17 มี.ค. 2022 เวลา 12:30 • การศึกษา
รีวิวสอบ IELTS 03/03/2022 และวิธีเตรียมตัว (Band 7)
.
.
วันนี้จะมารีวิวข้อสอบ IELTS แบบละเอียดและรายละเอียดที่สอบนิดหน่อยแต่ไม่ลงลึกว่า IELTS คืออะไรเพราะมีคนรีวิวเยอะมากแล้ว ที่เราเพิ่งไปสอบมาเราเลือกสอบกับ British Council เพราะมันมีพวกแบบแบบฝึกหัดฟรีของ GEL IELTS และก็มี Live class เป็น EXPERT IELTS TEACHER ทุกวันวันละ 2 คลาส คลาสนึงประมาณ 40 นาที ให้เรียนฟรี ทำฟรี มีเยอะอยู่พอสมควร ซึ่งคนที่เลือกสอบแบบ UKVI หรือเป็นนักเรียนของ British Council ยังไงก็ได้อันนี้ฟรีอยู่แล้ว ส่วนคนเลือกสอบ IELTS แบบปกติเหมือนเท่าที่เคยเช็คก็เป็นโปรให้ฟรีอยู่ถ้าสมัครช่วงเดือน ก.พ. กับช่วง มี.ค ส่วนถ้าสมัครกับ IDP เราไม่รู้รายละเอียดว่าเค้ามีให้เหมือนกันมั้ย แต่ยังไงก็ต้องมีเล่ม Cambridge
.
.
ฝึกทำข้อสอบอยู่ดีนะ ไม่แนะนำให้พึ่ง GEL IELTS ทางเดียว คือมันเหมาะกับตอนที่เรามาเก็บตกรายละเอียด มาฝึก มาทวนสิ่งที่เราคิดว่ายังขาด ไม่เข้าใจไรก็ถามทาง Chat box ในหน้าเว็บไซต์ได้เลย (ภาษาอังกฤษล้วน) ซึ่งเราว่าอันนี้อ่ะดี เราชอบ คือเราได้รู้ลึก รู้จริง รอประมาณไม่เกิน 2 วันเค้าก็ตอบกลับ
.
ซึ่งตัวอย่างที่เราเคยถามเค้าว่า While กับ However มันใช้ต่างกันยังไง ในเมื่อความหมายก็เหมือนกัน แสดงสิ่งที่ขัดแย้ง ซึ่งเขาก็ตอบมาว่า While ใช้เปรียบเทียบของประเภทเดียวกัน “อย่างปริมาณคนว่างงานในอังกฤษเพิ่งสูงขึ้นแต่ในขณะที่ปริมาณคนว่างงานในไทยกลับต่ำลง” ถ้า However มันก็คล้าย While แต่มันจะมีรายละเอียดการใช้แสดงความขัดแย้งของ ความคิด ไม่ว่าจะเป็น Positive/ Negative อย่างเช่น “เธอคิดว่าปัญหาโลกร้อนจะทุเลาลงด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยแต่คนอื่นคิดว่ามันอาจจะแย่ลงเพราะยิ่งเรามีเทคโนโลยีล้ำหน้า มันก็ใช้ทรัพยากรมากขึ้น” ซึ่งตอนเรารู้ก็แบบ เหยยย นี่เราใช้ผิดมาโดยตลอดเลยรึ 5555 เพราะฉะนั้นอันนี้ควรระวังในส่วนถ้าเจอโจทย์พวกแสดงความคิดใน Writing Task 2
.
มาที่สถานที่สอบ
เราเลือกสอบแบบ IELTS UKVI แบบกระดาษ สอบที่โรงแรมแลนด์มาร์ค ชั้น 3 ที่เลือกแบบกระดาษเพราะมันมีเวลาย้ายคำตอบ IELTS Listening 10 นาทีซึ่งถ้าเป็นแบบคอมจะไม่มี และเราเคยลองสอบทดลองแบบคอมรู้สึกแบบไม่ถนัดเลยก็เลยเลือกแบบกระดาษ แต่พาร์ทคอมมันมีข้อดีตรงได้ผลสอบเร็วและพาร์ทอ่าน ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาเปิดพลิกไปพลิกไปพลิกมา(ข้อสอบเย็บมาเป็นเล่ม ดึงออกมาเป็นแผ่นไม่ได้ ผิดกฎ คือต้องเปิดไปเปิดมาอย่างเดียว) เพราะมันขึ้นโจทย์ด้านนึง และตัวเลือกไว้อีกด้านนึง กดลากก็ได้ Copy ก็ได้ ไฮไลท์ก็ได้ ถ้าใครยังไม่รู้ว่าตัวเองถนัดอันไหนก็ลองไปทดลองทำแบบคอมในเว็บ British Council ได้ มีให้ทำฟรีอยู่ ส่วน Paper ก็แนะนำ Cambridge ที่เป็นเล่มตัวเลข ใกล้เคียงข้อสอบสุดตอนนี้ก็เล่ม 16 ส่วน 1-8 มีฟรีในเน็ต ใครอยากลองอ่าน Reading ก็ได้ แต่ไม่แนะนำให้อิงตามมากเพราะมันเก่าเด้อออ
.
.
วันสอบก็ควรไปถึงไม่เกิน 7.30 น. เพราะจะต้องไปฝากของ ลงทะเบียน ถ่ายรูป พิมพ์รอยนิ้วมือ ค่อนข้างใช้เวลาอยู่ ตัว Copy บัตรประชาชนก็ใช้ในขั้นตอนนี้ ควรเข้าห้องน้ำก่อนเดินมาลงทะเบียนเพราะพอลงทะเบียนเสร็จเจ้าหน้าที่จะให้เข้าห้องสอบเลยไม่ให้เข้าห้องน้ำ ของที่เอาเข้าสอบก็มีบัตรปชช. กับน้ำที่เอาป้าย Label ออกเท่านั้น เครื่องเขียนไม่ต้องพกไป เขาให้ใช้ของเค้า นาฬิกาไม่ว่าประเภทไหนก็ห้ามเอาเข้า เพราะในห้องนางจะยิงโปรเจคเตอร์นาฬิกาตัวใหญ่เบิ้มอยู่กลางห้อง เห็นทั่วถึงแน่นอน
.
