14 มี.ค. 2022 เวลา 02:09 • หุ้น & เศรษฐกิจ
"นิวเคลียร์เศรษฐกิจ"
3
อาวุธใหม่ที่พัฒนาขึ้น ระหว่างการทำสงครามกับรัสเซีย
3
ในช่วง 3 สัปดาห์ที่ผ่านมา สิ่งที่น่าจับตามองอย่างยิ่งในสงครามเศรษฐกิจกับรัสเซีย คือ การนำ "ระบบการค้าและระบบเงินของฝั่งโลกตะวันตก" มาใช้เป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจ อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
2
ในอดีต เวลาเกิดปัญหาความขัดแย้งในพื้นที่ใดๆ ก็จะมีการนำนโยบาย Sanctions มาใช้ เพื่อลงโทษประเทศที่ก่อปัญหา
แต่สิ่งที่แตกต่างรอบนี้ ก็คือ ระดับความเข้มข้นของนโยบาย ทั้งจาก จำนวนมาตรการ กลุ่มประเทศที่เข้าร่วม และความรุนแรงของผลกระทบ
ในเวลาเพียงไม่กี่สัปดาห์ รัสเซียได้กลายเป็นประเทศที่ถูก Sanction เยอะที่สุดของโลก ด้วยมาตรการกว่า 3,000 อย่าง!!!! จากประเทศหลักๆ มากกว่า 40 ประเทศ
2
หลายมาตรการ ต้องบอกว่า เป็นมาตรการไม่ปกติ
5
เช่น ยึดเงินสำรองระหว่างประเทศ สั่งไม่ให้ทำธุรกรรมการเงินด้วย ไม่ให้ระดมทุน ไม่ให้ใช้ระบบการชำระเงิน ยึดสินทรัพย์ ไม่ซื้อสินค้า เร่ง Exit ออกจากธุรกิจและการลงทุนต่างๆ รวมไปถึง ห้ามใช้เทคโนโลยีทางการทหารและดิจิทัล ที่สหรัฐและโลกตะวันตกพัฒนา
1
ทั้งหมดนี้ เป็นการนำ "ระบบการค้าและระบบการเงินของโลกตะวันตก" มาเป็นเครื่องมือในการทำสงครามเศรษฐกิจอย่างเต็มรูปแบบ
1
ทั้งนี้ เพราะตลาดการค้าของโลกตะวันตกมีขนาดประมาณ 70% ของเศรษฐกิจโลก และเป็นระบบหลักที่ควบคุมการไหลเวียนของการเงินโลกมากกว่า 90%
1
(1) ในเชิงการค้า ถ้ารัสเซียถูกตัดออกจากระบบดังกล่าว ก็จะเท่ากับว่า "ถูกปล่อยเกาะ" ให้รัสเซียต้องสู้ด้วยตัวเอง ผลิตสินค้า พัฒนาสินค้าต่างๆ โดยอาศัยรัสเซียและเพื่อนของรัสเซียเท่านั้น ไม่มีคนช่วยผลิต ไม่มีตลาดขนาดใหญ่มารองรับ
5
กลไกการแบ่งงานกันทำ กลไกการเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ที่เคยเป็นหัวใจหลักที่ช่วยยกระดับประสิทธิภาพให้กับระบบการผลิตของรัสเซีย จะถูกทำลายลงไปในพริบตา
1
หากจะเปรียบเทียบง่ายๆ ให้เห็นภาพ ถ้าเราเคยเปิดร้านก๋วยเตี๋ยว เอารายได้ไปซื้อของอื่นๆ มาใช้ มีความสุขในการใช้ชีวิต แต่วันหนึ่ง ทุกคนไม่ยอมมายุ่งกับเรา ต้องทำก๋วยเตี๋ยวกินเอง และผลิตทุกอย่างใช้เอง ตั้งแต่สบู่ ยาสีฟัน ขนม อาหารต่างๆ ... ประสิทธิภาพของการทำงานจะลดลงแค่ไหน และชีวิตจะลำบากขึ้นแค่ไหน
2
