7 มี.ค. 2022 เวลา 11:33 • ข่าวรอบโลก
“สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับสงครามในยูเครน”
ความต่าง ผลกระทบ และทุกอย่างที่จะเปลี่ยนไป”
Yuval Noah Harari ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Sapiens: A Brief History of Humankind, Homo Deus: A Brief History of Tomorrow, 21 Lessons for the 21st Century ได้ให้สัมภาษณ์กับ TED เมื่อวันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา เกี่ยวกับมุมมองและแนวคิดที่มีต่อสงครามที่เกิดขึ้นในยูเครนตอนนี้
4
======================
1. สิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับยูเครน (Ukraine) เพื่อเข้าใจสงครามนี้
======================
- ชาวยูเครน (Ukrainians) ไม่ใช่ชาวรัสเซีย (Russians) ยูเครนเป็นประเทศที่มีเอกราชและมีความเก่าแก่มามากกว่าพันปี
- เคียฟ (Kyiv) [เมืองหลวงของยูเครน] เป็นมหานครและศูนย์กลางของวัฒนธรรมตั้งแต่ตอนที่มอสโก (Moscow) ยังไม่เป็นหมู่บ้านด้วยซ้ำ ในช่วงพันกว่าปีนั้นเคียฟไม่ได้ถูกปกครองโดยมอสโกและทั้งคู่ไม่ได้มีการเมืองการปกครองใดๆ ร่วมกัน
1
- ในช่วงศตวรรษนั้นเคียฟออกไปทางด้านตะวันตกและกลายเป็นสหภาพร่วมกับลิทัวเนีย (Lithuania) และโปแลนด์ (Poland) จนกระทั่งมันถูกยึดครองและรวมเข้ากับจักรวรรดิรัสเซีย แต่ถึงจะถูกรวมแล้วชาวยูเครนก็ยังถูกแยกออกจากชาวรัสเซีย
- นี้คือประเด็นหลักสำคัญที่ทำให้เกิดสงครามคือ “ยูเครนเป็นประเทศหรือไม่ได้เป็นประเทศ” สำหรับประธานาธิบดีปูติน (President Putin) เขามีความคิดว่ายูเครนไม่ใช่ประเทศ แต่เป็นส่วนนึงของรัสเซีย ชาวยูเครนก็คือชาวรัสเซีย ในความคิดของเขา ชาวยูเครนคือชาวรัสเซียที่ต้องการจะกลับมาสู่อ้อมอกของรัสเซีย ปูตินมีความเชื่อว่าถ้าเขาทำการบุกยูเครน เซเลนสกี (Zelenskyy) [ประธานาธิบดีของยูเครน] จะทำการหลบหนี รัฐบาลยูเครนจะล่มสลาย กองทัพยูเครนจะวางอาวุธ และชาวยูเครนจะต้อนรับชาวรัสเซียผู้กอบกู้อิสรภาพ
4
- ซึ่งความคิดเพ้อฝันเรื่องนี้ของปูตินได้ถูกทำให้แตกสลายเรียบร้อยแล้วโดยที่เซเลนสกีไม่ได้หลบหนีไปจากประเทศ กองทัพยูเครนลุกขึ้นต่อสู้ และประชาชนชาวยูเครนก็ไม่ได้ให้การตอบรับชาวรัสเซีย
1
======================
2. สิ่งที่รัสเซียเปลี่ยนไปในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา
======================
- ความฝันของการสร้างจักรวรรดิยังมีอยู่เสมอ แต่สิ่งนี้มักจะสร้างจากกลุ่มคนเล็กๆ ที่อยู่สูงสุด ผมไม่คิดว่าชาวรัสเซียจะสนใจทำสงคราม จะต้องการพิชิตยูเครน หรือจะต้องการเข่นฆ่าชาวเคียฟ ทั้งหมดเป็นความคิดมาจากเบื้องบน ถ้ามองกลับไปที่สหภาพโซเวียต (Soviet Union) จะเห็นได้ว่ามันจะเกิดขึ้นจากอุดมการณ์ความคิดของคนส่วนมากหรือบางส่วน แต่สิ่งที่เป็นตอนนี้มันไม่ใช่
2
- รัสเซียเป็นประเทศที่รวยมาก มีทรัพยากรมากมาย แต่คนส่วนใหญ่ในประเทศยากจน คุณภาพการดำรงชีวิตต่ำมากๆ เพราะความร่ำรวยและอำนาจถูกยึดไปที่คนเบื้องบนทั้งหมด และมีน้อยนิดเท่านั้นที่เหลือให้คนทั่วไป ผมเลยไม่คิดว่ามันเป็นความคิดของประชากรส่วนใหญ่ในการบุกยูเครน พวกเขาถูกปกครองจากเบื้องบน และตอนนี้เป็นสถานการณ์คลาสสิกของจักรวรรดิ (Classic Imperial Situation) เมื่อผู้ปกครองประเทศที่ใหญ่ที่สุดในโลกรู้สึกไม่เพียงพอต่อสิ่งที่มีและต้องการเพิ่ม เขาก็จะส่งทหารออกไปขยายอาณาจักร
