Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Rhythm of Life
•
ติดตาม
11 มี.ค. 2022 เวลา 10:39 • สุขภาพ
ผู้หญิงกับสุขภาพของเธอ "ภัยร้ายใกล้ตัวที่ผู้หญิงไม่ควรมองข้าม"
จากประสบการณ์ตรงของเรา เมื่อเราเคยผ่าตัดเนื้องอกมดลูกและถุงน้ำในรังไข่ เราขออนุญาติแชร์บทความที่มีสาระและประโยชน์สำหรับสาวๆในรอบนี้นะคะ
เนื้องอกในมดลูกถือว่าเป็นเนื้องอกที่พบได้เยอะที่สุดในผู้หญิงวัยเจริญพันธุ์ มีตัวเลขสถิติ ถ้าหญิงวัยเจริญพันธุ์คือเริ่มมีประจำเดือน หรือถ้าอายุ 25-30 ปีมาตรวจ จะเจอเนื้องอกในมดลูกประมาณ 30-50% ถ้าผู้หญิง 10 คนมาอัลตราซาวนด์ จะเจอ 3 คน 5 คน เป็นเรื่องปกติ
ขนาดของเนื้องอกก็มีหลากหลายในแต่ละราย ตั้งแต่เล็ก ๆ ระดับมิลลิเมตรคือไม่ถึงเซนติเมตร ไปจนถึงเป็นสิบ ๆ เซนติเมตร เท่ากับลูกมะพร้าว หรือลูกแตงโมก็แล้วแต่สรีระของแต่ละบุคคล
ส่วนใหญ่ประมาณ 99% ไม่ใช่เนื้อมะเร็ง ก็คือเป็นเนื้องอกที่เป็นเนื้อดี จะไม่ใช่โรคมะเร็ง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นส่วนใหญ่เราจะอัลตราซาวนด์ตรวจเจอว่าเป็นเนื้องอกมดลูก แต่ว่ามันก็มีโอกาสที่จะกลายมาเป็นมะเร็ง แต่ว่าไม่เยอะ ประมาณสัก 1 ใน 10,000 หรือ 1 ใน 100,000
อ้างอิงที่มาจาก : พบหมอรามาฯ "เนื้องอกในมดลูก"
เอาละคะเรามาเริ่มกันเลยดีกว่า เริ่มต้นเมื่อ 2 ปีที่แล้ว ช่วงเดือนกรกฎาคม 2563 เรามีอาการปวดท้องเมื่อมีประจำเดือน แต่เอาจริงๆ เรามีอาการปวดมาตลอดอยู่แล้ว แต่ความต่างของอาการปวด คือ เราปวดมากๆๆ จนถึงขั้นที่ว่า เราทานยาแก้ปวดไปแล้ว 4 เม็ดพร้อมกับน้ำอุ่นก็ไม่หาย ปวดจนหน้าซีดจะเป็นลมเลยทีเดียวค่ะ เราเลยต้องกลับบ้านไปพัก เพราะ ประสิทธิภาพการทำงานของเราเป็นศูนย์..🥲
หลังจากนั้นเราก็ไปตรวจที่โรงพยาบาล เพื่อหาสาเหตุของอาการปวด ที่แรกที่เราไปตรวจ คือ โรงพยาบาลกล้วยน้ำไท และก็ได้คำตอบว่า เรามีเนื้องอกมดลูก หรือที่ศัพท์ทางการแพทจะเรียกว่า โรคกล้ามเนื้อเจริญเติบโตผิดที่ โดยขนาดของเนื้องอกที่ตรวจพบมีทั้งหมด 3 ก้อน คือ 3 เซนติเมตร จำนวน 1 ก้อน และ 1.5 เซนติเมตร จำนวน 2 ก้อน ณ ตอนนั้น เราช๊อคมากค่ะทุกคน เพราะเรามั่นใจว่าเราดูแลตัวเองได้ดีมากกก ออกกำลังตลอด ค่า BMI เรา 18-20 มาตลอด ทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย (คือ เราเป็นคนที่เลือกกินมากๆค่ะ😅) ด้วยความไม่ค่อยมั่นใจในผลการวินิจฉัย (มีความมั่นหน้ามากค่ะช่วงนั้น😂) เราเลยไปตรวจอีก 2 ที่ คือ โรงพยาบาลราชวิถี และ โรงพยาบาลพญาไท1 โดยเสียค่าตรวจไปหมื่นกว่าบาทรวมค่ายา
สรุปคือ ทั้ง 2 โรงพยาบาลก็วินิจฉัยว่า เราเป็น โรคกล้ามเนื้อเจริญเติบโตผิดที่ และถุงน้ำในรังไข่ ทุกที่เสนอ 2 ทางออกให้เราเหมือนกัน คือ
1.