(2) ในเชิงการเงิน การถูกขับให้ออกจากระบบการเงินโลก ไม่ให้ใช้ระบบ SWIFT ไม่ให้ชำระเงินผ่านระบบธนาคารของสหรัฐและพันธมิตร การไม่ให้ระดมเงิน รวมไปถึงการ Freeze สินทรัพย์ทุกอย่าง เป็นการตัดเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจรัสเซียออกไป
2
ทั้งหมดเพื่อให้เกิด Financial System Meltdown ในรัสเซีย
1
ไม่น่าแปลกใจ ผลที่ตามมา ค่าเงินรัสเซียอ่อนลงไปครึ่ง จาก 70 เป็น 130 รูเบิล/ดอลลาร์ คนรัสเซียที่เคยลงทุนในตลาดหลักทรัพย์ของตน เงินหายไปอย่างน้อย 70-80% (จนถึงวันนี้ยังไม่สามารถเปิดตลาดหลักทรัพย์ได้) ธนาคารพาณิชย์ถูกแห่ถอนเงิน บริษัทหลายแห่งกำลังจะมีปัญหา
2
นอกจากนี้ สินทรัพย์ที่เกี่ยวข้องกับรัสเซียที่ซื้อขายในตลาดต่างประเทศ (ETF ต่างๆ) ถูกระงับการซื้อขาย พันธบัตรรัสเซียถูก Downgrade จนเป็น Non-investment grade หรือ Junk Bonds และต่อไปคงไม่สามารถชำระหนี้ได้
1
ล่าสุด การไล่ล่าทางการเงิน กำลังจะไปถึงการประกาศห้ามไม่ให้ค้าขายทองคำกับรัสเซีย ที่รัสเซียได้สะสมเอาไว้มากกว่าแสนล้านดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่ผ่านมา
1
(3) สุดท้าย สหรัฐและ NATO มุ่งจะตัดรัสเซียออกจาก "ระบบนวัตกรรมโลก"
เรื่องนี้ แม้ดูว่าไม่น่ามีผลมากในระยะสั้น แต่ในระยะยาวเท่ากับว่า กีดกันให้รัสเซียต้องไปคิดค้นทุกอย่างเอง ไม่ให้ใช้เทคโนโลยีที่โลกตะวันตกร่วมกันพัฒนา
โดยเฉพาะเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ การทหาร การบิน การเดินเรือ และดิจิทัล
ในประเด็นนี้ การพัฒนานวัตกรรมมีต้นทุนสูงมาก การช่วยกันพัฒนาคนละส่วน จะช่วยให้ทุกคนก้าวไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว
2
การที่รัสเซียต้องอยู่ในห้อง Lab คนเดียว คิดอยู่คนเดียวจะทำให้ การคิดค้นสิ่งต่างๆ ของรัสเซียช้าลงมาก และจะส่งผลต่อระดับอานุภาพของยุทโธปกรณ์ที่รัสเซียคิดค้น และต่อการพัฒนาสินค้าใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจของรัสเซียด้วย
1
ทั้งหมดนี้ เรียกได้ว่า จะรุกฆาต เอากันให้จนมุม
1
หลายคนถามว่า ทำไปทำไม เป้าหมายจริงๆ คืออะไร
คำตอบ "บั่นทอนเศรษฐกิจของรัสเซีย"
ที่ทำเช่นนี้ก็เพราะ "ความเข็มแข็งของประเทศในเชิงเศรษฐกิจ คือพิ้นฐานสำคัญของความเข้มแข็งเชิงการทหาร"
2
ถ้าเศรษฐกิจของรัสเซียอ่อนแอ สุดท้ายรัสเซียก็จะไม่มีเงินมาพัฒนากองทัพ ไม่สามารถแข่งขันทันกับสหรัฐและพันธมิตร NATO ได้
คิดว่า สหรัฐและ NATO คงมีภาพ GDP รัสเซียหลังการผนวกไครเมีย อยู่ในใจ