3
======================
3. ทำไมคุณถึงคิดว่า “ปูตินได้แพ้สงครามเรียบร้อยแล้ว”
======================
- ผมไม่ได้บอกว่ากองทัพของปูตินจะแพ้โดยทันที ปูตินมีกองทัพที่มีอำนาจจะยึดครองเคียฟ และอาจจะยึดครองทั้งยูเครนได้ เป็นสิ่งที่น่าเสียใจ แต่เรามีโอกาสที่อาจจะได้เห็นสิ่งนี้
1
- เป้าหมายในระยะยาวของปูติน เหตุผลทั้งหมดของสงครามครั้งนี้คือการไม่ยอมรับการมีอยู่ของประเทศยูเครนและต้องการรวมยูเครนเข้ากับรัสเซีย การที่จะทำสิ่งนี้แค่พิชิตยูเครนยังไม่เพียงพอ แต่ปูตินยังต้องควบคุมยูเครนให้ได้ด้วย ทั้งหมดตั้งอยู่บนสมมุติฐานของปูตินที่ว่าประชาชนส่วนใหญ่ของชาวยูเครนจะเห็นด้วยและตอบรับกับสิ่งนี้ ซึ่งเราได้เห็นชัดแล้วว่ามันไม่จริง ยูเครนเป็นประเทศอย่างแท้จริง เขาต้องการความเป็นเอกราชและไม่ต้องการเป็นส่วนนึงของรัสเซีย พวกเขาจะสู้หลังชนฝาและในระยะยาวแน่นอนรัสเซียอาจจะยึดครองประเทศได้ แต่เหมือนที่รัสเซียหรืออเมริกาได้เรียนรู้จากอัฟกานิสถาน (​​Afghanistan) หรืออิรัก (Iraq) มันยากกว่ามากที่จะควบคุมประเทศ
3
- ก่อนที่สงครามจะเริ่ม ทุกคนรู้อยู่แล้วว่ากองทัพรัสเซียแข็งแรงกว่ากองทัพยูเครน ทุกคนรู้ว่านาโต้ (NATO - North Atlantic Treaty Organisation) จะไม่ส่งกองกำลังเข้าไปในยูเครน ทุกคนรู้ว่ายุโรปจะลังเลสำหรับการสนับสนุนยูเครน เพราะกลัวว่าตัวเองจะบาดเจ็บซะเอง และนี่คือพื้นฐานแผนสงครามของปูติน
2
- แต่มีสิ่งใหญ่สิ่งนึงที่ไม่มีใครรู้คือ ไม่มีใครสามารถบอกได้อย่างแน่ชัดว่าปฏิกิริยาการตอบโต้ของยูเครนจะเป็นอย่างไร และมันก็เป็นไปได้ว่าสิ่งที่ปูตินคิดอาจจะเป็นจริงคือ เมื่อกองทัพรัสเซียบุกเข้าไป เซเลนสกี [ประธานธิบดียูเครน] จะหลบหนี กองทัพยูเครนจะยอมจำนน และประชากรยูเครนจะไม่ต่อต้าน
1
- แต่ตอนนี้เราได้รู้แล้วว่าสิ่งที่ปูตินคิดมันไม่เกิดขึ้น เราได้รู้แล้วว่าชาวยูเครนลุกขึ้นต่อสู้ และทั้งหมดนี้จะล้มล้างเหตุผลทั้งหมดในการทำสงครามของปูติน เพราะปูตินอาจจะยึดยูเครนได้ แต่ปูตินจะไม่สามารถรวมยูเครนกลับเข้าไปอยู่กับรัสเซียได้อย่างแน่นอน สิ่งเดียวที่ปูตินจะทำสำเร็จก็คือเขาได้หว่านเมล็ดของความเกลียดชังในหัวใจทุกดวงของประชาชนชาวยูเครนในทุกๆ ชาวยูเครนที่ถูกฆ่า ทุกๆ วันที่สงครามนี้ยังดำเนินอยู่ เมล็ดแห่งความเกลียดชังจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสิ่งนี้อาจจะคงอยู่ไปหลายชั่วอายุคน
8
- ชาวยูเครนและชาวรัสเซียไม่ได้เกลียดกันก่อนที่จะมีปูติน พวกเขาเป็นพี่น้องกัน ตอนนี้ปูตินทำให้พวกเขากลายเป็นศัตรูกัน และถ้าปูตินยังไม่หยุด สิ่งนี้จะกลายเป็นสิ่งที่เขาทิ้งไว้บนโลกใบนี้
3
======================
4. ผลกระทบต่อประเทศทั่วโลก ถ้าสงครามนี้ยังดำเนินต่อไป
======================