ห้องสอบจะเป็นห้องประชุมขนาดเล็ก นั่งโต๊ะละ 2 คน ของบนโต๊ะของแต่ละคนก็จะมีหูฟังที่เชื่อมกับลำโพงสี่เหลี่ยมสีดำ ปรับระดับเสียงได้ ดินสอ 1 แท่งกับยางลบครึ่งก้อน ดินสอเป็นแบบดินสอที่เปลี่ยนไส้ได้แบบตอนเด็กที่ทุกคนต้องมี ถ้าทู่ก็ดึงออกมาแล้วยัดอันที่ทู่ที่ตูดดินสอ ก็จะเจอไส้ที่แหลมอันใหม่ขึ้นมา ไอเราก็เพิ่งอ๋อตอนสอบเสร็จแล้ว ทนใช้ทู่ไปจนสอบเสร็จ อันนี้โง่เอง 5555 เข้าห้องสอบไปเจ้าหน้าที่ก็จะอธิบายกฏระเบียบใช้เวลาประมาณครึ่งชม. เริ่มสอบตอน 9.04 น. จบตอน 12.04 น.
.
สิ่งที่เราไม่ค่อยชอบในระหว่างการสอบในครั้งนี้คือเวลามันไม่ได้นับถอยหลัง และมันก็ไม่ใช่เลขที่ลง 0 พอดี ต้องมานั่งคำนวณเวลาเอง คือเวลาทำฟังข้อสอบพาร์ทฟังแต่ละพาร์ทเสร็จมันจะมีเวลาในการเชคคำตอบแต่ละพาร์ทและก็เวลา Tranfer คำตอบอีก 10 นาที ไอตัวเลขนาฬิกาคือก็ต้องบวกเอาเองว่าจะจบเมื่อไหร่ แนะนำว่าให้เขียนเวลาที่คาดว่าจะครบลงในข้อสอบเลย กันลืม
.
พาร์ท Listening โจทย์ 40 ข้อ ก็คล้ายกับ Cambridge น่ะแหละ มีเพิ่มพาร์ทที่เป็น Choices โดยเฉพาะพาร์ท 4 Listening มีเปลี่ยน 3 ข้อหลังเป็น Choices 4 ตัวเลือก ก็ควรจะต้องอ่านโจทย์ให้เร็ว หา Keyword และก็คิด Synonym ไปด้วยเพราะ Choices เค้าไม่บอกอะไรเราตรง เค้าจะพูดสิ่งที่อยู่ในตัวเลือกทุกข้อบางทีก็เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา จะพูดก่อนหน้า อดีต ปัจจุบัน พูดถึงความคิดบุคคลอื่น ก็ต้องดูว่าโจทย์เค้าถามอันไหน อย่าแบบได้ยินปุ๊ปตอบเลยก็คือแบบจบเห่เลย และก็ระวังเรื่องเติม s หรือไม่เติม สังเกตจากรูปประโยคก่อนและก็ฟังให้ได้ยินว่ามันเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์ เพราะบางทีรูปประโยคก็ไม่สอดคล้องกับเสียงที่เราได้ยินเสมอไป ง่ายๆก็คือพาร์ทฟังก็อิงจากที่ฟังเป็นหลัก
พาร์ท Reading 3 พาร์ท ต้องขอบอกว่ายากกว่า Cambridge ทุกเล่มที่เคยทำมา 5555 โจทย์ขยายความยาวมากขึ้น มีความซับซ้อนและต้องการถ่วงเวลาคนสอบมากขึ้น เพราะปกติพาร์ท 1 Reading จะง่ายเสมอจากการทำโจทย์ Cambridge ตั้งแต่เล่ม13-16 และ Reading ชีทอื่นอีกนับไม่ถ้วน และเจอคำถาม T F NG ทุกพาร์ทและเยอะทุกพาร์ท
ซึ่งขอบอกเลยว่าอันนี้เป็นจุดที่เราอ่อนและมีปัญหาในการทำมากที่สุดมาโดยตลอด บางทีอ่านแล้วเก็ทแต่พอเจอโจทย์ก็เอ๊ะมันจะ False หรือ Not givenเอ่ย สับสนไปหมด5555 และระวังเรื่องโจทย์บางทีนางเป็น Yes No Not given ก็อย่าไปเขียนเป็น T F NG สำคัญคือสติอ่านโจทย์ดีๆก่อนและก็ทวนตำตอบทุกข้อก่อนหมดเวลาด้วยอันนี้สำคัญมาก โจทย์ที่ได้ของเราที่จำได้ก็คือ Fashion Industry กับ ไดโนเสาร์บินได้
.
พาร์ท Writing เราได้ Task 1 กราฟ เป็นเปอร์เซ็นต์ของคนที่เข้าถึง Resources 4 ประเภทได้แก่ทีวี อินเทอร์เน็ต วิทยุ หนังสือพิมพ์ ในประเทศนึงตั้งแต่ 1995-2025 กับ Task 2 Discuss both views และ ให้ความเห็นตัวเองเรื่อง ว่าเราควรโฟกัสการทำรีเสร์ชทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับ World Heath Problems ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งคิดว่ามันมีหัวข้ออื่นอีกที่สำคัญกว่าที่เราควรโฟกัสมากกว่า
.
.