ก่อนเหตุการณ์ดังกล่าว รัสเซียมีขนาดเศรษฐกิจประมาณ 2.29 ล้านล้านดอลลาร์ แต่หลังจากนั้น 5 ปีให้หลัง ขนาดเศรษฐกิจรัสเซียลดลงมาเหลือเพียง 1.69 ล้านล้านดอลลาร์ ลดลงมา 1/4
2
อัตราการเจิญเติบโตที่เคยสูงถึง 7-8% ลดลงมาเหลือแค่ 2-3% ผิดจากปกติของประเทศเกิดใหม่
ทั้งหมดทำให้ รัสเซียที่เป็นมหาอำนาจทางการทหาร กลายเป็นประเทศเล็กๆ เชิงเศรษฐกิจ ที่มีขนาดเพียง 1/10 ของสหรัฐ หรือเท่ากับรัฐ Texas เท่านั้น
1
ล่าสุดจากค่าเงินที่อ่อนลงครึ่งในสองสัปดาห์ ทำให้ขนาดของรัสเซียในรูปดอลลาร์ได้ลดลงเหลือเพียงเท่ากับรัฐ Ohio หรือรัฐ Georgia เท่านั้น
1
อย่างที่บอกไปข้างต้น เมื่อเงินน้อย โอกาสการพัฒนาแสนยานุภาพก็จะจำกัด
แล้วนัยยะคืออะไร
หากเป้าหมายของสหรัฐและ NATO คือ "การบั่นทอนรัสเซียและเศรษฐกิจรัสเซีย"
ทั้งหมดหมายความว่า แม้สงครามรัสเซีย-ยูเครนจบลง การ Sanctions จะยังคงอยู่อีกนาน เพื่อให้สงครามรัสเซีย-ยูเครนกลายเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ที่จะปรับ Balance of Power ของโลก ใน 10-20 ปีให้หลังต่อไป
1
สงครามเศรษฐกิจกับรัสเซียจะมีความยาวนานกว่าที่ทุกคนคิด
2
ผลกระทบต่อน้ำมัน ราคาสินค้าโภคภัณฑ์ต่างๆ ก็จะยาวนานกว่าที่คิดเช่นกัน
3
ดังนั้น การที่เราจะเตรียมรับผลพวงจากความขัดแย้งของพญาหมีขาวกับพญาอินทรีและพวก ก็คงต้องเตรียมการยาวเช่นกัน
หมายความว่า ทุกคนก็จะต้องรับผลจากสงครามครั้งนี้ กันพอสมควร
4
ที่เห็นชัดๆ ก็ราคาน้ำมัน ราคาอาหาร เงินเฟ้อ ก่อนที่จะลุกลามไปอย่างอื่น
ตามที่คนโบราณพูด "ช้างสารชนกัน หญ้าแพรกแหลกลาญ"
2
ที่น่ากังวลใจก็คือ ช่วงที่ผ่านมา สหรัฐและ NATO ต่างไม่ลดละในการออกมาตรการ ยิ่งเห็นความย่อยยับของเศรษฐกิจรัสเซีย ก็เร่งออกมาตรการใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เร่งปิดช่องโหว่ต่างๆ
พยายามช่วยกันพัฒนายกระดับการใช้ "ระบบการค้าและระบบเงินของฝั่งโลกตะวันตก" ให้เป็น "นิวเคลียร์เศรษฐกิจ" ที่รุนแรงมากขึ้น
1
แต่ถ้าต้อนจนเขา "จนมุมเกินไป" สิ่งที่ย้อนสะท้อนกลับมา ก็อาจจะเกินคาดได้เช่นกัน เพราะรัสเซียเองก็ยังมีหมัดเด็ดๆ อีกหลายหมัด ที่ออกมาตอบโต้ได้ โดยถือว่า "ประเทศที่ Sanctions รัสเซีย" มีค่าเท่ากับ "ประกาศสงครามกับรัสเซีย"
เมื่อตอบโต้กันไปมา ก็อาจจะลุกลาม ใหญ่โต เสียหายทุกฝ่าย
ได้แต่หวังว่า จะไม่มีอะไรที่ไม่คาดฝันเกิดขึ้น
1
ผู้เขียน : กอบศักดิ์ ภูตระกูล
▶️ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
โฆษณา