- ผลกระทบจะกระจายความไม่มั่นคงเป็นวงกว้างไปทั่วทั้งโลก เราอยู่ในยุคที่มีความสงบสุขในหลายทศวรรษที่ผ่านมา ดูง่ายๆ โดยเริ่มจากพื้นฐานคือ “งบประมาณ” (budgets) งบประมาณป้องกันประเทศโดยเฉลี่ยของประเทศในกลุ่มยุโรปอยู่ที่ประมาณ​ 3% และในทั่วโลกอยู่ที่ประมาณ 6% ของงบประมาณทั้งหมดของรัฐบาล ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องที่น่ามหัศจรรย์มาก เพราะถ้ามองย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์ ในยุคของกษัตริย์/จักรพรรดิ์/สุลต่าน งบประมาณประมาณ 50% หรืออาจจะถึง 80% จะถูกใช้ไปในการทำสงคราม
7
- สิ่งที่เราเห็นในไม่กี่วันที่ผ่านมาคือ เยอรมันเพิ่มงบประมาณทางทหาร (militarily) เป็นสองเท่าในวันเดียว และผมก็เห็นด้วยเมื่อดูจากสถานการณ์ที่พวกเขาต้องเผชิญ มันดูมีเหตุผลสำหรับเยอรมัน สำหรับโปแลนด์ สำหรับทุกประเทศทั่วยุโรปที่จะเพิ่มงบขึ้นเป็นสองเท่า และหลังจากนี้คุณก็จะเห็นว่าประเทศอื่นๆ ทั่วโลกก็จะทำสิ่งเดียวกัน เพราะเมื่อมีประเทศที่เพิ่มงบประมาณทหารเป็นสองเท่า ประเทศอื่นๆ ก็จะรู้สึกไม่ปลอดภัย ก็ต้องเพิ่มงบประมาณทหารเป็นสองเท่าเช่นกัน และทุกประเทศก็ต่างจะเพิ่มงบประมาณแข่งกันขึ้นไปเรื่อยๆ ทำให้เงินที่ควรจะนำไปใช้ในการดูแลสุขภาพ (healthcare) ใช้เรื่องการศึกษา (education) ใช้สำหรับการต่อสู้กับสภาวะอากาศแปรปรวน (climate change) จะถูกนำไปใช้กับการต่อสู้ในสงครามแทน
4
ทำให้มีการดูแลสุขภาพสำหรับทุกคนน้อยลง และอาจจะไม่มีวิธีแก้ปัญหาสำหรับสภาวะอากาศแปรปรวนอีกต่อไป เพราะเงินทั้งหมดได้ถูกนำใช้ไปสำหรับการทำสงครามหมดแล้ว เพราะฉะนั้นไม่ว่าคุณอยู่ในประเทศไหน คุณก็จะได้รับผลกระทบจากสงครามทั้งหมดจากการดูแลสุขภาพที่น้อยลง ระบบนิเวศน์ที่ถูกทำลาย และหลายๆ สิ่งอีกมากมาย
- ยิ่งไปกว่านั้นอีกสิ่งหนึ่งที่เป็นคำถามสำคัญคือเรื่องเทคโนโลยี เราอยู่ในยุคของการแข่งขันสร้างเทคโนโลยีทางการทหารใหม่ๆ (new technological arm races) โดย AI (Artificial Intelligence) และเราต้องการข้อตกลงสากลเกี่ยวกับการกำกับดูแล (regulate) AI และป้องกันสถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดที่น่าจะเกิดขึ้น เราจะทำข้อตกลงสากลทั่วโลกเกี่ยวกับ AI ได้อย่างไร ในเมื่อยังมีสงครามอยู่ และด้วยเหตุนี้ความหวังที่จะหยุดยั้งการแข่งขันสร้างเทคโนโลยีทางทหารด้วย AI จะกลายเป็นฝุ่นผงถ้าสงครามยังดำเนินต่อไป
2
- ทุกคนทั่วโลกจะได้รับผลกระทบในหลายๆ ด้าน สิ่งนี้ใหญ่กว่าการขัดแย้งระดับภูมิภาคโดยทั่วไปมากๆ
======================
5. สงครามนี้สร้างโอกาสให้เกิดการรวมตัวกันของทุกฝ่าย
======================
- ถ้าความตั้งใจของปูตินคือการแบ่งแยกพันธมิตรยุโรป ตอนนี้ผลลัพธ์ที่ได้มันออกมาตรงกันข้าม ผมแปลกใจในความรวดเร็ว แข็งแรง และเป็นมติที่เป็นเอกฉันท์ในการตอบสนองของยุโรป คุณเห็นแม้กระทั่งประเทศอย่างฟินแลนด์ (Finland) และสวีเดน (Sweden) ส่งอาวุธไปช่วยยูเครน และปิดน่านฟ้า ซึ่งไม่เคยทำแม้กระทั่งในช่วงสงครามเย็น (cold war) มันน่าอัศจรรย์มากที่ได้เห็น
1
- สิ่งที่สำคัญอีกอย่างนึงคือสิ่งที่แบ่งแยกระหว่างประเทศในชาติตะวันตกในหลายปีที่ผ่านมาคือสิ่งที่ผู้คนเรียกว่า สงครามวัฒนธรรม (culture war) ระหว่างฝ่ายซ้าย (left) และฝ่ายขวา (right) / ระหว่างอนุรักษ์นิยม (convervatives) และเสรีนิยม (liberals) ซึ่งผมคิดว่าสงครามนี้อาจจะเป็นโอกาสในการหยุดสงครามวัฒธรรมในตะวันตก ทำให้เกิดความสงบสุขได้