แนะนำว่าให้เขียน Task 2 ก่อน เพราะมันใช้คิดเป็นคะแนน 66% ของคะแนน Writing ทั้งหมด ควรให้ความสำคัญกับอันนี้มากกว่า (อันนี้รู้จาก GEL IELTS) ก็ควรมีองค์ประกอบให้ครบ
ระวังเรื่องกระดาษ Essays ดูสีกับคำให้ดี อย่าเขียนTask 1,2 สลับกัน ไม่ได้คะแนนเน่อ และเรื่องการเขียนพิมพ์ใหญ่หมด บางคนอาจคิดว่าก็ตัดเรื่องผิดการเขียนพิมพ์เล็กพิมพ์ใหญ่ผิด แต่พอมานั่งเขียนพิมพ์ใหญ่หมดในเวลาสอบจริงมันช้ากว่าตัวพิมพ์เล็ก กลายเป็นเขียนไม่ทันแทน เพราะในชีวิตจริงคนส่วนใหญ่เขียนพิมพ์เล็ก ก็ควรระวังๆ ควรซ้อมจากบ้านมาก่อนว่าถ้าจะเขียนพิมพ์ใหญ่หมดแล้วเขียนทัน ไม่ใช่มาลองในห้องสอบครั้งแรกก็ไม่ได้นะ อะไรที่คิดว่าจะทำครั้งแรกในห้องสอบควรหยุดความคิดนั้น คือเวลาสอบมันคือไม่ใช่เวลาที่เราต้องมานั่งทดลอง Tip เทคนิคต่างๆเป็นครั้งแรก คือทุกอย่างที่อย่างทำควรฝึกทุกอย่างมาจากบ้าน
Intro
- Paraphrase
- Overview
- Opinion
.
Body 1
Topic sentence 1
Explain
Example
 
ทุกอย่างต้องเขียน Support กับ Topic sentence 1
Body 2
Topic sentence 2
Explain
Example
 
ทุกอย่างต้องเขียน Support กับ Topic sentence 2
Conclusion
- Opinion
ไม่ควรมี New Ideas งอกมาในส่วนของสรุป เพราะมันจะไม่ Make sense หากเราพูดถึงหัวข้ออื่นที่เราไม่ได้กล่าวไว้ใน Body
ส่วน Task 1 เราแนะนำว่าเขียน Body ก่อน แล้วค่อยเขียน Intro แบบเว้นไปเลยหน้าแรก และมาเขียน Body หน้าหลัง ไม่งั้นมันเสียเวลาเรื่องการมาลงดีเทล Task 1 ไม่จำเป็นต้องเขียน Conclusion
.
เวลาเขียน Writing เขียนเว้นบรรทัดจะได้แก้ง่าย กระดาษขอเพิ่มได้ไม่ต้องกลัวไม่พอ แต่ข้อเสียคือเสียเวลาตรงมานั่งกรอกรายละเอียดเกี่ยวกับตัวเองขณะที่พี่เจ้าหน้าที่เค้าจะยืนให้เรากรอกรายละเอียดตรงกระดาษแผ่นใหม่เดี๋ยวนั้นเลย เพราะจะมีช่องใส่จำนวนกระดาษว่าที่เราเขียนมีทั้งหมดกี่แผ่น เค้าก็กลัวเรากรอกช่องนั้นผิดแหละมั้ง ซึ่งเราว่ามันไม่ค่อยแฟร์กับการที่เราเสียทุกวินาทีที่เสียไปในการเขียน Writing ต่อ คือมันสะดุด ซึ่งในห้องสอบทุกวินาทีมีค่ามากนะ เพราะกระดาษตอนแรกเค้าแจกเค้าจะให้เราเขียนก่อนจับเวลาสอบ ซึ่งส่วนตัวเราว่าเขาควรมีกระดาษสำรองไว้ให้แต่ละคนที่โต๊ะอยู่แล้วอีก 1 แผ่นก่อนจับเวลาแล้วก็ให้เขียนรายละเอียดตัวเราก่อนจับเวลาด้วยกันไปเลย ค่าสอบตั้งเกือบ 8000 จะวางกระดาษสำรองสักแผ่นนึงไม่ได้เลยหรอ เป็นงง55555
.
พาร์ท Speaking ของเรารอบ 18.20 น. ซึ่งค่อนข้างรอนานพอสมควร(สอบ Listening Reading Writing เสร็จตั้งแต่ตอน 12.04 น.) เราเลยกลับบ้านก่อนแล้วค่อยมาที่รร.ใหม่ เพราะพื้นที่นั่งรอสอบ Speaking ค่อนข้างมีจำกัด กลัวโควิดด้วยไรด้วย เรากลับมาที่รร.ถึงตอน 17.00 น. ก็นั่งรอไปจนเค้าเรียกลงทะเบียนอีกรอบ ก็เหมือนกับครึ่งเช้า ถ่ายรูป ลงทะเบียน รอบนี้ลงทะเบียนรอคิวไม่นาน เพราะคนส่วนมากทยอยสอบ Speaking ไปเกือบหมดแล้ว
.
.
คิวเราได้เร็วก่อนเวลา รู้สึกเค้าจะเรียกเข้าห้องตอน 17.40 น. Examiner จะเป็นคนเปิดประตูออกมาเรียกเราเอง พอเข้าไปห้องค่อนข้างกว้าง บรรยากาศไม่อึดอัด ที่นั่งกรรมการกับเราอยู่ห่างกันพอสมควร น่าจะประมาณ 2 เมตร มีฉากกั้นตรงกลาง ซึ่งแนะนำว่าให้ยื่นตัวไปสุดตอนฟังกรรมการพูด เพราะกรรมการเค้าพูดค่อนข้างเบา คือมีทั้งแมสก์ มีทั้งฉาก ระยะห่าง คือบางทีคำถามท่อนนี้เราได้ยิน อีกท่อนอะไรหว่า เรามีสิทธิ์ขอให้เค้าพูดซ้ำได้นะ ถ้าเราไม่ได้ยิน
.
คำถามที่เจอ ช่วงแรกก็คำถามทั่วไป เราเป็นนักเรียนหรือว่าทำงาน ถ้าไม่ใช่ทั้งคู่ อย่างตอนเราสอบ เรายังว่างงานอยู่ เราก็บอกเค้าถึงงานก่อนหน้าและตอนนี้ก็วางแผนเตรียมต่อโท แล้วเค้าก็ให้เราอธิบายถึงงานก่อนหน้าที่เราทำ ลูกค้าแสดงออกถึงการขอบคุณเราตอนปฏิบัติหน้าที่ยังไง เรารู้สึกยังไงตอนนั้น และคิดว่าจะกลับไปทำงานที่เคยทำอยู่มั้ย แล้วก็ถามเรื่องสี สีที่ชอบ ทำไมชอบ สีตอนเด็กกับสีตอนนี้ที่ชอบต่างกันมั้ย ทำไม
.