เราต้องผ่าตัดภายใน 1 ปี เพราะ เนื้องอกเรามีอัตราการโตที่เริ่มกดเบียดลำไส้ และกระเพาะปัสสาวะ
2.
ต้องทานยาเม็ดคุมกำเนิด เพื่อกดไม่ให้เนื้องอกโตขึ้นและขับถุงน้ำในรังไข่ แต่มีข้อเสีย คือ ต้องทานไปตลอดชีวิตพร้อมค่ายาคุมกำเนิดแผงละ 200-500 บาทต่อเดือน
และใช่ค่ะ เราเลือกที่จะผ่าตัดแทนการทานยาคุมกำเนิดตลอดชีวิต
ถ้าเป็นเพื่อนๆจะตัดสินใจยังไงคะ 🤔
หลังจากนั้นเราก็เริ่มหาข้อมูลเรื่องวิธีการผ่าตัด ก็พบว่ามีอยู่ 2 แบบ คือ การผ่าตัดแบบส่องกล้องและการผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง ถ้าเพื่อนๆนึกภาพไม่ออก เราจะอธิบายให้เข้าใจดังนี้
1
1.
การผ่าตัดแบส่องกล้อง คือ เราจะโดยสอดกล้องเข้าไปในมดลูกและตัดเนื้องอกออกจากมดลูกเราได้เลย หรือบางโรงพยาบาลจะใช้วิธีเจาะแผลเล็กๆข้างสะดือของเราทั้ง 2 ข้าง เพื่อให้เครื่องมือเข้าไปตัดเนื้องอกออกไป แต่วิธีนี้อาจจะไม่ได้ผลกับคนที่มีผังผืดบริเวณหน้าท้องเยอะ เพราะเจ้าผังผืดจะทำให้การส่องกล้องมองเห็นได้ไม่สะดวก
2.
การผ่าตัดแบบเปิดหน้าท้อง เพื่อนๆนึกภาพได้ง่ายๆเลย คือ เหมือนการผ่าคลอดทุกประการ แค่คุณหมอจะกรีดหน้าท้องเราเล็กกว่าผ่าคลอด คือ ประมาณ 5-7 เซนติเมตร โดยที่ผ่าคลอดจะอยู่ที่ประมาณ 10-12 เซนติเมตร
ที่นี้เพื่อนๆ คงจะนึกภาพตามเราได้แล้วเน้อะ
เอาหล่ะ พอเราได้ข้อมูลมาดังนั้น เราก็เริ่มเช็คเรื่องค่าผ่าตัด และได้ข้อมูลดังนี้
แบบส่องกล้อง คือ ราคาแรงมากค่ะทุกคน 😭 แผลเล็กๆ ค่ารักษาเริ่มต้นที่ 1 แสน ขึ้นอยู่กับโรงพยาบาล แต่ข้อดีของวิธีนี้ก็คือ พักฟื้นเร็ว 2-3 วันก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตปกติได้
แบบเปิดหน้าท้อง ราคาไม่ถึงแสน แต่ใช้เวลาพักฟื้นขั้นต่ำ 1 เดือน โดยห้ามออกแรง ห้ามยกของหนัก แล้วยิ่งเราเช็คกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท ที่ๆเรามีทั้งประกันสังคมและประกันของบริษัท พบว่า เราไม่ต้องจ่ายเงินเลยซักบาท
และก็ใช่ค่ะ เราเลือกผ่าแบบที่ 2 คือ เปิดหน้าท้องกับโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท
งื้ออ เราค่อนข้างเป็นคนงกค่ะ บอกเลย 😑 และเมื่อตัดสินใจได้แล้ว เราก็ทำการนัดวันผ่าตัดกับคุณหมอ เป็นวันที่ 28 เมษายน 2564
วันที่ 27 เมษายน 2564 เป็นวันเตรียมตัว ตรวจโควิด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจความเข้มของเลือด ทำการ X-ray ปอด และแอดมิดขึ้นวอร์ดผู้ป่วยใน รอขึ้นเขียงในวันรุ่งขึ้น แต่คืนแรกก็ทำเรานอนไม่หลับ ไม่ใช่เพราะตื่นเต้นค่ะทุกคน แต่เพราะคุณพยาบาล เข้ามาตรวจความดันและอุณหภูมิทุกๆ 3 ชั่วโมง แงงง แถมงดน้ำงดอาหารตั้งแต่เที่ยงคืน..
