15 มี.ค. 2022 เวลา 10:57 • หนังสือ
ค ว า ม ห ม า ย ข อ ง ชี วิ ต
จุ ด เ ริ่ ม ต้ น ก า ร เ ดิ น ท า ง
หลายคนอาจจะกำลังครุ่นคิดหาคำตอบของ ชีวิต ที่ แท้จริง คนเราต้องการ
สิ่งใด? เพื่ออะไร? เพื่อใคร?
ผมนั่งอยู่บนโต๊ะทำงานส่วนตัวในออฟฟิศของบริษัท ที่เหมือน Safe Zone อีกหนึ่งแห่งในชีวิต เป็นห้องทำงานเงียบๆ ฟังเพลงเบาๆ วันที่งานหลายๆอย่างไม่ค่อยโถมเข้ามาในหัว ความคิดบางอย่างมันจึงผุดขึ้นมาบนหัวเกี่ยวกับเรื่องพักผ่อน ผ่อนคลาย รวมไปถึงการท่องเที่ยว และการใช้ชีวิต หลายๆอย่างที่ผ่านมา อยู่ๆคำถามนั้นจึงเด้งขึ้นมาในหัวว่า เรามีชีวิตนี้เพื่อสิ่งใด? เราไขว่คว้าสิ่งเหล่านี้เพื่อสิ่งใด?
เมื่อไม่นานมานี้ ผมได้มีโอกาสอ่านบทความตามเพจของ Fackbook ต่างๆที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว พักผ่อน จากนั้นจึงได้ว่างแผนการเดินทางไป ณ สถานที่แห่งหนึ่ง ซึ่งมีจุดประสงค์ และเป้าหมายว่า อยากจะพาร่างกาย สมอง และจิตใจของตัวเอง ไปพักผ่อนสักครั้ง ซึ่งสถานที่ที่จะไปนั้น เราได้คุยกันว่า "อยากจะให้เป็นธรรมชาติ" เพราะเคยได้ยินว่าร่างกายเราจะพักผ่อนได้ดี หากมีธรรมชาติบำบัด เปรียบเหมือนคอมพิวเตอร์ ที่ได้ Refresh ใหม่เสมอ เราใช้เวลาร่วมเดือน ในการวางแผน เก็บเงิน หาวันหยุด และเครียงานต่างๆ จนเสร็จสิ้น.
ในช่วงเย็น ของวันหนึ่ง ดวงตะวันเริ่มหลี่แสงลง ท้องฟ้าในยามเย็นวันนั้น ก็เริ่มจะมืดลงทุกที เหมือนกองไฟที่กำลังจะมอดดับ บรรยากาศของเมืองหลวงที่ชื่อว่า กรุงเทพฯ ร้อนระอุเหมือนไม่เคยมีหน้าหนาวมาก่อน เราได้เตรียมของใช้ต่างๆ เช่นไดเป่าผม เครื่องรีดผม อุปกรณ์อาบน้ำ เสื้อผ้า และรองเท้าผ้าใบ ใส่กระเป๋าเป้ใบใหญ่ สีน้ำตาล เนื้อผ้าหนา บรรจุสัมภาระเต็มอัตรา ราวกับจะย้ายบ้าน ไปอยู่สักสองสัปดาห์ เดินมาหน้าปากซอย อพาร์ตเม้นต์ โบกแท็กซี่ นั่งไปขึ้นรถไฟเพื่อเดินทาง
บรรยากาศในช่วงเวลา 18.00 น. ของการเริ่มต้นการเดินทาง รถแท็กซี่ที่เราโดยสารไปขึ้นรถไฟได้จอดติดไฟแดงอยู่พักใหญ่ ทำให้ความคิดชั่วขณะ ผุดขึ้นมาในหัวของผมว่า คนเรานั้น เกิดมาชั่วชีวิตคนคนหนึ่งนั้น ต้องทำงานขนาดนี้เลยหรอ เกิดมาเพื่อทำประโยชน์ให้กับคนอื่น ที่เป็นเจ้าของสิ่งๆหนึ่งที่เรียกกันว่า "เงินเดือน" ขนาดนี้เลยหรอ.........
