[Bnomics] Thirty nine มิตรภาพที่ดี มีผลกับการตีค่าความอยู่ดีมีสุขของปักเจกบุคคล (Subjective Well-being) อย่างไร? วันนี้คุณมีเพื่อนแท้ที่พร้อมจะจัดงานศพให้คุณแล้วหรือยัง?

สำรวจ
ลงทุน
คำถาม

มีบัญชีอยู่แล้ว?หรือ

•

11 มี.ค. 2022 เวลา 12:19 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์

Thirty nine มิตรภาพที่ดี มีผลกับการตีค่าความอยู่ดีมีสุขของปักเจกบุคคล (Subjective Well-being) อย่างไร?

วันนี้คุณมีเพื่อนแท้ที่พร้อมจะจัดงานศพให้คุณแล้วหรือยัง?

Thirty nine เป็นซีรีส์ที่เล่าถึงกลุ่มเพื่อนสาว 3 คนที่สนิทกันมาตั้งแต่อายุ 18 จนกำลังจะอายุย่างเข้าวัย 40 ไปด้วยกัน ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการผลิบานเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว พวกเขาได้เผชิญบททดสอบในชีวิตจนพบกับความสุข ความรัก และได้เริ่มรู้จักกับการจากลากับเพื่อนสนิทไปตลอดกาลเป็นครั้งแรก

หลายครั้งที่ในช่วงชีวิตหนึ่งๆ ของเราอาจต้องเผชิญปัญหาในชีวิตของตนเอง แต่การมีมิตรภาพที่ดีนั้นสามารถช่วยเกลี่ยความทุกข์ เฉลี่ยความสุขให้เราได้อย่างมาก ซึ่งการมีมิตรภาพที่ดีไม่ได้แค่มีประโยชน์ต่อตัวเราเท่านั้น ยังช่วยก่อให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมได้อีกด้วย

ในบทความนี้ Bnomics จึงอยากจะยกงานวิจัยที่ใช้เศรษฐมิติมาเล่าให้ฟังว่า การมีมิตรภาพที่ดี ส่งผลกับชีวิตของเราและต่อสังคมโดยรวมอย่างไร

📌 มิตรภาพส่งผลอย่างไรต่อความพึงพอใจในชีวิต?

งานวิจัยนี้ ใช้ข้อมูลของผู้ตอบแบบสำรวจในแคนาดา จากปี 2003 เพื่อหาว่าลักษณะของมิตรภาพนั้นมีผลต่อการที่คนเราตีค่าความอยู่ดีมีสุขของตนเองอย่างไรด้วยวิธีการทางเศรษฐมิติ

เพราะว่าเพื่อนนั้นถือเป็นแหล่งซัพพอร์ทที่สำคัญ ช่วยบรรเทาความเหงา ช่วยให้เราเกิดความมั่นใจและพึงพอใจในชีวิต ค่าความอยู่ดีมีสุข จึงถูกประเมินมาจากองค์ประกอบทั้ง 4 ด้าน คือ

1.
ความพึงพอใจในชีวิตโดยทั่วไป
2.
ความพึงพอใจในด้านการงาน หรือกิจกรรมหลักที่ทำอยู่
3.
ความพึงพอใจในด้านการเงิน
4.
ความพึงพอใจในด้านสุขภาพ

สำหรับรูปแบบกลุ่มเพื่อนนั้นก็คล้ายกันในเกือบทุกประเทศ แต่วิธีการสร้างความสัมพันธ์และการรับรู้ถึงความเป็นเพื่อน นั้นอาจแตกต่างกันออกไปในแต่ละวัฒนธรรม เช่น จากการศึกษาพบว่าชาวอเมริกันมักจะมีเพื่อนเยอะกว่า และมีเพื่อนที่มีความแตกต่างหลากหลายกว่า หรือการที่วัยรุ่นทางฝั่งตะวันตก ให้ความสำคัญกับเพื่อนและคุณภาพของการมีปฏิสัมพันธ์กับกลุ่มเพื่อน มากกว่าในวัยรุ่นชาวจีน

