16 มี.ค. 2022 เวลา 12:47 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
ข้อคิดจากหนัง The Adam Project (2022) “พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ที่เจ็บได้ร้องไห้เป็นเช่นเดียวกัน”
บางครั้งลูกก็จำเป็นต้องรู้ว่า พ่อแม่ก็รู้สึกสูญเสียเป็นเหมือนกัน
The Adam Project (2022)
เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นในโลกอนาคต (ปี 2050)
เมื่อนักบินผู้มีนามว่า “อดัม”
ได้ก่อเหตุขโมยยานซึ่งสามารถย้อนเวลาได้
โดยอดัมตั้งใจใช้ยานลำนี้เพื่อตามหาคนรักที่หายตัวไป
(เธอหายตัวไปในระหว่างการทำภารกิจย้อนเวลากลับไปในปี 2018)
แต่การขโมยยานไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
เพราะอดัมถูกตามล่าทันที แล้วด้วยความทุลักทุเลในการหลบหนี
แทนที่อดัมจะได้กลับไปในปีที่คนรักหายสาบสูญ
แต่เค้าดันมาโผล่ในปี 2022 ซะอย่างงั้น
(มาเจอกับตัวเองตอนอายุ 12 และพึ่งสูญเสียพ่อไปได้ไม่นาน)
การร่วมมือกันระหว่างอดัมตอนเด็กและตอนโตจึงเริ่มขึ้น
“เพื่อหาทางย้อนเวลากลับไป และไขปริศนาการสาบสูญของคนรักให้ได้”
(รับชมได้ทาง Netflix ^^)
สำหรับผมแล้ว
จริง ๆ นี่คือหนังเกี่ยวกับความสัมพันธ์ในครอบครัว
ซึ่งมีเปลือกนอกเป็นหนังย้อนเวลาและหนังตลกครับ
(หน้าหนังโคตรหลอกเลยก็ว่าได้ 5555)
จุดสำคัญในหนังเรื่องนี้
มีประเด็นทางจิตวิทยาที่น่าสนใจมากเลยครับ เช่น
-ความสูญเสียในครอบครัว
-การปรับตัวเมื่อเผชิญกับความสูญเสีย
-การปิดบังความรู้สึกและความต้องการที่แท้จริง
-การสื่อสารความรู้สึกและความต้องการในครอบครัว
แล้วด้วยลูกเล่นของการย้อนเวลาในหนัง
มันเลยมีการนำบทเรียนจากตอนโตกลับมาบอกตัวเองในวัยเด็ก
มีการได้รับรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตนเองในวัยเด็ก (ที่หลงลืมไป)
และมีการสื่อสารความในใจที่ไม่มีโอกาสได้บอกกัน
“เพื่อสร้างความเข้าใจ และเยียวยาความสัมพันธ์”
ความยอดเยี่ยมของหนังเรื่องนี้ คือ
บทจะตลกก็เล่นเอาหัวเราะจนท้องแข็ง
บทจะดราม่าก็เล่นเอาน้ำตาร่วงกันเลยทีเดียว (ผมก็ไม่รอดครับ 555555)
แล้วหลาย ๆ บทสนทนาในหนัง
ที่เป็นการคลี่คลายเงื่อนปมในใจของตัวละคร
(ซึ่งทำให้ตัวละครเกิดการมูฟออน หรือ เข้าใจบางสิ่งอย่างถ่องแท้)
เช่น
-แม่ที่พยายามทำตัวให้ดูเข้มแข็ง (ทั้งที่ในใจโคตรปวดร้าวจากการสูญเสียสามี)
-ลูกที่บังคับตนเองให้โกรธพ่อซึ่งตายจากไป (ทั้งที่ในใจโคตรรักและคิดถึงพ่อ)
-พ่อซึ่งมีสิ่งที่อยากทำร่วมกับครอบครัวมากมาย (แต่ดันมาตายซะก่อน)
เป็นต้น
ผมขอบอกเลยครับว่า บทสนทนาเหล่านั้น
“มักเกิดขึ้นในกระบวนการปรึกษาเชิงจิตวิทยา/จิตบำบัด”
ซึ่งมันช่วยให้ผู้รับบริการกลับมาอยู่กับความจริง (ทั้งสุขและทุกข์)