- อย่างแรกเลยมันทำให้ทุกประเทศได้ตระหนักว่าเราอยู่ในสิ่งนี้ร่วมกัน มีสิ่งที่ใหญ่ๆ อีกมากมายในโลกนี้ที่มากกว่าแค่การถกเถียงกันระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาในประชาธิปไตยตะวันตก (Western Democracies) มันเป็นเครื่องเตือนความจำว่าเราจะต้องรวมกันเป็นหนึ่ง (stand united) เพื่อปกป้องประชาธิปไตยตะวันตก แต่ที่ลึกไปกว่านั้นคือการถกเถียงส่วนมากระหว่างฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวาเหมือนจะอยู่ในแง่ของความแตกต่างระหว่างเสรีนิยม (liberalism) และชาตินิยม (nationalism) เหมือนว่าเราจะต้องเลือก ฝ่ายขวาก็จะเลือกชาตินิยมและฝ่ายซ้ายก็จะเลือกเสรีนิยม ยูเครนจะเป็นสิ่งที่ช่วยเตือนว่าจริงๆ แล้วสองสิ่งนี้ควรไปด้วยกัน โดยทางประวัติศาสตร์แล้วเสรีนิยมและชาตินิยมไม่ใช่ฝั่งตรงข้ามกัน ไม่ใช่ศัตรูกัน
1
สองสิ่งนี้คือเพื่อนกัน ไปด้วยกัน สองสิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เกิดคุณค่าของอิสรภาพ (freedom) เสรีภาพ (liberty) และการได้เห็นประเทศชาติต่อสู้เพื่อการอยู่รอด ต่อสู้เพื่ออิสรภาพ
1
- การรายงานข่าวไม่ว่าจะเป็น Fox News หรือ CNN เนื้อข่าวอาจจะแตกต่างกันเล็กน้อย แต่สุดท้ายแล้วทั้งหมดจะบอกความจริงในสิ่งเดียวกัน ให้ความเห็นที่ตรงกันคือ ชาตินิยมไม่ใช่การเกลียดชนกลุ่มน้อยหรือชาวต่างชาติ แต่มันคือการรักเพื่อนร่วมชาติและมีข้อตกลงทางสันติภาพเกี่ยวกับวิธีการที่เราจะดำเนินประเทศของพวกเราไปด้วยกัน และผมหวังว่าการที่เราได้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นจะช่วยหยุดสงครามทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศชาติตะวันตก และถ้าสิ่งนี้เกิดขึ้นเราจะไม่ต้องกังวลอะไรอีกต่อไปแล้ว เมื่อคุณมองเห็นความสมดุลทางอำนาจที่แท้จริง ถ้าชาวยุโรปทั้งหมดรวมตัวกัน ถ้าชาวยุโรปและอเมริการวมตัวกันหยุดสงครามทางวัฒนธรรมนี้ หยุดทำร้ายกันและกัน พวกเขาจะไม่มีสิ่งใดต้องกลัว ไม่ว่าจะรัสเซียหรือใครในโลกนี้ก็ตาม
5
======================
6. การเกิดของยุคสมัยของสันติภาพ (Era of Peace)
======================
- บางคนคิดว่าการไม่มีสงครามเป็นแค่เรื่องเพ้อฝัน แต่ถ้าดูโดยทางสถิติแล้ว ตั้งแต่ปี 1945 มันยังไม่มีประเทศใดสักประเทศที่ถูกลบหายไปจากแผนที่โดยการถูกรุกรานจากภายนอก ซึ่งเมื่อก่อนมันเคยเป็นเรื่องปกติก่อนปี 1945
1
- นี่คือความสำเร็จที่น่าประหลาดใจมากๆ ซึ่งเป็นพื้นฐานของทุกสิ่งที่เรามีในปัจจุบัน ทั้งระบบการแพทย์ ระบบการศึกษา และตอนนี้ทั้งหมดนี่อยู่ในความเสี่ยง เพราะ “ยุคสมัยของสันติภาพ” (Era of Peace) มันไม่ใช่ผลลัพธ์ของปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ผลลัพธ์ของการเปลี่ยนแปลงในกฏของธรรมชาติ แต่มันคือผลลัพธ์ของการที่มนุษย์ตัดสินใจได้ดีขึ้นและสร้างสถาบันที่ดีขึ้น ซึ่งหมายความว่ามันไม่ได้รับประกันว่าในอนาคต ถ้าเกิดมีมนุษย์บางคนเริ่มที่จะตัดสินใจผิดพลาดและเริ่มทำลายสถาบันต่างๆ ที่ทำให้เกิดความสงบสุขลง ถึงตอนนั้นเราจะกลับไปสู่ยุคสมัยของสงคราม ด้วยงบประมาณทางทหารที่ขึ้นไปถึง 30-40% มันสามารถเกิดขึ้นได้ มันขึ้นอยู่กับพวกเรา