ช่วงที่ 2 ให้เราอธิบายถึงตอนที่เราต้องทำตัว Friendly กับคนที่เราไม่ชอบ เค้าคือใคร ทำไมไม่ชอบ และทำไมเราต้องทำตัวอย่างนั้น พูด 2 นาที เตรียมตัว 1 นาที เค้าจะให้เราเอาดินสอจากรอบเช้าเข้าไป และเค้าจะมีกระดาษให้ นาทีต้องปั้นน้ำเป็นตัว เรื่องที่พูดไม่จำเป็นต้องพูดความจริงจากชีวิต 100% นะ ใส่สีตีไข่เข้าไป ให้มันดูมีเรื่องราว ให้มีรายละเอียดที่เราสามารถพูดต่อไปได้เรื่อยๆ หากเรายังพูดไม่จบและเราหยุดกรรมการมอง เราก็ต้องพูดต่อ ไหลไปค่ะ ไหลไปเรื่อยๆจนเค้าบอกให้เราหยุด 55555 คิดว่ามานั่งเมาท์ให้เพื่อนฟัง จะได้ไม่กดดัน กรรมการเค้าไม่หักคะแนนจากการที่เราพูดเยอะนะ
.
ช่วงที่ 3 ก็ยังคงถามเรื่อง Friendly แต่เป็นในเชิงมุมมองกว้างๆ พูดถึงสังคมว่าทำไมคนในสังคมต้องทำตัว friendly และทำไมเค้าถึงทำตัว Friendly เฉพาะต่อหน้าและลับหลังไม่ใช่อย่างนั้น มัน Positive/ Negative ยังไง คิดว่า Friendly กับ Politeness เหมือนกันมั้ย ให้อธิบายตอนที่ต้องทำตัว Politeness กับคนกลุ่มไหน ทำไมต้องทำอย่างนั้น
ผลออกช่วง 10 โมงเป็นเมลมาเลยบอกรายละเอียดเลข Tracking ผลสอบที่จะมาส่งให้เรา 1 ฉบับ เป็นตัวจริง
ซึ่งเราได้ Listening 8.0/ Reading 7.0/ Writing 6.0/ Speaking 6.0 Total Band 7.0 ผลสอบฉบับจริง เราสามารถขอทาง British council ได้อีก 5 ฉบับภายในระยะ 2 ปี
.
.
การฝึกทำข้อสอบ
เราฝึกทำข้อสอบที่สถาบันที่เราเรียน ทำตั้งแต่เล่ม Cambridge 13-16 (ที่สถาบันมี Cambridge ครบทุกเล่ม)
เล่ม 1-8 มีให้โหลดฟรีตามอินเทอร์เน็ต พิมพ์ตรงตัวหาได้เลยไม่ต้องเสียเงินซื้อ แต่รูปแบบคำถามจะไม่อัพเดต ถ้าเอาไว้ฝึกพาร์ท Reading อ่ะพอได้ แนะนำให้ฝึกทำข้อสอบเล่ม 8-16 เวลาฝึกทำข้อสอบควรฝึกแบบเหมือนสนามสอบจริงเป๊ะๆ แบบเรียงไปเลย 4 ทักษะรวดเดียว ไม่มีเบรก อย่าทำแบบชิวไป กินขนมทำไป เพราะในสนามสอบจริง ไม่มีเวลาสักวิเดียวที่จะมานั่งชิวได้ บรรยากาศค่อนข้างกดดัน และเสียงเปิดกระดาษนี่ไม่มีใครเกรงใจใครกันเลย มันจะมีสิ่งที่จะรบกวนโฟกัสของเราเยอะมากๆ ในสนามสอบจริง
.
แนะนำ Dictionary
คืออันนี้คือสำคัญแบบมากๆๆๆ แล้วไม่ค่อยมีคนรีวิวเท่าไหร่ ทำให้เรา Struggle มากตอนเขียน Writing แบบเอ...แล้วฉันจะเชื่อพจนานุกรมอันไหนดี เราไม่ค่อยแนะนำใช้ Google translate นะ คือบางอย่าง Google แปลแบบไม่ได้เลย และบางทีก็บอกชนิดคำไม่ครอบคลุมทั้งหมด
คืออันนี้เราคัดมาแล้วว่าเวิร์คจริงๆ
- Oxford เราเช่าเป็นแอพมาไว้เลย 1 ปี 609 บาท (เราเตรียมสอบ IELTS 5 เดือน) ถ้าซื้อขาดรู้สึกจะประมาณ 2000 กว่า ความหมายเป๊ะเชื่อถือได้ มีบอกรูปอื่นของคำศัพท์ ตัวอย่างประโยค การออกเสียง แต่ข้อเสียคือไม่มีบอก Synonym/Antonym
- Cambridge อันนี้เปิดเว็บเอา ฟรี คำศัพท์ใกล้เคียงกับ Oxford
- Thesaurus อันนี้เราก็ใช้บ่อยในการหา Synonym แต่ Context อะไรงี้ไม่มีลงรายละเอียด บางอย่างก็แปลแปลกๆ ซึ่งบางทีเราเอาไปใช้ ศัพท์ก็ผิดบริบทในงานเขียนได้ ต้องระวัง แนะนำ macmillanthesaurus ดีกว่า เพราะมันบอกบริบทมาด้วย
- https://www.macmillanthesaurus.com/establishment อันนี้ดีมากกกกกก อาจารย์ใน GEL IELTS แนะนำมา เค้าจะบอกถึง Collocation การใช้ศัพท์นั้นกับคำอื่นๆ
การเรียนรู้ศัพท์ของเรา เราจะจดคำศัพท์ที่เราเขียนใน ESSAYS แต่ละเรื่อง เอามาจัดหมวดหมู่แบบ BUSINESS, ENVIRONMENT, HUMAN,… แยกไว้ในสมุดอีกเล่ม และก็จะจดชนิดคำ คำเหมือน แตกเป็น MINDMAP ไว้ ซึ่งมันเวิร์คกว่าการมาเปิดหนังสือและท่องจำในความคิดเรา เพราะเราเคยซื้อหนังสือคำศัพท์ที่แยกจัดหมวดหมู่ไว้ให้เรียบร้อย มานั่งอ่านเอง ส่วนตัวมันไม่เวิร์คกับเราอย่างแรง คือเราเรียนรู้จากการทำ จากการใช้ ไม่ใช่จากการมานั่งกวาดตามองแล้วพยายามจำเข้าสมองให้มากที่สุด