เวลา 18.20 น. เราได้เดินทางมาถึงสถานีรถไฟแห่งหนึ่ง เป็นสถานีเล็กๆ อยู่ริมถนน ใจกลางเมือง ที่ฝั่งหนึ่งคือรางรถไฟ และอีกฝั่งเป็นถนนใหญ่
มีรถยนต์น้อย ใหญ่ หลายคันจอดติดไฟแดงเป็นขบวน ค่อยๆไหลไปข้างหน้าแบบช้าๆ บนสถานีรถไฟเล็กๆแห่งนี้ มีหลายชีวิตที่นั่งรอรถไฟขบวนนี้ เพื่อให้มันพาพวกเราไปส่งยังปลายทางสถานีต่างๆ เราใช้เวลาครึ่งชั่วโมงในการนั่งรอรถไฟขบวนนี้ และในที่สุดเจ้ารถไฟขบวนนี้มันก็วิ่งมาด้วยความเร็ว และค่อยๆชะลอช้าลงเรื่อยๆ เพื่อหยุดขบวนให้ตรงบริเวณหน้าสถานี
 
เวลา 18.50 น. เราเดินขึ้นไปยังรถไฟที่จอดอยู่ต่อหน้า เป็นรถไฟสีขาว ตัดกับสีชมภู ตั๋วเป็นรถไฟตู้นอนชั้น 2 ขบวนที่ 9 ด่วนพิเศษ ที่นั่งที่ 13 และ14
บรรยากาศภายในตู้รถไฟ นอกจากเราที่ตั้งใจเดินทางไปพักผ่อนกับธรรมชาติแล้ว ยังมีอีกหลายๆ คนที่เดินทางไปยังจุดหมายปลายทางเดียวกัน คือ "เชียงใหม่"
จุดชมวิว เมืองเชียงใหม่
อย่างที่ใครหลายคนรู้กันดีอยู่แล้วว่า เชียงใหม่ คือหนึ่งในจังหวัดที่อยู่ในใจของนักเดินทางมากมายหลายตา หลายถิ่นฐาน หลายเชื้อชาติ ที่บอกต่อๆ กันว่า "ต้องมาเยือนสักครั้งในชีวิต" อันที่จริงผมไม่อยากเรียกตัวเองว่านักเดินทางสักเท่าไร เพราะยังไม่ได้มีโอกาสท่องโลกอะไรขนาดนั้น แต่พอมีเวลาก็พยายามเอาตัวเองออกไปสูดอากาศบริสุทธิ์ ให้ร่างกายได้รับ O-Zone อยู่บ่อยๆ
ดังนั้น ผมจึงไม่พลาดที่จะไปเยือน จังหวัดเชียงใหม่ ในครั้งนี้
ความสบายใจที่แท้จริง ต้องมาคู่กับความว่างเปล่า
วอดเดอร์ เป้
ค ว า ม สุ ข ค ว า ม ว่ า ง เ ป ล่ า
เวลา 04.35 น. ผมตื่นจากการนอนพักผ่อนร่างกาย บนที่นอนยางพารา ที่ถูกปูอยู่ทับบนที่นั่งในรถไฟอย่างเรียบง่ายโดยพนักงาน สองข้างทางยังคงมืดสนิท ไม่มีแสงไฟ และไร้ซึ่งตึก หรือ โรงงานใดๆ เหมือนในเมืองกรุง มีเพียงเงาดำมืดจากต้นไม้ใบหญ้าที่ขึ้นปกคลุมบนเนินดิน และทิวเขาที่วางอยู่เรียงรายตามข้างทาง ถึงแม้จะยังไม่ได้ลงจากตู้รถไฟ แต่ก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่ดูบริสุทธิ์ และอบอุ่นในขณะเดียวกัน ทำให้ผมละสายตาจากเงาที่เห็นอยู่ตรงหน้าแทบไม่ได้เลยไม่นานนัก ความคิดก็ผุดขึ้นมาในหัวแว๊บนึงว่า
 
"นี้แหละ คือความสุข"
เวลา 05.30 น. เผลอแป๊บเดียว เวลาก็คลืบคลานมาสู่ช่วงเช้าที่แท้จริงของวัน
ท้องฟ้าที่มืดมนเริ่มมีแสงสีแดงส้ม สว่างขึ้นบนพื้นหลังสีดำ มองดูแล้วเหมือนภาพวาดในหนังสือนิทานวัยเด็ก ทำให้ผมครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งว่า "ที่ผ่านมา เรามัวทำอะไรอยู่ ทำไม่เราถึงไม่เคยเดินทางมาหาความสุข ที่โลกใบนี้มอบให้เราตั้งแต่แรกพบ" เป็นบรรยากาศที่ยิงดู ยิ่งชวนหลงไหล ไม่มีตึกรามบ้านช่องที่สวยหรูไม่มีร้านอาหาร หรือสวนดอกไม้ที่ดูแพง ไม่มีสิ่งอำนวยความสะดวกที่ทันสมัย
มีเพียง ธรรมชาติที่จริงใจ ที่พร้อมจะมอบให้กับตัวเราร้อยเปอร์เซ็นต์
ในที่สุดเราได้เดินทางมาถึงสถานี เชียงใหม่ ในช่วงเช้าเวลา 07.15 น. ทุกคนที่ร่วมเดินทางมาบนรถไฟเดียวกับเรา ร้วนแต่มีสีหน้าที่มีความสุข และพร้อมที่จะท่องเที่ยว เพื่อหามุมมอง และความสุข ในแบบของตัวเอง
มีหมู่บ้านแห่งนึงซึ่งไกลจากตัวเมืองเชียงใหม่ราวๆ 45 กิโลเมตร หรือใช้เวลาขับรถประมาณ 60 นาทีโดยเฉลี่ย และอยู่ห่างจากแม่กำปองประมาณ 22.5 กม.