3
- บางคนเข้าใจว่าการพูดเรื่อง “ยุคสมัยของสันติภาพ” เป็นการพูดเพื่อให้เกิดความพึงพอใจ ให้ไม่ต้องเกิดความกังวล แต่จริงๆ สิ่งที่ต้องการจะสื่อจริงๆ คือตรงกันข้าม เราต้องการสื่อสารว่าคุณจะต้องมีความรับผิดชอบ (responsibility) เพราะถ้าคุณคิดว่ายุคสมัยของสันติภาพมันไม่มีจริง ทุกช่วงเวลามักจะมีสงคราม มีความรุนแรงเกิดขึ้นเสมอโดยธรรมชาติ นั้นหมายความว่าคุณคิดว่าไม่มีเหตุผลที่จะยึดติดกับสันติภาพ และผู้นำอย่างปูตินก็ไม่ต้องมีความรับผิดชอบ เพราะคุณไม่สามารถโทษปูตินที่ทำใหัเกิดสงครามได้ มันเป็นแค่กฏของธรรมชาติ (law of nature) ที่จะเกิดสงคราม
3
- แต่เมื่อคุณตระหนักได้ว่ามันไม่จริง มนุษย์สามารถลดระดับความรุนแรงได้ นั้น จะทำให้เรามีความผิดชอบมากขึ้น และทำให้เราเข้าใจว่าสงครามในยูเครนตอนนี้ ไม่ใช่หายนะทางธรรมชาติ (natural diaster) แต่มันเป็นหายนะที่เกิดขึ้นโดยบุคคล (man-made diaster) และเกิดขึ้นโดยคนๆ เดียวเท่านั้น ไม่ใช่คนรัสเซียที่ต้องการสงครามนี้ มันมีแค่คนๆ เดียวเท่านั้น ที่การตัดสินใจของเขาทำให้เกิดโศกนาฏกรรมที่ร้ายแรง
2
======================
7. การคุกคามโดยอาวุธนิวเคลียร์
======================
- จริงๆ แล้วอาวุธนิวเคลียร์ โดยทางหนึ่งแล้วจนกระทั่งปัจจุบัน มันช่วยรักษาสันติภาพของโลกเอาไว้ ผมอยู่ในชุดความเชื่อที่ว่าถ้าไม่มีอาวุธนิวเคลียร์เราคงจะมีสงครามโลกครั้งที่ 3 ไปแล้วระหว่างสหภาพโซเวียต สหรัฐอเมริกา และนาโต้ ระหว่างปี 1950-1960
- อาวุธนิวเคลียร์จริงๆ แล้วจนวันนี้มันช่วยในทางที่ดี เพราะอาวุธนิวเคลียร์ทำให้เราไม่ได้เห็นการปะทะกันโดยตรงของประเทศมหาอำนาจ เพราะมันเห็นได้ชัดว่าสิ่งนั้นจะเป็นการฆ่าตัวตายหมู่ แต่ความอันตรายมันยังคงอยู่เสมอ ถ้ามีการคำนวณที่ผิดพลาด แน่นอนว่าผลลัพธ์ที่ตามมาจะทำให้เกิดความเสียหายอย่างมหาศาล
1
======================
8. การกระทำในอดีดส่งผลต่อปัจจุบัน และการกระทำในวันนี้ก็จะส่งผลต่ออนาคต
======================
- เมล็ดแห่งความเกลียดชัง ความกลัว และความทุกข์ยากที่กำลังถูกปลูกฝังขึ้นในเวลานี้ทั้งในจิตใจและร่างกายของคนนับร้อยล้าน ไม่ใช่แค่ประชาชนชาวยูเครน แต่คือประเทศทุกที่ทั่วโลก เมล็ดเหล่านี้จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่ย่ำแย่ในรอบทศวรรษที่กำลังจะมาถึง นี้ถึงเป็นสิ่งที่สำคัญมากๆ ที่เราจะต้องหยุดสงครามทันที ทุกๆ วันที่ผ่านไป จะมีการปลูกฝังเมล็ดเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ
- เหมือนกับสงครามที่เกิดขึ้นในตอนนี้ มันก็เกิดขึ้นจากเมล็ดที่ถูกฝังมาแล้วหลายทศวรรษหรือศตวรรษที่ผ่านมา เป็นส่วนหนึ่งในความกลัวของรัสเซียซึ่งเป็นแรงผลักดันให้ปูตินและคนรอบๆ ตัวเขาคือความทรงจำของการถูกรุกรานในอดีตของรัสเซีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 และแน่นอนมันเป็นความผิดพลาดที่แย่มาก ว่าปูตินทำอะไรกับมัน รัสเซียกำลังจะสร้างสิ่งนี้อีกครั้ง สิ่งที่พวกเขาควรเรียนรู้ที่จะหลีกเลี่ยง แต่ตอนนี้มันยังเป็นผลลัพธ์ของความย่ำแย่จากเมล็ดที่ถูกปลูกขึ้นในปี 1940
