18 มี.ค. 2022 เวลา 03:27 • สัตว์เลี้ยง
ในละแวกเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเอเชียใต้บางประเทศจะมีกลุ่มปลาชนิดหนึ่งที่เรียกว่า มาห์เซียร์ (Mahseer) มันคือชื่อของปลาน้ำจืดในวงศ์ตะเพียนขนาดใหญ่กลุ่มหนึ่ง เจ้ามาห์เซียร์นั้นเป็นที่นิยมสำหรับนักตกปลารวมและผู้เลี้ยงปลาสวยงาม ด้วยความที่มันขนาดตัวที่ใหญ่ว่ายน้ำเร็วสู้กันสนุกเมื่อเวลาตกมันขึ้นมา แต่ความสวยงามของมันก็นับว่าไม่ธรรมดาโดยฉพาะปลาที่เราจะนำมาเล่ากันวันนี้ “พลวงน้ำเงิน”
เครดิตภาพ https://travel.mthai.com/region/62408.html
สำหรับประเทศไทยพบกลุ่มปลามาห์เซียร์อยู่ตามแม่น้ำขนาดใหญ่ ตามลำธารหรือน้ำตกในป่าดิบชื้น โดยแหล่งน้ำที่ว่าจะต้องมีความสะอาดใสและมีค่าออกซิเจนละลายน้ำอยู่สูง อาทิเช่น แม่น้ำสาละวิน แม่น้ำเมย แม่น้ำเพชรบุรี อุทยานแห่งชาติถ้ำปลาในแม่ฮ่องสอน รวมถึงน้ำตกเอราวัณด้วย
บ้านเรานั้นพบอยู่หลายชนิดอย่างเช่น ปลาเวียน พลวงทอง พลวงชมพู พลวงน้ำเงิน (ส่วนมากเรียกปลาชนิดนี้ว่า พลวงถ้ำ หรือไม่ก็พลวงเฉยๆ) เอาจริงๆตอนลองหาข้อมูลดูพบว่านอกจากแอดมินแล้วไม่เห็นมีใครเรียก “พลวงน้ำเงิน” แต่ชื่อนี้ก็สื่อถึงเจ้าปลาชนิดนี้ได้ดีนะครับ คือพอบอกว่าพลวงน้ำเงินก็จะรู้กันทันทีว่าคือตัวไหน เพราะตัวมันมีสีน้ำเงินจริงๆ ดังนั้นในบทความนี้ก็จะขอเรียกว่า “พลวงน้ำเงิน” ต่อไปแล้วกัน
ปลาตระกูลนี้สามารถโตได้ตั้งแต่ 80 ซม.เป็นต้นไป ชนิดที่โตที่สุดใหญ่ได้ถึง 250 ซม. มีลักษณะลำตัวป้อมยาว เป็นทรงกระบอก เกล็ดมีขนาดใหญ่ หัวเล็ก ดวงตากลมโต มีหนวดสองคู่อยู่ตรงปากบนกับมุมปาก ครีบหางใหญ่เว้าเป็นแฉกลึก กระโดงหลังเป็นก้านแข็งยกเป็นแผ่นสูง จากลักษณะทรวดทรงและครีบแล้วสามารถเดาได้ทันทีว่ามันว่ายน้ำเร็วแน่
ลำตัวด้านบนเป็นสีเทาอมเขียว มีขีดดำแบ่งกลางลำตัวบนล่าง สีของลำตัวด้านล่างและครีบทุกครีบที่อยู่ครึ่งล่างของปลาเป็นสีน้ำเงิน สามารถโตได้ถึง 100 ซม. อาศัยอยู่เป็นฝูงใหญ่ตามลำธารและน้ำตกต่างๆ
ทางภาคเหนือเรียกมันว่า ปลามุง ปลาปุง ปลาพุง ส่วนทางใต้เรียกว่า ปลาเพง ในภายหลังพบว่าปลาเพงไม่ใช่พลวงน้ำเงิน แต่เป็นปลาพลวงชมพูซึ่งเป็นคนละชนิดกัน และหลังในภายหลังอีกครั้งหนึ่งพบว่าไอ้ปลาเพงนี่ควรถูกเรียกว่า “เวียนชมพู” ต่างหาก
