17 มี.ค. 2022 เวลา 23:00 • ธุรกิจ
การผลิตสิ่งทอ สินค้าเกษตร และการทำเหมืองแร่ จะเป็นภาคเศรษฐกิจหลัก
ในการขับเคลื่อนภาคการส่งออกเคนยาในอีก 10 ปีข้างหน้าจริงหรือ?
ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ดเปิดเผยการวิจัยของธนาคารในการประเมินธุรกิจภาคการส่งออกของเคนยาในอีก 10 ปีข้างหน้าว่าสินค้าเกษตร (ชาและกาแฟ) สิ่งทอ และการส่งออกแร่ธาตุต่างๆ จะเป็นสินค้าและภาคธุรกิจสำคัญในการสร้างรายได้ในการส่งออกให้กับประเทศเคนยาในช่วง 10 ปีต่อจากนี้
ในรายงานชื่อ Future of Trade 2030: Trends and Markets to Watch ธนาคาร ได้ระบุว่า จะเกิดแนวโน้ม 5 ประการที่กำหนดอนาคตของการค้าโลก โดยเคนยาเป็นประเทศเดียวในแอฟริกาตะวันออกจากจำนวน 13 ประเทศที่จะมีการส่งออกครั้งใหญ่ในอีก 10 ปีข้างหน้า การวิจัยยังพบว่า 10 เปอร์เซ็นต์ของบริษัททั่วโลกในปัจจุบันมีหรือวางแผนที่จะมาใช้ฐานการผลิตในเคนยาภายใน 5-10 ปีข้างหน้า โดยผลการวิจัยเชื่อว่า เคนยาจะมีการขยายตัวในการส่งออกปีละมากกว่า +7% และมูลค่ารวมกว่า 10.2 พันล้านดอลลาร์ในปี 2030 โดยเคนยาจะมีตลาดหลักในการส่งออก 3 ลำดับแรก คือ ปากีสถาน ยูกันดาและสหรัฐอเมริกา ที่จะเป็นประเทศที่มีแนวโน้มการขยายตัวในการส่งออกสินค้าที่เติบโตเร็วที่สุด
การส่งออกชาไปปากีสถาน
การค้าของเคนยากับปากีสถาน ซึ่งเป็นหนึ่งในตลาดในการส่งออกชา หนึ่งในสินค้าหลักของประเทศนั้น คาดว่าจะเติบโตและมีสัดส่วนในการส่งออกทั้งหมดที่ประมาณ 10.7% ของการส่งออกทั้งหมดภายในปี 2573 รองลงมาคือ ยูกันดาที่ 11 เปอร์เซ็นต์ และสหรัฐฯ เป็น 9 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ
การส่งออกสินค้าไปยูกานดา
ในช่วง 24 ปีที่ผ่านมา การส่งออกของเคนยาไปยังยูกันดาเพิ่มขึ้นในอัตราเฉลี่ยต่อปีที่ 4.85% โดยข้อมูลระบุว่า ประเทศส่งออกสินค้ามูลค่ามากกว่า 635 ล้านดอลลาร์ไปยังยูกันดาในปี 2564 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ น้ำมันปาล์ม (63.8 ล้านดอลลาร์) เหล็กแผ่นรีดเคลือบ (42.2 ล้านเหรียญสหรัฐ) และปิโตรเลียมกลั่นมูลค่า 36.1 ล้านเหรียญสหรัฐ
การส่งออกของเคนยาไปสหรัฐฯ
สหรัฐอเมริกาเป็นตลาดการส่งออกที่ใหญ่ที่สุดสำหรับสินค้าสิ่งทอของเคนยา (ส่วนใหญ่เป็นเสื้อผ้าสำเร็จรูป) โดยคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 90 % ของการส่งออกทั้งหมดที่เคนยาส่งออกไปทั่วโลก โดยมีมูลค่าต่อปีประมาณ 667 ล้านเหรียญสหรัฐ ในจำนวนนี้เกือบร้อยละ 70 (453 ล้านเหรียญสหรัฐ) เป็นสินค้าประเภทเครื่องแต่งกาย หรือเสื้อผ้าสำเร็จรูป ทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอนี้ถือเป็นภาคอุตสาหกรรมที่สำคัญที่กำลังจะได้ประโยชน์จากการเจรจา เขตการค้าเสรี FTA KENYA-USA ที่อยู่ระหว่างการเจรจากัน ผลการวิจัยของธนาคารดังกล่าวข้างต้น เชื่อว่าด้วยการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในด้านการผลิต การสนับสนุนจากรัฐบาล และข้อตกลงทางการค้าที่จะมีการลงนาม ดังกล่าว จะทำให้อุตสาหกรรมสิ่งทอและเครื่องนุ่งห่มของเคนยาจะเติบโตอย่างมั่นคงได้ต่อไปในตลาดโลก โดยมีตลาดหลักคือสหรัฐอเมริกาดังกล่าวข้างต้น
ในส่วนของภาคธุรกิจที่จะมีความสำคัญในการขับเคลื่อนการส่งออก น่าจะมีอยู่ใน 3 กลุ่มสินค้าหลัก คือ 1. กลุ่มสิ่งทอ (เสื้อผ้าสำเร็จรูป) 2. กลุ่มสินค้าเกษตร (น้ำมันปาล์ม ชา กาแฟ ดอกไม้ตัดสด อะโวคาโด และอาหารแปรรูป) และ 3. กลุ่มสินแร่ต่างๆ (อัญมณี โชเดียมไบคาร์บอนเนต แทนทาลัม) แหล่งข่าวจากงานวิจัยดังกล่าววิเคราะห์ไว้
จากผลการวิจัยดังกล่าวแสดงว่า เคนยาถือเป็นประเทศที่แนวโน้มในการเติบโตทางเศรษฐกิจที่สดในประเทศหนึ่งในโลกและทวีปแอฟริกา โดยสินค้าที่มีศักยภาพของเคนยาก็คือสินค้าใน 3 กลุ่มดังกล่าวข้างต้น ได้แก่ 1. กลุ่มสิ่งทอ (เสื้อผ้าสำเร็จรูป) 2. กลุ่มสินค้าเกษตร (น้ำมันปาล์ม ชา กาแฟ ดอกไม้ตัดสด อะโวคาโด และอาหารแปรรูป) และ 3. กลุ่มสินแร่ต่างๆ (อัญมณี โชเดียมไบคาร์บอนเนต แทนทาลัม)
นอกจากนั้น ตลาดที่เคนยามีความคาดหวังจะใช้เป็นตลาดหลักในการส่งออกสินค้าดังกล่าวข้างต้นก็คือ ปากีสถาน (ชา) ยูกานดา (สินค้าอุตสาหกรรมและสินแร่) สหรัฐ (สิ่งทอ) ตามลำดับ ส่งผลให้จะมีการลงทุนจากต่างประเทศในสินค้าที่เกี่ยวข้องกับกลุ่มนี้มากขึ้นในอนาคตอย่างแน่นอน ดังจะเห็นจากการสำรวจความเห็นของนักธุรกิจทั่วโลกที่ต้องการจะเข้ามาลงทุนหรือทำธุรกิจกับเคนยาใน อีก 5-10 ต่อจากนี้
ในส่วนของประเทศไทยนั้น ผู้ส่งออกควรเริ่มศึกษาความเป็นไปได้ในการเข้ามาลงทุนในสาขาที่ไทยน่าจะมีศักยภาพ เช่น ธุรกิจแปรรูปอาหาร เป็นต้น เพื่ออาจใช้เคนยาเป็นฐานการผลิตในการส่งออกไปตลาดใหม่แทนที่การผลิตสินค้าจากประเทศไทย เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มโอกาสการขยายตลาดส่งออกของบริษัทต่อไปในอนาคต ซึ่ง สคต. ณ กรุงไนโรบี จะ จัดทำรายงานและติดตามสถานการณ์การพัฒนาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องเคนยาต่อไป
นักธุรกิจหรือผู้ส่งออกที่มีความสนใจจะทำการส่งออกสินค้าหรือเข้ามาลงทุนในตลาดเคนยาหรือแอฟริกาตะวันออก สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้กับ สคต. ณ กรุงไนโรบี ที่ email. info@ocanairobi.co.ke
โฆษณา