- เราต้องหยุดสิ่งนี้ ผมในฐานะนักประวัติศาสตร์ คิดว่าผู้คนควรจะปลดปล่อยตัวเองจากอดีต ไม่ใช่ทำให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยแล้วซ้ำรอยเล่า ทุกๆ คนควรจะปลดปล่อยตัวเองจากความทรงจำของสงครามโลกครั้งที่สอง ทั้งชาวรัสเซีย ทั้งชาวเยอรมันก็เช่นกัน เวลาผมเห็นชาวเยอรมัน ผมอยากจะบอกว่าผมรู้ว่าพวกคุณไม่ใช่นาซี (Nazis) คุณไม่ต้องพิสูจน์อีก ครั้งแล้วครั้งเล่า สิ่งที่เราต้องการจากเยอรมันตอนนี้คือแค่ลุกขึ้นยืนและเป็นผู้นำในแถวหน้าของการต่อสู้เพื่ออิสรภาพ บางครั้งชาวเยอรมันก็กลัวว่าถ้าพวกเขาพูดอย่างหนักแน่นหรือยกปืนขึ้นมา คนจะกล่าวหาว่าพวกเขาเป็นนาซีอีกครั้ง แต่มันไม่จริง พวกเราไม่ได้คิดแบบนั้น
2
- เราต้องการชาวเยอรมัน ตอนนี้พวกเขาเป็นหัวหน้าของยุโรปอย่างแน่นอนหลังจากอังกฤษ (Britain) ออกไป (Brexit) พวกเราต้องการให้เยอรมันให้ปลดปล่อยอดีตและอยู่กับปัจจุบัน ถ้าจะมีประเทศใดในโลกนี้ ผมในฐานะชาวยิว ในฐานะชาวอิสราเอล ในฐานะนักประวัติศาสตร์ ที่จะไว้ใจว่าพวกเขาจะไม่ปฏิบัติซ้ำรอยกับความชั่วร้ายของนาซีอีกแล้ว ประเทศนั้นก็คือประเทศเยอรมัน
================
9. บทบาทของจีนในสงครามครั้งนี้
================
- ผมไม่รู้เลย ผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญประเทศจีน แค่อ่านข่าวผมไม่สามารถเข้าไปถึงความคิดเห็นและจุดยืนของผู้นำจีน ผมหวังว่าพวกเขาจะแสดงจุดยืนความรับผิดชอบ เพราะพวกเขามีความสนิทสนิมกับรัสเซีย และพวกเขามีความสนิทสนมกับยูเครนด้วย แต่โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสัมพันธ์ของพวกเขากับรัสเซีย จีนมีอิทธิพลต่อรัสเซียอย่างมาก ผมหวังว่าพวกเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่รับผิดชอบที่จะช่วยดับไฟในสงครามนี้ได้ พวกเขามีสิ่งมากมายที่ต้องพ่ายแพ้จากการล้มเหลวของทั่วโลก และมีสิ่งมากมายที่จะชนะจากการกลับมาสู่สันติภาพ รวมถึงในแง่ของความรู้สึกความซาบซึ้งจากสังคมนานาชาติ ตอนนี้ไม่ว่าพวกเขาจะทำหรือไม่ทำ ขึ้นอยู่กับพวกเขา ผมไม่สามารถคาดเดาได้ แค่หวังว่าเขาจะทำ
2
================
10. สงครามยูเครนคือความล้มเหลวทางการทูตใช่หรือไม่
================
- คุณสามารถมองในคำถามได้สองทาง ถ้าถามว่าการเจรจาทางการทูตล้มเหลวในการหยุดสงครามใช่หรือไม่ แน่นอนว่าล้มเหลว ทุกคนก็เห็นอยู่
2
- แต่ถ้าถามว่าล้มเหลวในแง่ของวิธีการเจรจาทางการทูต ถ้าใช้วิธีการที่แตกต่างออกไปจะหยุดสงครามได้หรือเปล่า ผมไม่รู้ แต่คิดว่าไม่ได้ ลองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในหลายสัปดาห์ที่ผ่านมา มันเหมือนกับว่าปูตินไม่ได้สนใจที่จะเจรจาทางการทูต ดูเหมือนว่าเขาจะสนใจในสงครามจริงๆ และผมคิดว่ามันกลับไปสู่เรื่องความเพ้อฝันอีกครั้งว่าถ้าปูตินกังวลจริงๆ เกี่ยวกับเหตุการณ์ความปลอดภัยของรัสเซีย มันไม่มีเหตุผลที่จะต้องบุกรุกยูเครนโดยทันที มันยังไม่มีการคุกคามรัสเซียโดยทันที มันยังไม่มีการเจรจาตอนนี้ในการที่ยูเครนจะเข้าร่วมนาโต้ มันยังไม่มีการบุกรุกของกองทัพรวมของรัฐบอลติก (ลิทัวเนีย ลัตเวีย และเอสโตเนีย) หรือโปแลนด์ ไม่มีอะไรเลย
1
