ประวัติศาสตร์ของ Patek Philippe เริ่มต้นในปี 1839 ณ กรุงเจนีวา โดย Antoine Norbert de Patek ชาวโปแลนด์ กับช่างนาฬิกาชาวฝรั่งเศส Francois Czapek โดยเริ่มจากการก่อตั้งบริษัทชื่อ Patek, Czapek & Cie
1
ต่อมา Czapek แยกตัวออกไป Patek จึงได้พบกับช่างนาฬิกาชาวฝรั่งเศสอีกคนหนึ่ง ชื่อ Adrien Philippe จนกลายเป็นที่มาของชื่อแบรนด์ “Patek Philippe” จนถึงปัจจุบัน
5
เส้นทางสู่ความเป็นหนึ่งของ Patek Philippe นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ในปี 1929 บริษัทได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ (The Great Depression) จนทำให้แทบจะปิดตัวลง
นอกจากการรักษาเอกลักษณ์เดิมของแบรนด์ในเรื่องของความประณีต ความสวยงามของนาฬิกา และกลไกนั้น Patek Phillipe ยังสามารถต่อยอดความเป็นหนึ่งในโลกแห่งนาฬิกายุคใหม่ได้อย่างสง่างาม
1
โดยในปี 1976 เมื่อได้ร่วมมือกับนักออกแบบระดับตำนาน Gerald Genta ในการออกแบบนาฬิการุ่น “Nautilus” ซึ่งเป็นนาฬิกาที่มีดีไซน์ออกนอกกรอบเดิมของ Patek Philippe โดยมีความเป็น Luxury Sport Watch จนได้รับความนิยมอย่างมากจนถึงปัจจุบัน
2
ในปัจจุบันคาดการณ์ว่า Patek Philippe รักษาปริมาณการผลิตนาฬิกาออกสู่ตลาดประมาณ 60,000 เรือนต่อปี ซึ่งสวนทางกับความต้องการในตลาดที่เพิ่มขึ้นทุกปี
5
ว่ากันว่า Patek Philippe ใช้เวลาอย่างน้อย 9 เดือนในการออกแบบนาฬิกาที่มีกลไกซับซ้อนน้อยที่สุด และใช้เวลาอย่างน้อย 2 ปีในการออกแบบนาฬิกาที่มีความซับซ้อนมากขึ้น
5
นี่อาจเป็นข้อพิสูจน์ถึงความประณีตในการออกแบบนาฬิกาแต่ละเรือนของ Patek Philippe ได้เป็นอย่างดี
“You never actually own a Patek Philippe. You merely take care of it for the next generation”
5
ประโยคนี้น่าจะแทนความเป็นตัวตนของ Patek Philippe ได้เป็นอย่างดีในเรื่องของมูลค่าและการลงทุน ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้ Patek Philippe เป็นที่ต้องการของคนรักนาฬิกาทั่วโลก
Richard Mille ก่อตั้งขึ้นในปี 1999 โดยนักธุรกิจชาวฝรั่งเศสที่มีชื่อเดียวกับแบรนด์คือ Richard Mille ผู้มีความหลงใหลใน รถ F1 และเครื่องบิน
1
ความหลงใหลเหล่านี้สะท้อนออกมาโดยจะเห็นได้จากการออกแบบนาฬิกาในแต่ละรุ่นของ Richard Mille ซึ่งจะเน้นการออกแบบกลไกไปพร้อม ๆ กับการออกแบบตัวเรือน
2
โดยใช้หลักการเดียวกับการออกแบบรถ F1 ที่ออกแบบตัวถังรถ ไปพร้อม ๆ กับการออกแบบเครื่องยนต์
1
นอกจากความประณีตในการออกแบบแล้ว Richard Mille ยังเน้นไปที่ความล้ำสมัยของวัสดุในการผลิตนาฬิกา เช่น NTPT Carbon ซึ่งปกติใช้ในการสร้างเรือยอชต์ และ Carbon Nanofiber ที่มีความทนทาน หรือแม้กระทั่งโลหะที่ใช้ในการผลิตรถ F1
4
ทั้งหมดนี้สะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของแบรนด์ที่เน้นการสร้างสรรค์นาฬิกา Luxury Sport Watch ที่มีเอกลักษณ์ หรูหรา และทนทาน
1
สิ่งหนึ่งที่เป็นข้อพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงอัตลักษณ์ของ Richard Mille ได้เป็นอย่างดี คือการที่ Richard Mille คิดค้นนาฬิกาที่มีน้ำหนักเบา สวมใส่สบาย และสามารถดูดซับแรงกระแทกอย่างมหาศาล
2
โดยยังคงรักษาความเที่ยงตรงได้เป็นอย่างดี โดยให้ Rafael Nadal นักเทนนิสชื่อดัง ใส่ระหว่างการแข่งขันเทนนิสรายการต่าง ๆ ซึ่งเทคโนโลยีเหล่านี้ แม้กระทั่ง Rolex เองซึ่งเป็น Sponsor ให้นักเทนนิสชื่อดังอย่าง Roger Federer ยังไม่สามารถทำได้
4
โดย Roger Federer จะสวมใส่ Rolex ต่อเมื่อเสร็จสิ้นการแข่งขัน และรับถ้วยรางวัลเท่านั้น
1
ปัจจุบันคาดการณ์ว่า Richard Mille มีรายได้ราว 1 หมื่นล้านบาทต่อปี โดยผลิตนาฬิกาประมาณ 5,000 เรือนต่อปี