เป็นหมู่บ้านเล็กๆที่ไม่ค่อยมีคนสัญจรมากนักเหมาะกับนักเดินทางที่ชอบความสงบ ส่วนตัว ไม่วุ่นวาย หรือ สายแคมป์ที่มีโลกส่วนตัวสูง ผมเลือกที่นี่เป็นจุดเริ่มต้นของการเดินทาง ค้นหาคำตอบของชีวิต
ป า ง ไ ฮ
หมู่บ้านเล็กๆ ที่ไม่ค่อยคุ้นหูสำหรับใครหลายๆคน รวมถึงตัวผมเอง แต่พอได้ค้นหาชื่อที่พักสายธรรมชาติสุดฟินก็ต้องมี ปางไฮ ติดหนึ่งในนั้น
การเดินทางมาที่ ปางไฮ สำหรับเราคราวนี้ไม่ได้ตั้งใจมากางเต้นท์ ตั้งแคมป์กองไฟใดๆ มีเพียงกระเป๋าใส่เสื้อผ้าหนึ่งใบกับใจ ที่ตั้งใจพาร่างกายมาพักผ่อน เราเลยเลือกที่นอนเป็นโฮมเสตรย์ติดลำธาร เป็นธารไหลของสายน้ำตก เทพเสด็จ เป็นน้ำตกประจำหมู่บ้านที่ไหลผ่านบ้านเรือนของชาวบ้านตลอดสาย มาถึงที่พักไม่นาน เนื้องจากไม่อยากให้เวลานั้นเสียเปล่า ผมเคยได้เห็นในบทความที่ผ่านตามาบ้างว่า ปางไฮ คือหมู่บ้านที่ทำกาแฟอร่อยที่สุดใน เชียงใหม่
เราขับมอเตอร์ไซต์ออกจากหมู่บ้านเพื่อไปหาร้านกาแฟไกล้ที่พัก และลองชิมรสชาติของเมล็ดกาแฟสดใหม่ดูว่า ที่นี่จะสมคำล่ำลือหรือป่าว พอขับรถไปเรื่อยๆ ชมวิวทิวทัศน์ และต้นไม้ข้างทาง เราสังเกตุเห็น สัจจธรรม คือ ความสุข คือสิ่งที่เราสร้างเอง
เราปล่อยเวลาให้สายตาได้พักผ่อนกับบรรยากาศข้างทางได้ในระยะหนึ่ง ก็ได้มองไปเห็นป้ายร้านข้างเขียนบนป้ายไม้กลมๆว่า แฟเมี่ยงคาเฟ่ เป็นร้านกาแฟริมข้างทางที่มีบรรยากาศท่ามกลางป่าและหุบเขา ในวันนั้นรู้สึกเหมือนตัวเองโชคดีราวกับถูกรางวัลใหญ่ เพราะในร้านไม่มีใครนอกเรา เสียงนกร้องดังมาจากบนยอดไม้เบาๆเจี๊ยวจ้าว พร้อมกับเสียงดนตรีจากบาร์คอฟฟี่ที่ทางร้านเปิดทำให้ผมแทบจะหลับไหลในธรรมชาติที่เงียบสงบ อยู่ๆเสียงในหัวผุดดังก้องขึ้นมาชั่วขณะ
"นี่หรือ คือการพักผ่อน" เรานั่งจิบกาแฟผ่อนคลายกันอยู่พักใหญ่ท่ามกลางบรรยากาศลมหนาว ที่ไม่มีแสงแดดจากพระอาทิตย์ลงมากระทบร่างกาย ให้คลายหนาวได้เลยในช่วงเวลานั้นของวัน พอเริ่มสายผู้คนก็หลั่งไหลเขามาสั่งกาแฟนั่งเล่น บางก็คุยงานกันอย่างใจเย็น พอดูเวลาบนมือถือ ก็พบว่าถึงเวลาที่ต้องเดินทางต่อ