ในบางสังคม มิตรภาพอาจจะเป็นสิ่งที่ติดแน่นกับสังคมหนึ่งๆ และไม่สามารถเปลี่ยนแปลงไปได้ แต่สำหรับบางสังคมคนเราอาจมีมิตรภาพใหม่ได้เรื่อยๆ เมื่อเปลี่ยนสังคมใหม่ๆ ซึ่งมักจะพบในประเทศที่มีวัฒนธรรมแบบปัจเจกนิยม (individualistic cultures)

📌 มิตรภาพช่วยเสริมสร้างความเชื่อใจกันในสังคม

งานวิจัยเชื่อว่าการที่เรามีความสัมพันธ์กับคนที่ไม่ได้เป็นสายเลือดเดียวกับเรา เป็นการกระตุ้นให้เกิดความเชื่อใจกันในสังคม และทำให้ทุนทางสังคม (social capital) สูงขึ้น เนื่องจากทุนทางสังคมเกิดขึ้นมาจากการที่คนในสังคมมีความเชื่อใจกันในระดับสูง ซึ่งการที่คนมีความเชื่อใจกันมากก็ถูกสร้างมาจากการที่คนมีปฏิสัมพันธ์ระหว่างกลุ่มที่แตกต่างกัน

ดังนั้นยิ่งเรามีการติดต่อและมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนอื่นๆ บ่อยมากขึ้น ก็ยิ่งทำให้เรารู้สึกเชื่อใจในตัวที่ผู้คนที่เราได้พบมากขึ้น

และยังพบว่าคนที่มีความเชื่อใจคนอื่น มีแนวโน้มที่จะมีความสุขมากกว่าและพึงพอใจในชีวิตของตนเองมากกว่า เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วคนเหล่านี้มักจะมีปฏิสัมพันธ์กับคนที่ไม่รู้จักมากกว่า และการมีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกกับคนที่ไม่รู้จักเช่นนี้เอง ช่วยให้พวกเขารู้สึกว่าตนเองอยู่ในโลกที่ปลอดภัยกว่า และทำให้พวกเขามีความสุขมากกว่า

📌 มิตรภาพช่วยลดความเครียด

งานวิจัยพบว่าคนที่มีความสุขกับความสัมพันธ์ที่ดี มีแนวโน้มที่จะสามารถรับมือกับความเครียดที่เกิดขึ้นในชีวิตในหลากหลายรูปแบบได้มากกว่า เช่น เมื่อเผชิญกับการตกงาน หรือความเจ็บป่วย การมีมิตรภาพที่คอยช่วยเหลือกันจะช่วยลดความเครียดให้เบาบางลงได้ แล้วก็ส่งผลให้คนรู้สึกถึงพอใจในชีวิตของตนเองมากขึ้น

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าความเครียดจะส่งผลลบต่อความพึงพอใจในชีวิตไปเสียทั้งหมด เพราะความเครียดในระดับพอดีๆ ก็สามารถช่วยกระตุ้นให้คนทำให้ดีที่สุด เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในชีวิตของตนเช่นกัน

📌 มิตรภาพช่วยให้เรามีสุขภาพดี

การมีเพื่อนสนิทช่วยให้เราต่อสู้กับโรคภัยไข้เจ็บได้ และไม่รู้สึกอ่อนแอ เมื่อเจ็บป่วย มีคนช่วยดูแล

แล้วยังพบอีกว่ายิ่งเรามีเพื่อนที่มีการติดต่อกันบ่อยๆ ยิ่งเป็นผลเชิงบวกต่อสุขภาพอีกด้วย

นอกจากนี้เพื่อนยังช่วยสร้างพฤติกรรมทางสุขภาพเชิงบวก เช่น เมื่อเห็นเพื่อนพยายามลดน้ำหนัก ก็อาจทำให้เพื่อนในกลุ่มที่เหลือมุ่งมั่นในการดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงตามบ้าง