เวลาเชคความหมายของศัพท์ เราแนะนำให้เชคมากกว่า 1 Dictionary เพื่อความชัวร์ ตอนแรกๆมันจะช้าๆหน่อย ต้องทำใจ เพราะบางคำเราแปลแบบทุก Dic ที่กล่าวไปเพื่อหาวิธีการใช้ที่ถูกบริบท
เว็บดูการออกเสียง
ซึ่งที่เรียนของเราแนะนำมา (English parks) ที่อยากรีวิวอันนี้เพราะคนไม่ค่อยให้ความสำคัญกับสิ่งนี้เท่าไหร่ ซึ่งการออกเสียงมันสำคัญมากในการที่ทำให้ผู้สอบได้คะแนนสูงๆในพาร์ท Speaking
เว็บนี้เว็บเดียวเอาอยู่ แล้วดีด้วย จะมีทั้งเสียงอ่านและคำอ่านให้เราฟังและดูประกอบ ซึ่งเราสามารถเลือกความเร็วของการพูด และเพศของคนพูดได้ด้วย เราสามารถพิมพ์ประโยคยาวๆต่อเนื่องกัน เพื่ออ่าน IPA (International Phonetic Alphabet) ได้ทั้งแบบ American และ British ซึ่งทั้ง 2 ชาตินี้จะมีบางพยัญชนะในบางตำแหน่งที่อ่านไม่เหมือนกัน อย่างถ้าเป็นเสียง /r/ ลงท้ายคำ แบบ Ame จะต้องม้วนลิ้นแต่แบบ British ไม่ต้องออกเสียง ซึ่งมันจะมีกฎรายละเอียดแบบยิบย่อยอีกเยอะ แต่ขอพูดสั้นๆของอันนี้ก่อน เช่น
motor /ˈməʊtə/ อันนี้เป็นแบบ British, ถ้าแบบ Ame จะเป็น motor /ˈmoʊtər/ เป็นต้น
อันนี้เป็นช่อง Youtube ชื่อ English language club
อันนี้เป็นช่อง Youtube ชื่อ Rachel’s English
ทั้ง 2 ช่องนี้ดีมากๆ ทั้งคู่ คือควรกดติดตามมากๆ Rare items เราใช้ทั้ง 2 ช่องฝึกพูดตามพร้อมๆกับเรียนทบทวนวิดีโอของที่เรียนในคลาส Pronunciation ไปด้วย ซึ่งเหมือนรื้อระบบการออกเสียงภาษาอังกฤษตั้งแต่เด็กยันโต การเรียนออกเสียงที่ถูกต้องคือต้องพูดออกมานะ ไม่ใช่นั่งคิด นั่งดูอย่างเดียว มันคือการเรียนฝึกออกเสียง มันก็ต้องเปล่งเสียงออกมา มันจะเหนื่อยมากๆเลยช่วงแรก และแบบคอแห้งมากๆ ต้องดื่มน้ำตลอด จำได้เลยว่าทุกครั้งที่ฝึก จะต้องดื่มน้ำเป็นลิตร ไม่งั้นตุยก่อน
.
ระบบปาก หลอดเสียง ลำคอเรามันติดกับภาษาไทย กล้ามเนื้อหลอดเสียงมันไม่ค่อยถูกฝึกให้ออกเสียงทางภาษาอังกฤษอย่างถูกต้องมาก่อน เพราะฉะนั้นก็เหมือนกับการออกกำลังกายให้หลอดเสียงของเราได้เรียนรู้ใหม่ เราต้องเลือกตั้งแต่แรกก่อนว่าเราจะอิงตาม Ame หรือ British ก็อย่างที่กล่าวไปข้างมันมีกฏในการออกเสียงหลายๆอย่างไม่เหมือนกัน เราเลือกแบบ British เพราะเราคิดว่ามัน Challenge ดี แล้วรู้สึกเป็นอะไรที่มันไม่คุ้นชินเท่า Ame เลยเลือก ซึ่งเรื่องสำเนียงแล้วแต่ความชอบแต่ละคนเลยว่าอยากฝึกแบบไหน เวลาฝึกก็คือยึดสำเนียงนั้นตลอดนะ
การฝึกพาร์ทฟัง
นอกจากเรียนที่ที่เรียนแล้ว เวลาว่าง ขับรถ อาบน้ำ ก่อนนอน เราชอบฟัง Podcast อันนี้คือลิสต์ทั้งหมดที่เราฟัง
- TED TALKS PODCAST
- ALL EARS ENGLISH
- 6 MINUTES VOCABULARY BBC อันนี้มีเป็นแอพ มีให้โหลดฟรี ในแอพจะมี Audio scripts และแบบฝึกหัด นิดๆหน่อยๆ
- 6 MINUTES ENGLISH
- คำนี้ดี PODCAST
ช่องที่เราฟังบ่อยสุดจะเป็น TED, ALL EARS, คำนี้ดี เพราะส่วนตัวเรารู้สึกว่ามันสนุกกว่าช่องอื่น แล้วเราชอบจริตของพิธีกรในช่องที่กล่าวมา คือวันไหนเอียนภาษาอังกฤษมากๆจะไปฟังคำนี้ดีแก้เลี่ยน การเลือกฟังช่อง Podcast อันนี้แล้วแต่เทสคนเลย เพราะสิ่งสำคัญในการฝึกคือควรเลือกฝึกจากสิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราสนใจ เพราะมันจะทำให้เราโฟกัสอยู่ในเรื่องเหล่านี้ได้นาน
ส่วนเวลาดูหนังหรือดูซีรี่ย์ อนิเมะใดๆก็ตามใน NETFLIX, HBO เราเปิด SUB ENG หมดเลย ตอนแรกก็รู้สึกไม่ชอบแหละสารภาพตามตรงเพราะดู SUB THAI มาตลอดชีวิต5555 แต่เรากลัวเสียตังค์เกือบ 8 พันแล้วได้คะแนนน้อย ความแพงของค่าสอบนี่แหละที่มันขับเคลื่อนเราให้ตัดใจ 5555 ซึ่งรู้สึกขอบคุณตัวเองมากๆๆๆๆๆๆ ตอนนี้คือติดดูหนังเป็น SUB ENG เกือบหมดเลย ซีรี่ย์ที่เราดูช่วงก่อนสอบ
- EUPHORIA
- ANNE WITH AN E