สภาพก่อนแอดมิดที่ยังคงสดชื่น ตาเป็นประกายอยู่ค่ะ 🤣
วันที่ 28 เมษายน 2564 วันขึ้นเขียงจ้า เราโดนปลุกตั้งแต่ตี 5 เพื่อตรวจความดันและอุณหภูมิเหมือนเดิม จากนั้นก็นอนรอจนถึงเวลา 12:30 น. เจ้าหน้าที่ก็เข็นเตียงมารับไปโซนผ่าตัด จนกระทั่งเวลา 13:00 น. ก็ได้เวลาขึ้นเขียงของจริง!
และนี่ คือ บทสนทนาที่เกิดขึ้นก่อนภาพจะตัดค่ะ...
วิสัญญีแพทย์ถามเราว่า "เคยผ่าตัดมาก่อนมั๊ยคะ" แล้วก็จัดให้อยู่ในท่านอนตะแคงแบบเนียนๆ
เรา "ไม่เคยค่ะ"
ในขณะนั้นเราก็นึกไปถึงสิ่งที่เพื่อนเราเคยแชร์ประสบการณ์ในการผ่าตัดกีว่า "ตอนหมอเค้าฉีดยาสลบให้ แกลองนับ 1 2 3 ไปเรื่อยๆ แล้วมาบอกฉันด้วยว่าแกนับได้ถึงเลขไหน"
แต่เมื่อเวลานั้นมาถึง ถ้าเราจำไม่ผิด เรานับได้แค่ 1 ค่ะ...คุณวิสัญญี คือ สุดจริง แล้วเราก็ป๊อกไปเลย (อะไรจะไวปานนั้น...ยังไม่ทันได้ตื่นเต้นเลยย) และเดาว่า เราคงโดนบล๊อกหลัง หลังจากนั้น 555+
และเราก้เริ่มรู้สึกตัว แต่ๆๆๆ เราดันรู้สึกตัวตอนที่ยังอยู่ในขั้นตอนผ่าตัดค่ะทุกคน! เพราะเรายังรู้สึกถึงการดึงๆอะไรในช่องท้องของเรา แค่เราไม่รู้สึกเจ็บ เพราะว่าเราตื่นตอนที่คุณหมอกำลังเย็บปิดแผลค่ะ (พอนึกย้อนไปก็แอบหวาดเสียวนะคะ นึกภาพว่า ถ้ายาชาหมดฤทธิ์ 🥲) ความรู้สึกตอนนั้น คือ เหมือนฝันมากๆ แล้วก็ครึ่งหลับครึ่งตื่น เวลาผ่าตัดปกติจะอยู่ที่ 1-2 ชั่วโมง แต่เคสของเรา คือปาไปเกือบๆ 4 ชั่วโมง เพราะ เรามีผังผืดในช่องท้องเยอะมากก... ซักพักใหญ่ๆเราก็มารู้สึกตัวอีกที เมื่อมีลมอุ่นๆเป่าเข้ามาในผ้าห่ม เพื่อปรับอุณหภูมิหลังออกจากห้องผ่าตัด (ห้องผ่าตัดจะมีอุณหภูมิอยู่ที่ 20-22 องศา) เพราะเรารู้สึกหนาวมาก หนาวจนปากเรากระทบกัน 🥶 กลับขึ้นวอร์ดเป็นเวลาเกือบๆ 5 โมงเย็นเลยที่เดียว หลังจากนั้นก็สลบไป ฟื้นมาอีกทีก็ คือ 4 ทุ่ม จ้า เพราะ คุณพยาบาลเข้ามาเช็คอุณหภูมิและก็ความดันค่ะ
สภาพของเราหลังออกจากห้องผ่าตัด 🥴
วันที่ 29 เมษายน 2564 หลังผ่าตัดวันที่ 1 คุณหมอได้มาเยี่ยมเพื่อทำการเช็คปากแผลและ X-ray ในช่องท้อง เพราะ หากมีเลือดไหลในช่องท้องหลังการผ่าตัด เราจะต้องขึ้นเขียงอีกครั้ง เล่นเอาเราลุ้นจนเหงื่อไหลพรากๆเลย 😰 เรายังโชคดีอยู่ค่ะ คือ ไม่มีเลือดในช่องท้อง คุณหมอก็เริ่มบทสนทนากับเรา
และนี่คือ บทสนทนาระหว่างเรากับคุณหมอ