- เป็นปูตินเองที่เลือกเวลานี้ที่จะก่อวิกฤต นี่คือเหตุผลว่าทำไมมันไม่เหมือนว่ามันจะเกี่ยวกับความกังวลด้านความปลอดภัย มันดูเหมือนจะเกี่ยวกับเรื่องเพ้อฝันอันล้ำลึกของการสถาปนาจักวรรดิรัสเซียกลับขึ้นมาอีกครั้งและปฏิเสธการมีตัวตนของประเทศยูเครน
1
================
11. สิ่งที่ทำให้สงครามนี้มีความแตกต่างเป็นพิเศษถ้าเทียบกับสงครามอื่นๆ ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลก
================
- อย่างแรกคือ เราได้เห็นในสิ่งที่ไม่เคยเห็นตั้งแต่ปี 1945 ซึ่งคือ ผู้มีอิทธิพลทางอำนาจพยายามทำลายประเทศซึ่งเป็นเอกราชออกจากแผนที่ ตอนที่สหรัฐอเมริกาบุกอัฟกานิสถานหรือบุกอิรัก คุณสามารถวิพากษ์วิจารณ์พวกเขาได้หลายอย่าง แต่จะไม่มีคำถามเลยว่าสหรัฐอเมริกาจะผนวกอิรักเข้าสู่สหรัฐอเมริกากลายเป็นรัฐที่ 51 แต่นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้นในยูเครน ใต้ข้ออ้างหรือการแอบแฝงนี้คือสิ่งที่รัสเซียต้องการ เหตุผลที่แท้จริงคือความต้องการผนวกยูเครน ถ้าสิ่งนี้ประสบความสำเร็จ มันจะนำพวกเรากลับเข้าสู่ยุคสงครามอีกครั้ง
2
- ผมรู้สึกตราตรึงกับคำพูดของตัวแทนของประเทศเคนยาที่พูดในฐานะประเทศเคนยาและประเทศอื่นๆ ในแอฟริกา ที่ UN Security Council ว่า พวกเราเหล่าประเทศทั้งหลายในแอฟริกาต่างก็คือผลลัพธ์หลังจากการล่าอาณานิคม เหมือนกับที่จักรวรรดิโซเวียตล่มสลายกลายเป็นประเทศอิสระหลายๆ ประเทศ ประเทศในแอฟริกาก็มาจากการล่มสลายของจักรวรรดิยุโรปเช่นเดียวกัน ด้วยองค์ประกอบพื้นฐานของการเมืองในแอฟริกาตั้งแต่ตอนนั้นคือไม่ว่าคุณจะไม่เห็นด้วยอะไรเกี่ยวกับเขตแดนที่คุณได้รับ จงรักษาเขตแดนตรงนั้นไว้ เพราะถ้าเราเริ่มที่จะบุกรุกประเทศเพื่อนบ้านเพราะคิดว่าพื้นดินตรงนั้นเป็นส่วนนึงของประเทศเรา คนพวกนี้เป็นคนของประเทศเรา มันจะไม่มีวันจบสิ้น และถ้าตอนนี้มันเกิดขึ้นในยูเครน มันจะกลายเป็นการสร้างต้นแบบให้เกิดการเลียนแบบขึ้นทั่วโลก
- อีกอย่างที่แตกต่างคือเมื่อเราพูดถึงประเทศมหาอำนาจ นี่ไม่ใช่สงครามระหว่างอิสราเอล (Israel) กับฮิซบอลเลาะห์ (Hezbollah) แต่เป็๋นสงครามที่มีแนวโน้มสามารถที่จะเป็นสงครามระหว่างรัสเซีย (Russia) และนาโต้ (NATO) สิ่งนี้จะทำให้เกิดความไม่มั่นคงทางสันติภาพของโลกทั้งใบ (ยังไม่นับถึงอาวุธนิวเคลียร์) และกลับไปที่งบประมาณอีกครั้ง ถ้าเยอรมันเพิ่มงบประมาณการป้องกันขึ้นเป็นสองเท่า โปแลนด์เพิ่มงบประมาณการป้องกันขึ้นเป็นสองเท่า สิ่งนี้จะถูกกระจายไปทุกที่ทั่วโลก และนี่เป็นข่าวร้ายมากๆ
1
================
12. สงครามครั้งนี้จะเร่งให้เกิดเทคโนโลยีด้านพลังงาน
================
- ตอนนี้ยุโรปเริ่มตระหนักแล้วถึงอันตรายของการพึ่งพาน้ำมัน และเริ่มต้น Green Manhattan Project ซึ่งโครงการนี้จะช่วยเร่งสิ่งที่ได้เกิดขึ้นอยู่แล้วให้เร็วขึ้นอีก การพัฒนาแหล่งพลังงานที่ดีขึ้น โครงสร้างทางพลังงานที่ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยปลดปล่อยกับการที่ต้องพึ่งพาน้ำมัน (Oil & Gas) และจริงๆ แล้วมันจะช่วยตัดการพึ่งพาต่อน้ำมันของทั้งโลก และนี่จะเป็นทางที่ดีที่สุดที่จะช่วยในการลดทอนอำนาจและเครื่องทำสงครามของปูติน
