เราจะภูมิใจที่ได้ตอบแทนพระคุณของท่าน
ตราบช่วงเวลาที่เราและท่านทั้งสอง
ที่ยังพอมีลมหายใจอยู่บนโลกใบนี้
จงดูแลท่านให้ดีก่อนที่เราจะไปทำดีกับใครอื่น
ทำก่อนที่วาระสุดท้ายของท่านจะมาถึง
จะได้ไม่ต้องมานั่งหน้าเศร้าเพื่อเคาะฝาโลง
จุดธูปเพื่อเรียกให้ท่านได้ทานอาหารที่ท่านชอบ
ด้วยร่างที่แน่นิ่งปราศจากลมหายใจแล้ว
2
😀ถ้าดื่มเล่า แล้วเพลินก็กดไลค์
ถ้าดื่มเล่า แล้วใช่ก็กดแชร์ได้นะครับ😀
นายหน้าเข้ม - Nainharkhem
โฆษณา