เราควบรถมอเตอร์ไซต์ขนาด 125 ซีซี วิ่งต่อไปยังจุดหมายถัดไปที่เชื่อว่า หากใครมาปางไฮต้องไปชมบรรยากาศของธรรมชาติจุดนี้ให้ได้ นั้นก็คือ น้ำตกเทพเสด็จ เพราะน้ำตกแห่งนี้ถือว่าเป็นต้นน้ำที่คอยหล่อเลี้ยงวิถีชีวิตของชาวบ้านปางไฮ ไม่ว่าจะเป็นลำธาร ต้นไม้ ผืนป่า สัตว์ป่าธรรมชาติ รวมถึงกาแฟที่เราได้ดืมกันล้วนแต่ได้รับน้ำจากสายน้ำแห่งนี้ น้ำตกเทพเสด็จเป็นต้นน้ำที่ปล่อยสายน้ำเป็นลำธารไหลเข้าผ่านมายังน้ำตกตาดหมอง เป็นน้ำตกขนาดเล็ก รองลงมาจากน้ำตกเทพเสด็จ ซึ่งเข้าไปถึงได้ไม่ยาก จอดรถไว้ข้างทางแล้วเดินลงไปยังจุดหมายได้เลย โดยที่จะไม่เกิดอันตราย ขนาดที่จอดรถไว้บนถนน มองลงไปยังเห็นน้ำตกแห่งนี้
แม้ว่าน้ำตกเทพเสด็จจะเป็นน้ำตกสำคัญมากของหมู่บ้านปางไฮ แต่ใช่ว่าทุกคนจะเข้าไปถึงได้ง่าย เพราะทางเขานั้นจะมีป้ายชื่อน้ำตกเล็กๆเขียนว่า น้ำตกเทพเสด็จ แต่ระหว่างทางเดินเข้าไปต้องเดินด้วยเท้าเท่านั้น เพราะถนนหนทางด้านในส่วนใหญ่คือผืนป่าที่ชุ่มชื้นด้วยไอหมอกที่เกิดจากต้นไม้ใหญ่รอบๆ และเป็นทางที่เปลี่ยว ไร้ซึ่งผู้คนสัญจร ช่วงเวลาที่เราเดินทางไปถึงก็เป็นช่วงเวลาบ่ายแก่ๆของวันแล้ว เวลานี้ในเมืองอาจจะมีแสงแดดสาดส่องลงมากระทบร่างกายแบบร้อนระอุ แต่ไม่ใช่กับผืนป่าแห่งนี้ ยิ่งบ่ายยิ่งรู้สึกเปลี่ยว ยิ่งพบค่ำยิ่งรู้สึกน่ากลัว เราคุยกันว่าเอายังไงดี เพราะทั้งสองคนเพิ่งเคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก และไม่มีคนนำทาง หลังจากที่ปรึกษากันก็ได้ย้อนรถขึ้นไปในหมู่บ้านซึ่งไม่ไกลจากปากทางเข้าน้ำตก และได้ทำเด็กผู้ชายกลุ่มนึ่งเพื่อตอกย้ำความแน่ใจว่าใช่ทางเข้าน้ำตกหรือไม่ ซึ่งได้คำตอบมาชัดเจนว่า "ใช่" แต่ก็ไม่ได้เข้าไปอีก
เพราะความไม่แน่ใจบางอย่างเลยทำให้เราตัดสินใจล้มเลิกภารกิจนี้ และขับรถขึ้นไปยังวัดแห่งหนึ่งตามคำบอกเล่าจากพี่สาวที่อยู่โฮมสเตรย์ว่า หากใครได้มาที่นี่ ก็อยากจะให้ขึ้นไปไหว้พระบนนั้นสักครั้ง เพื่อความเป็นศิริมงคลของตัวเอง
เป็นวัดที่อยู่สูงเหนือหมู่บ้านไปอีกระยะหนึ่งชือวัด ตาดเหมียวณาราม เป็นวัดทรงล้านนาโบราณ วัสดุภายในทำด้วยไม้สักทั้งหลัง วาดด้วยลวดลายที่สวดงาม สไตล์ลานนาโบราณ ภายในโบสถ์มีพระประธานองค์ใหญ่ที่แกะด้วยไม้ใหญ่ทั้งองค์ ส่วนด้านนอกมีวิหารกลางแจ้งที่บ้านป้ายเขียนว่า เจ้าพ่อทันใจ เป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ นั่งสมาธิ อยู่บนวิหาร รอบวิหารตกแต่งด้วยบ่อปลาคราฟ รอบๆ เราได้ขึ้นไปไหว้พระขอพรก่อนจะกลับลงมา
โฆษณา