- ALIAS GRACE
- Misaeng
- ดาบพิฆาตอสูร
และมีอื่นๆอีกเยอะ แต่ลืมแล้ว 5555 คือการดูซับ Eng ไม่ได้หมายความว่าเรามานั่งแปล Dictionary ตลอดนะ เราเดาจากบริบทของตัวละครเอา มันก็รู้เรื่องนะเอาจริง แล้วก็ยังรู้สึกสนุนเหมือนกับดู SUB THAI นี่แหละ
การฝึกพาร์ทอ่าน
ส่วนเวลาว่างนอกเหนือจากนี้ เราชอบอ่านหนังสือ อ่านการ์ตูน อ่านข่าว บทความ เป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ก็เลือกสื่อที่เราชอบที่เสนอเป็นภาษาอังกฤษ นิยายภาษาอังกฤษ ค่อนข้างใช้เวลานานพอสมควรกว่าจะจบเล่ม ส่วนการ์ตูนเราว่าอ่านได้ทุกเพศทุกวัย ศัพท์ค่อนข้างจะง่าย เหมือนการ์ตูนส่วนใหญ่ศัพท์ก็ไม่ได้ Advance มาก เราจะอ่านเวลาแก้เบื่อ ส่วนพวกหนังสือนิยายจะชอบแปลศัพท์บ่อยเพราะมันไม่มีภาพ หรือบริบทของตัวละครให้ดูมากเท่าภาพยนตร์ ก็เลยต้องแปล
- LezhinComics แอพสีแดงรูปหมา
- Tappytoon แอพเป็นแมวใส่แว่นเขียว
ช่องการ์ตูนพวกนี้มีพวกการ์ตูนดังเยอะมากๆ ต้องซื้อเหรียญอ่านเหมือน Comico กับ Webtoon แต่ราคาค่อนข้างโหดกว่า
- BEING MISS NOBODY อันนี้เป็นนิยายที่อ่านก่อนสอบเป็น Young Adult
- THE HUMANS MATT HAIG ส่วนเล่มนี้เราชอบนักเขียนคนนี้เป็นทุนเดิมอยู่แล้วจากเรื่อง Midnight Library แล้วตัวนักเขียนแนะนำนิยายเล่มนี้ของเขาเองเลย เราเลยแบบสนใจ ศัพท์ค่อนข้างมีความ Advance ขึ้นมา เพราะตัวเอกของเรื่องเป็นศาสตราจารย์ทางด้านคณิตศาสตร์
.
- THE NEW YORKER อันนี้เป็นช่องสื่อข่าวที่เราชอบเป็นการส่วนตัว หลังจากทดลองอ่านพวก The Economist, BBC มาก่อน เลยเลือก THE NEW YORKER แทน เรา Subscript เป็นรายเดือน ประมาณเดือนละ 309 บาท รายปี 3,100 เราชอบคอนเทนด์ของเนื้อหาข่าว ชอบสไตล์การเขียนข่าว ชอบการดีไซน์หน้าตา การจัดเลย์เอาท์ของแอพลิเคชั่นแล้วข่าวเค้ามีหลายหัวข้อมาก ไม่ว่าจะเป็น Crime, Culture, Art, Global issue,...แล้วถ้าวันไหนขี้เกียจอ่าน บางบทความจะมีเสียงบรรยายไว้ให้ด้วย และเขาก็มีช่องPodcast ของตัวเองหลายประเภท ก็อยู่ในแอพ
เวลาฝึกทำข้อสอบ ควรจับเวลาจริงเหมือนการทำข้อสอบจริง 60 นาที 3 เรื่อง เรื่องละ 20 นาที ส่วนตัวเราว่าประเภทคำถามพาร์ทที่ยากที่สุดคือพวก T/F/NG เพราะมันมีความกำกวมหน่อยๆ ในส่วนของ Matching heading เราเจอในโจทย์ Fashion Industry คือค่อนข้างง่าย ไม่ซับซ้อนเท่าพวก T F NG แต่ถ้าผิดอันใดอันหนึ่งมันจะเป็น Domino เวลาเราซ้อมทำในส่วนนี้ เราจะอ่านแต่ละ Paragraph ด้วยความเร็วปกติและตีความกลับไปในรูปแบบที่เราเข้าใจเอง และค่อยไปดูว่าที่เราเข้าใจมันตรงกับคำตอบข้อไหน ซึ่งเราว่าวิธีนี้สำหรับเรามันเวิร์คกว่าการมานั่งอ่านคำตอบแล้วดูว่ามันจะไปสอดคล้องกับย่อหน้าไหน
การฝึกในส่วนพาร์ท Writing
ตรงตัวเลยก็คือการเขียน อยากเขียนได้ก็ต้องฝึกเขียนบ่อยๆ เพราะมันเป็นทักษะที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้ในชีวิตประจำวันมากเท่าทักษะอื่น การเขียนกับการพูดมันคือ Output ส่วนการฟังและการอ่านมันคือ Input ถ้าอยากใช้ภาษาดีก็ต้องอ่านควบคู่กับการฝึกเขียน เหมือนพวกหลักภาษาไทยเลย เวลานักเขียนอยากฝึกทักษะเขาก็ต้องอ่านเยอะมาก่อนถึงจะใช้ภาษาดี และข้อดีของการเขียนมันเป็นการช่วยเราให้เข้าใจเรื่องแกรมม่ามากขึ้นด้วย คือเราเพิ่งมาอ๋อกับพวกกฏแกรมม่าจริงๆ ก็ตอนเขียน Essays IELTS นี่แหละ ก่อนหน้าไม่เคยเขียนอะไรยาวๆแบบนี้มาก่อน ไม่เคยใช้ Linking ไม่เคยเขียนในเชิงวิชาการมาก่อนด้วย คือการฝึกแกรมม่าตั้งแต่เด็กยันโตของเราแต่ก่อนคือการอ่านหลักกฎของภาษาอังกฤษ เรามีตำราแกรมม่าเยอะมาก แบบฝึกเยอะมากซึ่งมีแต่พวกข้อกาที่เราทำ และมันเป็นวิธีที่ผิดมหันต์มาก และมันรั้งเราไม่ให้เข้าใจเรื่องแกรมม่าอย่างถ่องแท้มาโดยตลอด
.