แต่ด้วยความที่เพื่อนนั้นมีอิทธิพลต่อร่างกายและจิตใจของเราเป็นอย่างมาก ในทางกลับกัน หากเพื่อนรอบตัวมีพฤติกรรมไม่ดี ก็จะทำให้เราซึมซับไปด้วยเช่นกัน

📌 มิตรภาพช่วยเพิ่มการช่วยเหลือกันในสังคม

ข้อนี้เป็นสิ่งที่มีประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมเป็นอย่างมาก เนื่องจากเพื่อนสนิทสามารถให้ความช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ในหลายรูปแบบ เมื่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือทางด้านความรู้สึก และให้ความเห็นอกเห็นใจเมื่อเพื่อนต้องการใครสักคน หรือให้ความช่วยเหลือด้วยแรงกายในสิ่งที่เพื่อนอาจไม่สามารถทำคนเดียวได้ เช่น การเคลื่อนย้ายเฟอร์นิเจอร์ เป็นต้น

นอกจากนี้งานวิจัย ยังชี้ให้เห็นว่าขนาดของกลุ่มเพื่อน ตลอดจนความถี่ในการพบปะกัน เป็นผลบวกในด้านการมีแรงซัพพอร์ททางความรู้สึก ขนาดของกลุ่มเพื่อนที่คบยังเป็นตัวที่สามารถใช้วัดการรวมตัวทางสังคม (Social integration) ได้ เพราะขนาดของกลุ่มเพื่อนที่ใหญ่ ทำให้มีแนวโน้มที่จะได้รับความช่วยเหลือจากหนึ่งในกลุ่มเพื่อนมากขึ้น

ส่วนความถี่ของการพบปะก็แสดงถึงความเหนียวแน่นของความสัมพันธ์ เมื่อมีความสัมพันธ์ที่เหนียวแน่น โอกาสที่เพื่อนจะรู้ใจและช่วยในสิ่งที่เราต้องการก็ย่อมมีมากขึ้น ก่อให้เกิดความช่วยเหลือซึ่งกันและกัน แล้วยิ่งหากเรามีเพื่อนที่มีความหลากหลาย ก็จะทำให้เราได้รับความช่วยเหลือจากหลายแหล่งที่แตกต่างกัน เกิดการช่วยเหลือพึ่งพากันในสังคมในส่วนที่เราขาดหายไป

โดยสรุปแล้วสิ่งที่งานวิจัยชิ้นนี้พยายามจะบอกเรา คือ สิ่งสำคัญอย่างหนึ่งที่เราควรจะลงทุน คือมิตรภาพ การคบเพื่อนดีๆ มีการติดต่อกันพบปะเพื่อนฝูงบ่อยๆ เพื่อรักษาความสัมพันธ์เอาไว้ ช่วยทำให้เรามีความพึงพอใจในตนเองมากขึ้นในทุกด้าน

และส่งผลให้การประเมินค่าความอยู่ดีมีสุขของเราเพิ่มขึ้น สิ่งเหล่านี้อาจจะดูเล็กน้อย แต่มันกลับนำมาซึ่งประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม เพราะสังคมที่มีความเชื่อมโยงกัน และผู้คนที่รายล้อมไปด้วยมิตรภาพที่ดี

ทำให้สังคมมีความสุขยิ่งขึ้น ยิ่งไปกว่านั้นการที่คนมีสุขภาพดี ไม่ค่อยมีความเครียดมาก และมีความเชื่อใจกันในสังคมในระดับสูง ยังช่วยลดต้นทุนสาธารณสุขและต้นทุนการจัดการทางสังคม (Social transaction) อีกด้วย

เมื่ออายุมากขึ้น เราอาจจะเหลือเพื่อนที่อยู่กับเราน้อยลง เพื่อนที่ยังคงเหลืออยู่นั่นแหละ คือ คนที่เราน่าจะสามารถเรียกว่า “เพื่อนแท้” ได้

A true friend lets you know what’s right and wrong.

(เพื่อนแท้จะทำให้คุณรู้ว่า อะไรคือสิ่งที่ถูก และอะไรคือสิ่งที่ผิด)

ชามีโจ (รับบทโดย ซนเยจิน)