หมอ "ไม่มีเลือดออกในช่องท้องนะครับ หลังจากนี้หมอจะให้พยาบาลมาถอดสายปัสสาวะออกให้นะครับ"
เรา "เอิ่มม หมอคะ ถอดตั้งแต่วันแรกเลยหรอคะ แผลมันจะไม่ปริใช่มั้ยอ่าา"
หมอ "ไม่ปริครับไม่ต้องกังวล ที่หมอให้ถอดสายปัสสาวะออกเร็ว เพราะหมอมั่นใจว่าคนไข้ทนความเจ็บได้ เพราะ มีร่างกายแข็งแรง ออกกำลังกายเสมอนี่ครับ ถ้าคนไข้เข้าห้องน้ำเองได้ หมอจะให้กลับบ้านเลย"
เรา "เอิ่มม ออกกำลังกายตลอดกับทนความเจ็บได้นี่ มันไปด้วยกันแหล่ะเน้อะ" แล้วก็ยิ้มเจื่อนๆ ให้คุณหมอไปที แล้วปาดเหงื่อ...จบบทสนทนา
และเวลาแห่งความบันเทิงก็มาถึง คือ เวลาที่ต้องเข้าห้องน้ำ และเราจะบอกว่า เวลานั้นคือที่สุดแห่งความทรมานทั้งปวง ที่สุดในแปดโลก in the whole world!
ถ้าใครนึกภาพไม่ออก ให้จิตนาการว่า โดนกรีดผิวเป็นแผล แล้วโดนราดด้วยแอลกอฮอล์ซ้ำๆ แล้วหัวใจเต้นเกิน 150 ครั้งต่อนาที เราเลยเข้าใจแล้วว่า คนที่เสียชีวิตเพราะทนพิษบาดแผลไม่ไหวเนี้ย เค้ารู้สึกยังไง ฮืออ 😭
ขยับตัวครั้งที่ 1 เจ็บมากก มือสั่น ปากสั่นและเป็นลม......
พอรู้สึกตัว ก็นึกถึงคำพูดคุณหมอ "ถ้าคนไข้เข้าห้องน้ำเองได้ หมอจะให้กลับบ้านเลย" เพราะเตียงแข็งมากทุกคน แอร์ก็หนาวเว่อ นอนไม่หลับเลย เราเลยต้อง ฮึ้บบ 😤
ขยับตัวรอบที่ 2 เอาอีก! รอบนี้ลองหย่อนขาลงข้างเตียงที่ละข้างก่อน เพื่อปรับสมดุล (ทฤษฎีอะไรไม่รู้ รู้แค่อยากกลับบ้าน ต้องลุกไปเข้าห้องน้ำเองให้ได้..) และไม่ลืมที่จะกดเรียกคุณพยาบาลมาช่วยหลังเป็นลมรอบแรก...พอหย่อนขาลง แล้วนั่งได้ แล้วก็อีกแล้วค๊า พูดได้แค่ว่า ขอ.....แล้วก็ป๊อกไป (คือ ขอยาดม 🥲)เดือดร้อนคุณพยาบาลที่ ทั้งพัดทั้งวี ทั้งแอมโมเนีย จนเราฟื้นอีกรอบ
ขยับตัวรอบที่ 3 รอบนี้ บอกคุณพยาบาลว่า เราขอลองอีกรอบนะคะ (ด้วยความอยากกลับบ้าน งืออ) เหมือนเดิมค่ะ เป็นลม แถมรอบนี้พยาบาลบอกเราว่า เรากระทืบเท้าด้วย อาการแบบนี้ คือ คนจะขาดใจ แล้วบอกเราว่า "ต้องพอก่อนค่ะ ไม่งั้นต้องได้ปั้มหัวใจแทนดมแอมโมเนียแล้วนะคะ" หลังจากนั้นคุณพยาบาลก็ยกน้ำขิงร้อนกับน้ำแดงมาให้เราดื่ม แล้วบอกกับเราว่า "คงเป็นเพราะคนไข้อดน้ำอดอาหารมาเกือบ 48 ชั่วโมง เลยไม่มีแรง ลองดื่มน้ำขิงกับน้ำแดงก่อนนะคะ แล้วค่อยลองใหม่"