ส่วนเรื่องที่ตรวจ Essays เราเขียนและส่งตรวจกับที่เรียนตลอด คือก่อนหน้าที่จะเรียนกับที่สถาบัน เราเคยเรียนออนไลน์ IELTS มาก่อน ไม่ใช่สอนสด เรียนของที่อื่น และเคยพยายามเขียนเองตรวจเองคือไม่รอดจ้า ไม่ได้เรื่องจริงๆ ซึ่งการเขียนมันสำคัญมากกกกกกกกกในการมีคนตรวจ ย้ำว่าสำคัญและควรเสียตังค์ลงทุน ก็เลยเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้เราเลือกเรียนกับสถาบัน เรียนสด มันเวิร์คมากสำหรับเรา
.
ที่เรียนให้ส่งเรียงความได้แบบไม่จำกัดจำนวนตลอดระยะเวลาก่อนสอบและมันฟรี ส่วนตัวเราว่าครูตรวจดีระดับปานกลาง แต่ถ้าช่วงไหนนักเรียนส่งตรวจเยอะๆ ครูอาจจะไม่ได้ลงดีเทลรายละเอียดกับ Essay แต่ละคนมาก แต่ก็สามารถถามหลังไมค์ได้ตลอด ครูและพี่เลี้ยงที่สถาบันที่เราเรียนมีความใส่ใจสูง ไม่ใช่แบบรับเงินไปแล้วจบ แต่คือเค้าตาม เค้าวิเคราะห์ตัวนักเรียนเป็นรายบุคคลว่าต้องฝึกต้องปรับด้านไหน ทวงการบ้านตลอด ซึ่งเราว่าดี รู้สึกตัดสินใจไม่ผิดที่เรียนที่นี่
.
นอกเหนือจากการตรวจที่สถาบัน เราเคยใช้บริการครูที่รับตรวจที่ Simon แนะนำมา ตรวจบทความละ 20 ปอนด์ ตอนนั้นเลือกไป 4 บทความ 80 ปอนด์ มีค่าธรรมเนียมโอนผ่าน Paypal อีก 6 ปอนด์เป็นเงินทั้งสิ้น 3727.47 บาท ตีเป็นเงินบาทตกบทความละประมาณ 900 กว่าบาท ตอนนั้นค่าเงิน 1 ปอนด์=43 บาท แต่ตรวจแบบระเอียดยิบ แบบยิบเลย ใช้เวลาตรวจไม่เกิน 3 วัน แล้วเขาตรวจแบบเป็นระบบมาก มีตารางบอกว่าทำไมเค้าให้ในคะแนนในส่วนนี้เท่านี้ และก็ลงลึกถึงแกรมม่าที่ใช้ผิดในรูปประโยค ไม่เข้าใจตรงไหนสามารถเมลถามได้ตลอด ยอมรับเลยว่าคุ้มค่าทึกบาททุกสตางค์ที่เสียไป ใครอยากดูบทความที่เราตรวจกับที่เรียนหรืออีกที่นึงสามารถหลังไมค์มาขอดูได้นะ เอาไปประกอบการตัดสินใจในการหาที่ตรวจ
มาพูดถึงเทคนิคในการอ่านหนังสือของเรา
คือเรามีปัญหากับการโฟกัสบางสิ่งนานๆ คือเราไม่สามารถที่จะมากางหนังสือในห้องเงียบๆแล้วซึบซับข้อมูลทั้งหมด คือมันโคตรไม่เวิร์คแบบมากๆๆๆๆๆๆๆๆ กับสมองเรา นอกจากจะจำอะไรไม่ค่อยรู้เรื่องแล้ว สมองไม่สามารถฟังค์ชั่นได้อย่างเป็นระบบ และอีกวิธีที่เราเคยใช้คือการเข้าห้องที่เป็น Stream Study ที่จะมีนักเรียนทั่วโลกเข้ามาอ่านหนังสือแล้วเปิดกล้อง ซึ่งเหมือนจะมีเพื่อนอ่านหนังสือ แต่เรารู้สึกว่าบางทีหน้าจอของกลุ่มมันทำให้เราเสียโฟกัสจากหนังสือ บางคนลุก บางคนเดินไปเดินมา บางทีก็ชอบมีพวกแอบแฝงเปิดคลิป 18+ โดยรวมสรุปก็ทำให้เราวอกแวกอยู่ดี
.