- เพราะนี่คือสิ่งที่รัสเซียมีอย่างเดียวคือ “น้ำมัน” เมื่อไหร่คือครั้งสุดท้ายที่คุณซื้อของอะไรก็ตามที่ทำจากรัสเซีย พวกเขามีแค่น้ำมัน และพวกเราก็รู้คำสาปของน้ำมัน น้ำมันคือทรัพยากรแห่งความร่ำรวย แต่ในบ่อยครั้งที่มันช่วยส่งเสริมการปกครองแบบเผด็จการ เพราะการได้รับผลประโยชน์จากน้ำมัน คุณไม่จำเป็นต้องแบ่งปันให้ประชาชน ไม่ต้องการสังคมที่เปิดกว้าง ไม่ต้องการการศึกษา คุณแค่ต้องการการขุดเจาะ ซึ่งเราเห็นแล้วในหลายๆ ที่ว่าน้ำมันเป็นพื้นฐานของการปกครองเผด็จการ ถ้าราคาของน้ำมันตก กลายเป็นสิ่งที่ไม่ต้องการอีกต่อไป มันจะไม่ได้เป็นแค่การลดทอนทางการเงิน ลดอำนาจทางกองทัพของรัสเซีย แต่มันยังบังคับให้รัสเซีย บังคับให้ปูตินเปลี่ยนแปลงการปกครอง
3
================
13. พูดถึง Volodymyr Zelenskyy ประธานาธิบดีของยูเครน
================
- การกระทำของเขาเป็นที่น่ายกย่อง เขาให้ความกล้าและเป็นแรงบันดาลใจ ไม่ใช่แค่ชาวยูเครนแต่ให้กับทุกคนทั่วโลก
1
- ต้องพูดว่าปฏิกิริยาการเข้าช่วยเหลือของยุโรปในการส่งอาวุธและอื่นๆ ต้องให้เครดิตกับ Zelenskyy ด้วย เมื่อนักการเมืองก็เป็นมนุษย์คนนึงเหมือนกัน Zelenskyy ได้พูดร้องขอชาวยุโรปโดยตรง ซึ่งพวกเขาก็มีโอกาสได้เจอ Zelenskyy ในหลายๆ ครั้งก่อนหน้าสงคราม
3
- ซึ่งภัยคุกคามที่มีไม่ใช่แค่ต่อตัวเขา แต่รวมถึงครอบครัวของเขา เขาพูดคุยกับทางยุโรปว่าพวกคุณน่าจะรู้ว่านี่อาจจะเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกคุณได้คุยกับผมก็ได้ ผมอาจจะตาย โดนฆ่าหรือโดนระเบิดภายในหนึ่งชั่วโมงหรือภายในหนึ่งวัน
- สิ่งนี้มันช่วยเปลี่ยนบางสิ่ง ในมุมนี้ผมว่าเขาได้อุทิศส่วนตัวโดยครั้งใหญ่ไปสู่ปฏิกิริยาตอบรับของทั่วโลก
3
================
14. ผลกระทบของรัสเซียต่อการการคว่ำบาตร (Sanction) และการกีดกัน (Isolation)
================
- สิ่งที่เราต้องตระหนักคือรัสเซียของปูติน ไม่ใช่สหภาพโซเวียต (Soveit Union) มันเป็นประเทศที่เล็กและอ่อนแอกว่ามาก มันไม่เหมือนในปี 1960 ที่นอกจากสหภาพโซเวียตแล้วยังมี Soviet bloc รอบๆ อีกด้วย
- มันเลยทำให้การกีดกันรัสเซียทำได้ง่ายกว่า ทำให้อ่อนแอได้ง่ายกว่า แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าจะง่าย มันก็ต้องใช้เวลา แต่ผมคิดว่าชาติตะวันตกกำลังอยู่ในทิศทางที่ถูกต้องที่จะสร้างผลกระทบต่อรัสเซีย ด้วยวิธีการคว่ำบาตร (sanction) และการกีดกัน (isolation)
- นอกจากนี้คนรัสเซียก็ต่างออกไปด้วย คนรัสเซียไม่ได้ต้องการสงครามน้ีจริงๆ แม้แต่คนที่อยู่รอบๆ ตัวปูตินก็ตาม ถึงผมจะไม่รู้จักพวกเขาเป็นการส่วนตัว แต่ดูเหมือนพวกเขาก็น่าจะรักชีวิต พวกเขามีเรือยอชท์ มีเครื่องบินส่วนตัว มีบ้านอยู่ในลอนดอน มีคฤหาสน์ในฝรั่งเศส พวกเขาชอบชีวิตที่ดีของพวกเขาและเขาต้องการที่จะเอ็นจอยกับมัน ผมคิดว่าการลงโทษครั้งนี้จะส่งผลต่อรัสเซียแน่นอน แต่จะใช้เวลานานแค่ไหน ต้องขึ้นอยู่กับปูตินแล้ว
1
================
สรุปจาก The War in Ukraine Could Change Everything | Yuval Noah Harari | TED (https://bit.ly/35BmWl1)
===========
#Ukraine #UkraineWar #Russia #YuvalNoahHarari #TED #วันนี้สรุปมา
2
โฆษณา