กลับมาที่พลวงน้ำเงินกันดีกว่า... ครั้งแรกที่เคยเห็นเกิดขึ้นตอนลุกค้าเกาหลีสั่งออเดอร์มาเมื่อนานมากแล้วเหมือนกัน เค้าก็สั่งมาหลายอย่างแหละ แต่เจ้ากรรมเค้าสั่งทั้งพลวงน้ำเงินและปลาเวียนซึ่งหน้าตามันคล้ายกันมาก ตอนลูกน้องปล่อยปลาก็ไม่ได้อ่านชื่อหน้าถุงให้ดีเห็นหน้าแล้วนึกว่าตัวเดียวกันก็เทตู้มลงไปในตู้เลย
เดือดร้อนต้องโทรไปหาคนขายว่าแยกยังไงอะครับ คำตอบก็คือปลาเวียนปากจะแหลมยื่นมากกว่าปลาพลวง โอเค...พอแยกได้อยู่ไม่ยากนัก และนั่นก็คือจุดเด่นที่เห็นชัดระหว่างความต่างของปลาสองสายพันธุ์นี้ ส่วนจุดอื่นๆอย่างทรวดทรงลักษณะสีสัน ต้องบอกว่ามันคล้ายกันมากจริงๆ
ก่อนจะมาเห็นพลวงน้ำเงินตัวจริงในแหล่งน้ำธรรมชาติก็ยอมรับตามตรงว่าไม่ได้รู้สึกว่ามันสวยพิเศษที่ตรงไหน คือโดยปกติปลาชนิดนี้ก็แทบจะไม่ได้เอามาพักในฟาร์มก่อนส่ง เรียกว่าให้คนขายส่งมาตอนวันที่จะแพคของเลย แล้วเราก็เปลี่ยนถ่ายน้ำอัดลมใหม่แล้วก็ไปต่างประเทศทันที
จนวันที่แอดมินได้ไปเที่ยวน้ำตกเอราวัณ จังหวัดกาญจนบุรี ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวขึ้นชื่อของจังหวัด เป็นน้ำตกที่สูงยาวแบ่งความสูงออกได้เป็น 7 ระดับชั้น น้ำตกที่นี่เป็นสีฟ้าอมเขียวเย็นชื่นใจ สีไม่เหมือนน้ำตกที่อื่นที่แม้จะใสมองไปก้อนหินด้านล่างแต่สีของน้ำก็เป็นสีเขียวหรือน้ำตาลอ่อน
เครดิตภาพประกอบ https://paapaii.com/erawan-waterfall/
ที่มันเป็นสีฟ้าอมเขียวก็เพราะว่า น้ำตกเอราวัณเกิดขึ้นในเทือกเขาหินปูน เวลาน้ำมันไหลลงมาจากจุดกำเนิดมันจะผ่านหินปูนลงมาซึ่งก็จะละลายหรือกัดเซาะเอาแคลเซียมคาร์บอเนตปนมาด้วย ซึ่งเจ้าแคลเซียมคาร์บอเนตนี่แหละ ที่มีผลทำให้สาหร่ายสีเขียวไม่เจริญเติบโตทั้งที่โดนแดดจังๆ น้ำมันก็เลยสีไม่เหมือนกับน้ำตกแหล่งอื่นที่ไม่ได้เกิดในเทือกเขาหินปูน
ที่น้ำตกเอราวัณเนี่ยปลาพลวงจะเป็นเหมือนพระเอกของที่นี่เลย มีป้ายอธิบายว่าปลาชนิดนี้ชื่ออะไรมีลักษณะยังไง พอขึ้นไปสักสามสี่ชั้นก็จะเริ่มเจอพลวงน้ำเงินว่ายน้ำเล่นอยู่ในน้ำตก เยอะบ้างน้อยบ้าง ตัวใหญ่ตัวเล็กเต็มไปหมด ที่สำคัญคือพอเห็นมันในแหล่งน้ำธรรมชาติแล้วมัน มันสวยมากเลยครับ ไม่เคยเห็นปลาน้ำจืดที่มีสีน้ำเงินจัดขนาดนี้มาก่อน ว้าวครับว้าวมากจริงๆ
แต่มันก็ไม่ได้มีแค่ปลาพลวงน้ำเงินอย่างเดียวนะครับ ปลาชนิดอื่นๆก็มีแอดมินยังจำได้ดีว่ามันมีปลาที่ดูดแข้งดูดขาอยู่ด้วยน่าจะเป็น “ปลามูด” มันคือปลาชนิดหนึ่งในตระกูลของปลาการ่า มีนิสัยชอบดูดสิ่งต่างๆรอบตัว มีปากอันทรงพลังสามารถดูดแล้วกระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดในระดับนาโน (เรื่องจริงนะครับ) เพียงแต่ปลามูดไม่ได้มีเอนไซม์ยับยั้งการเจริญเติบโตของแบคทีเรียเหมือนปลาการ่ารูฟ่า (เอาไว้สุดสัปดาห์จะเอาเรื่องการ่ารูฟ่ามาแปะให้อ่าน)