จนมาเจอเทคนิค Pomodoro ใน Youtube โดยบังเอิญจากการหาเพลงที่จะเปิดเพิ่มโฟกัสระหว่างอ่านหนังสือ โดยเทคนิคนี้คือแบบที่สุดแล้วจริงๆสำหรับเรา คือเวิร์คมาก ที่แบ่งเวลาแบบอ่าน 25 พัก 5 นาที มีทั้งแบบ 4 รอบ 6 รอบแล้วแต่คลิป คือเราเปิดและอ่านหนังสือ ฝึก Writing ฝึกศัพท์ ทุกอย่างคือเปิดคลิป Pomodoro หมดเลย บางทีอ่านได้แบบทั้งวัน เรื่อยๆ โฟกัสไม่เสีย เขียน writing ก็เขียนได้ดีมากกว่าเดิม สมองเราเหมือนทำงานได้มีสิทธิภาพมากขึ้น ช่องที่เราอยากแนะนำมากคือ ช่อง Abao ใน YouTube คือดีมากกกกกกกกกกก แบบแนะนำเลยจริงๆ ถ่ายมุมสวย บางคลิปเป็น 4K ทีทั้งแบบเพลงและแบบเสียง เมโลดี้เพลงดี(Lofi) เสียงดีส่วนใหญ่เป็น Soundscape แต่ละคลิปจะมีบอกอยู่แล้วจะมีเสียงไรประกอบบ้าง มีนาฬิกาจับเวลาให้เมื่อหมดรอบ
.
หากใครไม่ชอบคลิปก็มีตัวเลือกมีถ่ายทอดออกอากาศสดทุกวันด้วย ซึ่งก็จะมีนักเรียนจากทั่วโลกพิมพ์ตอบแชทกันไปมา ส่วนตัวเราไม่เคยตอบแชทคุยในช่องออกอากาศ แต่เราชอบสภาวะที่เหมือนแบบเรายังได้ Connect กับโลกภายนอกโดยที่เรายังไม่หลุดโฟกัสจากสิ่งที่เราทำอยู่
แชร์วิธีผ่อนคลายระหว่างอ่านหนังสือ
เราว่าทุกคนต้องมีช่วงเวลาที่ท้อใจกับการอ่าน IELTS เราก็เป็น 1 ในนั้นเหมือนกัน มันจะเป็นช่วงเนือย ช่วงเหี่ยว แบบไม่ไหวกับการซึบซับข้อมูลแล้ว หัวแน่น การผ่อนคลายของเราคือเปลี่ยนโฟกัสจากความคิดไปที่ไปในด้านร่างกายแทน การดูหนัง ฟังเพลงเพื่อความผ่อนคลายสำหรับเรามันไม่เวิร์ค เพราะยังไงเราก็ต้องใช้สมองอยู่ดี เราเลือกที่จะทำงานบ้าน ไม่ว่าจะล้างจาน ดูดฝุ่น เราว่าช่วยได้มากกกกกกก บางทีก็ปลูกต้นไม้ พรวนดิน รดน้ำ ลองมานั่งทำกับข้าวเองดู มันเวิร์คมากกับเรา เพราะสมองเหมือนหยุดคิด เราโฟกัสกับนิ้ว กับมือ กับการขยับของร่างกายแทน
สถานที่ที่เราเรียน
- English Parks เราเลือกเรียนแบบ 3 เดือน ลักษณะการเรียนที่นี่จะเป็นการเหมาจ่าย มีแบบ 3 เดือนและแบบ 6 เดือน เราเริ่มทำ Mock Test หลังจากเรียนไป 2 เดือนเต็ม ทำทุกอาทิตย์ อาทิตย์ละไม่เกิน 2 ครั้งจนถึงอาทิตย์ก่อนสอบเลย
ข้อดี: ครูมีคุณภาพ หนังสือเรียนดีมากกกกกกกก คิดว่าคงเก็บจนตายไม่มีทางขาย สามารถตรวจ Essays ได้ไม่จำกัด ทำ Mock test ได้ไม่จำกัด สถานที่เรียนโอเค สะอาด มีการตรวจ ATK นักเรียนทุกอาทิตย์ พี่เลี้ยงที่นี่ค่อนข้างใส่ใจกับนร.ทุกคน ตามการบ้านบ่อยมาก วิชาที่นอกเหนือจาก IELTS ที่เราชอบมากและมันเวิร์คกับเรามากคือ Sentence Writing/ Pronunciation/ Breaking News/ Academic Speaking/ Discussion/ Presentation/ Grammar/ CU-TEP/ Reading Comprehension มีวิดีโอให้เรียนทบทวนผ่านทางเว็บไซต์รร. ซึ่งใช้งานง่าย ออกแบบแพลตฟอร์มได้ดี คุณภาพเสียงและภาพโอเค ถ้าใครไม่มีคอมที่บ้าน ก็สามารถมาใช้คอมของสถาบันเรียนได้
Facilities มีตู้กดน้ำดื่ม มุมให้นั่งเล่น นั่งกินข้าว วิวก็เป็นวิว BTS
 
ข้อเสีย: ที่เรียนให้ปั๊มบัตรจอดรถฟรีได้ 5 ชม. ซึ่งบางวันอย่างวันเสาร์-อาทิตย์ มันมีคลาสตั้งแต่ช่วงเช้าถึงเย็น ต้องคอยไปวนรถใหม่สำหรับคนที่เอารถมาเอง ต้องกะเวลาดีๆ เพราะราคาค่าจอดค่อนข้างโหด(เราเรียนสาขาอโศก)
.
- Simon (Online) เรียนหลังจากจบคอร์ส English Parks 34 ปอนด์/เดือน ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1500 ตัวคลิปที่ให้เรียนออนไลน์มีไม่เยอะ คลิปแต่ละคลิปจะไม่ยาวเท่าไหร่ แต่สิ่งที่เราชอบมากๆคือ Daily lessons ที่เค้าจะมาอัพเดตทุกวัน เราว่าอันนี้อ่ะดีมากกกก คือ Simon นางเป็น Ex-Examiner IELTS มาก่อน นางก็จะเห็นข้อผิดพลาดที่ผู้เข้าสอบชอบทำมาค่อนข้างเยอะ นางก็จะรู้จุด และเราสามารถพิมพ์ถามในคอมเม้นได้ด้วย Simon จะเป็นคนตอบเอง รอไม่เกิน 1 วันนางก็มาตอบ แต่เราไม่ค่อยแนะนำสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้นหรือใหม่มากๆกับ IELTS คิดว่ามันอาจจะเลเวลสูงไปหน่อย ควรอ่านแบบทำความเข้าใจเองมาก่อน
ใครอยากรู้ไรเพิ่มเติม พิมพ์เม้นมาได้เลย เดี๋ยวมาตอบให้
โฆษณา