มีโอกาสเข้าใจตนเองและผู้อื่นมากยิ่งขึ้น
รวมทั้งได้พัฒนาทักษะในการสื่อสารและแก้ปัญหาในครอบครัวอีกด้วย
อย่างในภาพประกอบบทความนี้
(ถัดจากตรงนี้มีสปอยล์นิดนึงครับ
ใครไม่อยากรู้ข้ามไปก่อนนะครับ 5555)
เป็นฉากที่แม่ของอดัมกำลังนั่งดื่มแล้วบ่นถึงปัญหาชีวิตตนเองอยู่
อดัมตอนโตที่ย้อนเวลากลับมา
จึงหาโอกาสไปนั่งในบาร์นั้น
เพื่อรับฟังเรื่องราวต่าง ๆ และให้กำลังใจแม่ด้วยเลย
(เนื่องจากรู้ตัวว่า ตอนเป็นเด็กทำอะไรแสบ ๆ กับแม่ไว้เยอะ
แล้วแม่ก็ไม่ทันสังเกตด้วยว่า ไอ้หมอนี่คือลูกของตนเองตอนโต)
อดัมตอนโตก็เลยชวนแม่คุยประมาณว่า
“บางครั้งลูกก็อาจจำเป็นต้องรู้นะครับ ว่า
พ่อแม่ก็รู้สึกไม่ไหวเป็นเหมือนกัน...ไม่ไหวก็คือไม่ไหว...ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ช็อตนี้เกี่ยวกับการปรับตัวมาก ๆ ครับ
เนื่องจากความรู้สึกสูญเสียมันทำให้คนเราเสียศูนย์ได้
(พ่อแม่ก็เป็นมนุษย์ที่เจ็บได้ร้องไห้เป็นเช่นเดียวกัน)
แล้วถ้าพ่อแม่พยายามทำเหมือนกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
ทำนองว่า “ฉันสบายดี ฉันโอเค ฉันเข้มแข็ง คนตายก็ตายไปแล้ว คนอยู่ก็อยู่ต่อไปสิ”
(แต่ในหัวใจกลับร้าวรานและเจ็บปวดสุด ๆ)
ลูก ๆ ก็มีแนวโน้มที่จะทำตัวเลียนแบบพ่อแม่
ก็คือ ซ่อนความรู้สึกสูญเสียไว้ในส่วนลึกของหัวใจ
แล้วกัดฟันใช้ชีวิตต่อไปให้เป็นปกติ
(ปัญหาทางความรู้สึกและการปรับตัวจะตามมาจากตรงนี้ล่ะครับ)
ซึ่งมันเป็นเรื่องของการต้อนรับความรู้สึกที่เกิดขึ้นตามความจริง
โดยไม่พยายามผลักไส หลบซ่อน ละเลย หรือ เก็บกดเอาไว้
แล้วหาทางเข้าใจ เยียวยา หรือหาความช่วยเหลือ
เพื่อสะสางความรู้สึกที่ยังคงกัดกินหัวใจนี้
“ความทุกข์ใจไม่สร้างปัญหา การไม่อยากทุกข์ใจสร้างปัญหา”
ถ้ามันจะรู้สึกเจ็บปวด มันก็ต้องเจ็บปวดเป็นธรรมดา
เนื่องจากกระบวนการทางใจเหล่านี้
ล้วนทำงานอย่างเป็นธรรมชาติ
เพื่อแสดงถึงสิ่งที่จิตใจเป็นอยู่ในขณะนั้น
(การต่อต้านความทุกข์ใจ ล้วนตอกย้ำความทุกข์ใจให้เพิ่มพูนยิ่งขึ้น)
แทนที่เราจะมัวต่อต้านฤดูกาลแห่งความทุกข์ใจ
เรายังสามารถต้อนรับฤดูกาลเหล่านั้นได้อีกด้วย
“ต่อให้เราเกลียดฤดูฝนแค่ไหน เราก็ต้องเจอมันอยู่ดี”
แทนที่เราจะเอาแต่ด่าฟ้าฝน
เรายังสามารถต้อนรับมันด้วยการกางร่มหรือหาที่หลบ
ชีวิตจึงเป็นเช่นนี้เอง มีทุกฤดูกาล มีทุกรสชาติ มีทุกความผันแปร
(ถึงเวลาเจอ มันก็ต้องเจอ ถึงเวลาพลัดพราก มันก็ต้องพลัดพราก
ถึงเวลาสุขใจ มันก็ต้องสุขใจ ถึงเวลาทุกข์ใจ มันก็ต้องทุกข์ใจ)
เมื่อเราต้อนรับความเป็นไปของชีวิตได้เช่นนี้
เราก็จะค่อย ๆ เข้าใจความจริงอย่างรอบด้าน
แล้วหาทางอยู่ร่วมกับสิ่งต่าง ๆ
โดยไม่ต่อต้านความจริงของชีวิต ^^
โฆษณา