แล้วก็จริงด้วยค่ะเพื่อนๆ ซักพักเราก็ลองลุกนั่งอีกครั้ง ครั้งนี้ไม่หน้ามืดแล้วค่ะ แต่เจ็บแผล...แล้วก็ปีนลงเตียง ค่อยๆกระดึ้บ แบบเดินต่อเท้า เกาะผนังห้องจนถึงห้องน้ำจนได้ แต่ความยากหลังจากเดินถึงห้องน้ำได้ คือ ต้องปัสสาวะให้ออก มันเจ็บมากๆๆ (ก ไก่ แถมอีกล้านตัว) เพราะเราโดนสอดท่อเข้าไปในท่อปัสสาวะ และเมื่อถอดสายออกแล้วปัสสาสะเอง มันเจ็บและแสบจนน้ำตาเล็ดเลยค่ะ แต่เราก็ทำสำเร็จ เย้! แล้วก็กระดึ้บกลับขึ้นเตียง แล้วก็หลับไป
วันที่ 30 เมษายน 2564 คุณหมอก็ได้เข้ามาตรวจแผลแล้วก็ X-ray ช่องท้อง ก่อนปล่อยตัวกลับบ้านในวันถัดไป ดีใจน้ำตาไหล 😭
วันที่ 1 พฤษภาคม 2564 เราก็ได้กลับบ้าน เย้ๆ เราจะบอกว่า ความรันทดของเราในการผ่าตัดครั้งนี้ นอกเหนือจากความเจ็บปวด ก็คือ เราเป็นคนไข้ที่ว้าเหว่มากๆ เพราะดันเลือกผ่าตัดช่วงโควิดกลับมาระบาดรอบที่ 2 คือ โรงพยาบาลห้ามคนเยี่ยม คนเฝ้า จะมีแค่คุณหมอกับพยาบาลเท่านั้น เศร้าเน้อะ
เรากลับมาพักที่บ้าน พร้อมกับอาการแพ้ยาชาที่ใช้บล๊อกหลัง มึนหัว ลมตีขึ้นหลังทานข้าวทุกมื้อ หายใจติดขัด จนต้องเอนหลังทุกครั้งหลังทานอาหาร (เราคงเป็นกรดไหลย้อนอีกโรคแหล่ะ กินแล้วนอน) แต่เจ้าอาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 3-4 วัน หากเพื่อนๆคนไหนที่กำลังอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แล้วมีอาการนี้เกิน 1 สัปดาห์ ต้องไปหาคุณหมอนะคะ เพราะผิดปกติค่ะ
ตอนนี้ ก็ผ่านมาเกือบ 1 ปี แล้ว เราได้เริ่มกลับมาออกกำลังกายแล้วนะคะ เริ่มจากเดิน จนเราวิ่งได้แล้ว...บทความเรายาวมาก เพราะ อยากให้เพื่อนๆได้อ่านแล้วเห็นภาพ สุดท้ายนี้ เราขอฝากข้อคิดให้กับเพื่อนๆที่มีโอกาสผ่านมาอ่าน ไม่ใช่แค่ผู้หญิงเท่านั้น แต่สำหรับเพื่อนๆผู้ชายที่มีคุณแฟน น้องสาว พี่สาวที่มีอาการปวดท้องประจำเดือนบ่อยๆ ให้ไปคอยเตือนๆกัน ติและชมได้นะคะ ยินดีเสมอค่ะ ขอบคุณค่ะ ❤
ปวดท้องประจำเดือน ไม่ใช่เรื่องปกติ และการตรวจภายในก็ไม่ใช่เรื่องน่าอายหรือน่ากลัว สิ่งที่น่ากลัว คือ เมื่อคุณไปตรวจเมื่อสายไป จนสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นได้เปลี่ยนเป็นเนื้อร้าย
by Rhythm of Life
รู้ทันโรค
ผู้หญิง
สุขภาพผู้หญิง
4 บันทึก
11
10
13
4
11
10
13
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย