14 มี.ค. 2022 เวลา 15:21 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⭐ สรุป Oppday HL Q4/2021 ⭐ : รายได้ 303 ลบ. เติบโต 13% และทำกำไรได้ 22 ลบ. เติบโต 70% เนื่องจากสินค้าอาหารเสริมขายดี และมีแผนการขยายเพิ่มอีก 10 สาขาในปีนี้
Published: 11 Mar 2022
สวัสดีครับวันนี้พบกับ บริษัท เฮลท์ลีด จำกัด (มหาชน) หรือใช้ตัวย่อในตลาดว่า HL ซึ่งประกอบธุรกิจหลักร้ายขายยาและสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยผลการดำเนินงานในปี 2021 สามารถสร้างรายได้ 1,216 ลบ. เพิ่มขึ้น 13% และทำกำไรได้ 80 ลบ. เพิ่มขึ้่น 53%
🚩1. ลักษณะธุรกิจ
✔ ประกอบธุรกิจลงทุนในบริษัทอื่นโดยถือหุ้น 100% ใน ICARE HEALTH ซึ่งประกอบธุรกิจร้านขายยา และถือหุ้น 100% ใน Healthiness ซึ่งเป็นบริษัทวิจัยและจัดจำหน่ายสินค้าเพื่อสุขภาพ
✔ ICARE HEALTH ประกอบธุรกิจร้านขายยาซึ่ง จำหน่ายยา เวชภัณฑ์ เวชสำอาง สินค้าอาหารเสริม อุปกรณ์การแพทย์ และสินค้าเพื่อสุขภาพ โดยปัจจุบัน ทีร้านขายยาในเครือทั้งหมด 4 แบรนด์ คือ “iCare” “Pharmax” “vitaminclub” และ “Super Drug” ซึ่งมีจำนวนสาขาทั้งหมด 26 สาขา
▪ iCare 10 สาขา โดยเน้นเปิดตามชุมชน
▪ Pharmax 12 สาขา โดยเน้นเปิดตามใจกลางเมือง
▪ Vitaminclub 3 สาขา โดยเน้นเปิดตามห้างสรรพสินค้า
▪ Super Drug 1 สาขา ซึ่งเป็นร้านขายยาราคาส่ง
✔ Healthiness ประกอบธุรกิจคิดค้นและจำหน่ายอาหารเสริมภายใต้แบรนด์ “PRIME” นอกจากนี้ยังจำหน้ายสินค้าฆ่าเชื้อ สลายกลิ่น หน้ากาก ภายใต้แบรนด์ “Besuto” โดยขายผ่านหน้าร้านค้าปลีกและช่องทางออนไลน์
✔ บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากอาหารเสริมและอุปกรณ์การแพทย์ถึง 87%
▪ ยาและอาหารเสริม 69%
▪ อุปกรณ์การแพทย์และของใช้ในบ้าน 18%
▪ สินค้าสุขภาพสำหรับภายนอกร่างกาย 9%
▪ สินค้าบริโภค 4%
✔ และมีช่องทางการขายหลักมาจากร้านค้าปลีกถึง 99%
▪ ช่องทางขายปลีก 99%
▪ ช่องทางการส่ง 1%
◼️ภาพรวมอุตสาหกรรม◼️
✔ มูลค่าตลาดยาทั้งหมด 148,500 ลบ. โดย 20% เป็นตลาด Over-the counter drugs (OTC) ซึ่งมีมูลค่า 35,500 ลบ. โดยปัจจุบันมีร้านขายยาทั้งหมด 16,800 ร้าน
✔ ตลาดวิตามินและอาหารเสริม ปี 2020 มีมูลค่า 66,800 ลบ. และคาดว่าเติบโตมากในปี 2021 ที่ผ่านมา
✔ การแข่งขันตลาดยาในอุตสาหกรรมถือว่ามีผู้เล่นหลายราย และถ้าไม่นับร้านค้าปลีกยารายย่อย ถือว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมไม่ได้มีขนาดที่ต่างกันมาก
🚩2. ภาพรวมและผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
◼️ภาพรวมปี 2021◼️
✔ รายได้รวม 1,261 ลบ. เติบโต 13% โดยยอดขายหลักมาจากกลุ่มยาและอาหารเสริมเติบโต 9% และกลุ่มอุปกรณ์การแพทย์และของใช้ในบ้านเติบโต 27% โดยมาจากการแพร่ระบาดของโควิดทำให้่ทำให้มีความต้องการอาหารทางการแพทย์ เครื่องมือและวัสดุอุปกรณ์ทางการแพทย์เพื่อใช้ภายในบ้านมากขึ้น ส่วนรายได้อื่นโต 10% ซึ่งมีอัตราการเติบโตที่ลดลงจากการกิจกรรม Event ลดลง
✔ GPM เพิ่มขึ้นเป็น 1ppt (Percentage Point) 23% มาจากกลุ่มยาและอาหารเสริมยอดขายเพิ่ม และ Healthiness ขายดีซึ่งสินค้ากลุ่มนี้มี GPM 39% และมียอดขายเติบโตถึง 88% ทำให้ GPM ในภาพรวมปรับเพิ่มสูงขึ้น และ ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขาย (SG&A to Sales)
SG&AtoSale เพิ่มขึ้นมา 0.7ppt เป็น 5.5% โดยค่าใช้จ่าบเกี่ยวกับการขายจะเป็นค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับพนักงานขายและค่าเช่า และค่าใช้จ่ายในการบริหารหลักค่าพนักงานส่วนกลาง นอกจากนี้บริษัทยังบันทึกค่าใช้จ่ายในการ IPO 6 ลบ. ไว้ในค่าใช้จ่ายในการบริหาร
✔ ต้นทุนทางการเงิน 5 ลบ. ซึ่งลดลง 23% จากปีก่อนและเหลือเงินกู้ที่ต้องคืนสถาบันการเงิน 4 ลบ. ทำให้กำไรได้ 80 ลบ. เพิ่มขึ้่น 53% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (NPM) ที่ 6.5%
✔ บริษัทมี Same-Store Sale Growth (SSSG) อยู่ที่ 15% ในปี 2021 และ ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิลที่ 551 บาท
▪ Q1: SSSG -15% และมี ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิล = 504 บาท
▪ Q2: SSSG +27% และมี ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิล = 540 บาท
▪ Q3: SSSG +47% และมี ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิล = 609 บาท
▪ Q4: SSSG +8% และมี ยอดใช้จ่ายเฉลี่ยต่อบิล = 542 บาท
.
◼️ภาพรวมปี Q4/2021◼️
✔ รายได้ 303 ลบ. เติบโต 13% และทำกำไรได้ 22 ลบ. เติบโต 70% เนื่องจากสินค้าอาหารเสริมขายดี
🚩3. แผนงานในอนาคตและการเติบโต
✔ แผนขยายเปิด 10 สาขาโดยเซ็นสัญญา 7 สาขา เป็นสาขาที่อยู่ในกทม.ทั้งหมดเนื่องจากตลาดยา 45% อยู่ใน กทม.
🚩4. ข้อมูลอื่นๆ จาก Section Q&A
◼️การเติบโต◼️
✔ บริษัทอาจจะมีการออกสินค้า House Brand ในอนาคต
✔ การเปิดสาขาที่มากขึ้นจะพิจารณในเรื่องคุณภาพของทำเลมาก และโดยปกติใน 1 สาขาจะมีเภสัช 1-2 คน ซึ่งตอนนี้กำลังบริหารโดยเอาเภสัชคนที่ 2 ไปดูแลสาขาใหม่ ทำให้ Break Even Point ได้เร็วมาก โดยแผนที่เปิด 10 สาขา คาดว่าจะกระทบกับงบกำไรขาดทุนไม่มาก โดยคากว่าปีนี้ผลการเติบโตจะค่อนข้างดีทั้งสาขาใหม่และเก่า
✔ ตั้งเป้า SSSG เพิ่ม Double-Digit โดยธุรกิจยาเป็นธุรกิจที่ต้องสะสมลูกค้าทำให้ SSSG เติบโต และเราเก็บข้อมูลฐานสมาชิกใหม่และตอนนี้มีสมาชิก 140,000 คน
✔ ที่ผ่านมายอดขายเฉลี่ยต่อบิลเติบโตจากการเลือกสินค้าให้เหมาะสมกับร้าน
✔ ระบบใหม่ที่บริหารจัดการสาขาอยู่บน Clound ทำให้ไม่มีปัญหาในการรองรับสาขาที่จะเพิ่มขึ้น โดยปี 2022 ตั้งเป้ามี 36 สาขาและปีต่อไปตั้งเป้าไว้ 49 สาขา
✔ สาเหตุที่ไม่ขยายสาขาให้เยอะกว่านี้ คือ ติดเรืองการพัฒนาคนในปัจจุบัน และบริษัทเน้นเรื่องคุณภาพเป็นหลัก และ Break Even Point ของสาขาต้องเร็ว
✔ Q1/2022 กำลังจะเปิดสาขาแรก ส่วนสาขาอื่นจะเปิด Q2/2022 เป็นต้นไป โดย Break even Point จะอยู่ในช่วง 6 เดือน ถึง 1 ปี และแตกคนจากสาขาเดิมเข้าไปสาขาใหม่
✔ SSSG เดือน 1, 2 ที่ผ่านมา อยู่ที 22% และ 38% ตามลำดับ
1
◼️อื่นๆ◼️
✔ GPM ยาเพิ่มขึ้นจาก 20.4% เป็น 21.8% เนื่องจากสินค้า PRIME เติบโต 88% ส่วนมาก margin ยาจะไม่สูง โดยเดือน 12 ปี 2020 อาหารเสริมขายดีมาก ขายไป 5 ลบ.
✔ GPM เทียบกับเจ้าอื่น ถ้าเป็นร้านยาในห้าง GPM จะสูงส่วนและจะขายยาที่ไม่ต้องซื้อต่อเนื่อง ส่วนยาหน้ารพ. จะเน้นยาไม่แพง และเน้นยาที่ต้องซื้อต่อเนื่อง ส่วนราคาของ HL ที่ขายเป็นราคาที่แข่งขันได้ เนื่องจากซื้อด้วยปริมาณเยอะทำให้รักษา GPM ได้
✔ คาด GPM ที่เพิ่มขึ้นจะมาจากการยอดขาย Healthiness ซึ่งคาดยอดขายจะเติบโตเกือบเท่าตัว
✔ ช่วงสามปีที่แล้วมีเรื่องของการปรับปรุงระบบ จึงต้องปิดสาขาเพื่อให้เขากับแบรนด์ใหม่และ Performasnce ของสาขาเติบโตได้ยาก นอกจากนี้ครบอายุสัญญา ดังนั้นสาขาใหม่จะเลือกทำเลค่อนข้างดีจาก Database ที่มีอยู่และมีกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน และทำสัญญาค่าเช่าระยะยาว
✔ สาขาเอกมัยปิดเรื่องข้อจำกัดของพื้นที่เก็บสินค้าและที่จอดรถ
✔ มีมาตรการลงทุนในสินทรัพย์ความเสี่ยงต่ำสำหรับเงินฝากธนาคารและเงินฝากทางการเงิน 705 ลบ.
✔ ค่าใช้จ่ายใน IPO 6.1 ลบ. บันทึกใน Q3/2021 3.5 ลบ. และที่เหลือบันทึกใน Q4/2021
✔ ประเด็นของ CRC เข้ามาทำธุรกิจร้านขายยาไม่ค่อยกังวล เนื่องจากเป็นลูกค้าคนละกลุ่มโดย CRC เน้นวิตามินและ Beauty เป็นหลัก
✔ สถานการณ์เงินเฟ้อในตลาดยังไม่มีผลกับต้นทุนยา แต่ถ้ามีบริษัทวางแผนจะปรับราคายาตามต้นทุนใหม่
✔ สินค้ายาซื้อขายตามช่องทาง E-Commerce ไม่ได้ และเป็นไปได้ยาก เพราะกฎหมายบอกว่าการขายยาต้องมีสถานที่และห้ามโฆษณา
✔ การแก้กฎหมายในการขายยาในร้านสะดวกซื้อมองว่าเป็นไปได้ยาก โดยต่างประเทศยาก็ไม่สามารถมีวางขายทั่วไปได้
✔ ผู้บริหารมองภาพในอีก 5-10 ปีข้างหน้า คือ เราจะเป็นร้านยาส่วนนึงของชุมชน และเนื่องจากมีผู้สูงอายุเยอะ ทำให้ความต้องการกลุ่มยาโรคเรื้อรังค่อนข้างเยอะตาม และจะผลักดันสินค้า Healtiness ออกสู่ตลาดมากขึ้น และจะมองเป้าหมายไปที่ต่างประเทศ โดยที่ผ่านมาเราเริ่มต้นจากการไปประกวดชิงรางวัลในต่างประเทศเพื่อให้เป็นที่รู้จัก
✔ ปัจจุบันมีสมาชิก 140,000 มียอดขายเฉลี่ยต่อสมาชิก ประมาณ 500 กว่าบาท
✔ การสำรองสินค้าจะสำรองไว้ตามนโยบายตามจำนวนสินค้าที่เคลื่อนไหวช้า
💡 Key Takeaways
▪ ที่ผ่านมายอดขายของบริษัทเติบโตดีมากเนื่องจากได้ประโยชน์จากสถานโควิดที่รุนแรงแต่ความร้ายแรงของโรคลดลง ทำให้สามารถซื้อยาและพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านได้ ประกอบกับเตียงของโรงพยาบาลเต็ม นอกจากนี้ร้านยายังได้ประโยชน์จากที่โควิดประกาศเป็นโรคประจำถิ่นทำให้คนอาจจะมาซื้อยาที่ร้านยากันมากขึ้น
▪ นอกจากนี้การรักษาโควิดแบบ OPD ทำได้จริงๆไม่กี่รพ. ซึ่งโดยเฉพาะรพ.เอกชนถ้าเป็นผู้ป่วยโควิดส่วนมากต้องเป็นการรักษาแบบ IPD เท่านั้นไม่ว่าจะอาการหนักหรือไม่หนัก ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่คาดว่าน่าจะทำให้ร้านยาได้ประโยชน์เช่นกันครับ
▪ ในปี 2021 บริษัทมีการบันทึกค่าใช้จ่ายในการทำ IPO 6 ลบ. ซึ่งปี 2022 จะไม่มีค่าใช้จ่ายตรงนี้แล้ว ส่วนสิ่งที่ต้องประมาณการคือ ยอดเฉลี่ยต่อบิลบริษัทสามารถรักษาให้อยู่ในระดับนี้ได้ไหม และสถานการณ์โควิดเริ่มซาอาหารเสริมและวิตามินยังขายดีอยู่ไหม แต่กลับกันถ้ามองว่าช่วงโควิดขายดีและวิตามินและอาหารเสริมคนต้องใช้ต่อเนื่อง ก็จะมีผู้บริโภคกลุ่มนึงที่จะซื้อต่อเนื่องเช่นกันครับ
▪ ปีนี้ขยายสาขาอีก 10 สาขาจากเดิม 26 สาขา คิดเป็นการเพิ่มขึ้นของสาขาใหม่ 38% และจำนวนสาขาที่เปิดในปีนี้เพิ่มจะไปรับรู้รายได้ปีหน้าอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย และอ้างอิงจากที่บริษัทบอกว่าใช้เวลา Break-Even 6-12 เดือน เพราะฉะนั้นปีหน้าน่าจะเห็นการเพิ่มขึ้นของกำไรอย่างมีนัยสำคัญ
▪ เรื่องขยายสาขาร้านขายยา แอดเข้าใจว่าน่าจะยากกว่าเมื่อเทียบกับการขยายร้านค้าปลีกทั่วไปค่อนข้างมาก เนื่องจากติดเรื่องของบุคลากรที่ต้องพัฒนา และร้านค้าปลีกทั่วไปเอาพนักงานผ่านการอบรมไปขาย แต่ร้านขายยาต้องเป็นเภสัชเท่านั้น ทำให้แอดคิดว่าการ Scale จำนวนสาขาจะไม่หวือหวาเท่าร้านค้าปลีกอื่นๆที่เราเห็นกันในตลาด
ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ 😄
ถ้าชอบการสรุปของแอดก็ขอกด Like กด Share เป็นกำลังใจให้แอดหน่อยนะครับ 😽
สามารถฟัง Oppday ตัวเต็มได้ที่ ▶️
#OpportunityDay #OppdayQ42021 #HL
โฆษณา