กลับมาที่เรื่องปลามูดกันต่อ มันเป็นจุดที่พอจะเข้าไปนั่งพักหย่อนเท้าแช่น้ำได้ที่ระหว่างชั้นที่ 3 กับ ชั้นที่ 4 เดินมาสักพักนึงแล้วก็เลยไปหาที่นั่งพักสักหน่อย ว่าแล้วฝูงปลามูดก็เข้ามาตอดกันใหญ่เลย ไม่ได้เป็นคนบ้าจี้ก็เลยรู้สึกสนุกดีแหละ นั่งไปนั่งมาก็เกิดสงสัยว่า
ทำไมมันถึงต้องเข้ามาดูดแข้งดูดขามนุษย์ด้วยหว่า มันนึกว่าเป็นอาหารของมันหรือไง ? คือปลาพวกนี้มันกินตะไคร่เป็นอาหาร แล้วแข้งขามนุษย์มันก็ไม่ได้มีสาหร่ายหรือตะไคร่ให้กินนี่นา เออ...... หรือมันนึกว่าขนหน้าแข้งคือสาหร่ายฟระ ?
มีใครสงสัยมั๊ยอะ... เอาเป็นว่าแอดมินสงสัยก็แล้วกัน วันนั้นในปากมีหมากฝรั่งอยู่ก้อนนึงเคี้ยวอย่างเมามันส์ ช่วงนั้นน่าจะเป็นช่วงติดหมากฝรั่งแหละ ก็เลยเอาหมากฝรั่งไปติดกับหินในน้ำคืออยากรู้ว่าปลามันจะมาตอดมั๊ย มันจะรู้มั๊ยว่าไม่ใช่อาหาร น้ำมันก็เย็นอะนะ หมากฝรั่งมันก็แข็งตัวแปะอยากอยู่พอจะจับขึ้นรูปได้บ้าง ก็ทำเป็นแผ่นบางๆเอาหินกดไว้ ผลปรากฎว่าไม่เห็นมีปลาตัวไหนสนใจเลย
ไอ้เราก็ยังไม่หายสงสัย บางทีปลามันคงไม่เห็นมั๊งเอางี้ ลองเอามาแปะที่เท้าเราเลยดีกว่าเลือกตรงที่ปลาชอบดูดนี่แหละ ว่าแล้วก็เอาหมากฝรั่งมาทำให้แบนแปะไปบนเล็บหัวแม่เท้า (ทำเหมือนเป็นเล็บเทียมครอบไว้) แล้วก็รอดูว่าจะมีปลาหลงกลมาเคี้ยวหมากฝรั่งบ้างมั๊ย หึ หึ หึ 5 5 5 5 5 5
ไม่มี !!!!!! ปลามันคงแยกได้แหละว่าอะไรกินได้อะไรกินไม่ได้ (ทั้งที่มันก็ยังไม่ได้ลองอะนะ) ดังนั้นเวลามันตอดเรามันคงได้อะไรไปกินจริงๆแหละ อาจจะเป็นหนังกำพร้าที่หลุดลอก เพราะถ้ามันไม่ได้กินอะไรเลยตอดครั้งเดียวก็น่าจะเลิกแล้วปะ แบบนี่มันไม่ใช่อาหารว้อย !!!
มาถึงตรงนี้เดาว่าลูกเพจคงรู้แล้วว่า แอดมินเป็นคนจริงจังกับความสงสัยขนาดไหน (555 เพี้ยนโคตร)
กลับมาที่พลวงน้ำเงินกับน้ำตกเอราวัณกันต่อดีกว่าครับ บนชั้นเจ็ด (ชั้นสูงที่สุดละ) ของน้ำตก จะมีฝูงปลาพลวงอยู่หลายสิบน่าจะถึงร้อยเลยมัง แต่มันจะมีเจ้าคุณปู่ปลาอยู่ตัวนึงน่าจะอยู่มานานละตัวใหญ่มากกกกก ขนาดน่าจะสัก 80-90 ซม. ตัวใหญ่มั่กๆ เท่ห์ระเบิดใครสะดวกก็แวะไปเยี่ยมเจ้าคุณปู่ตัวนี้กันหน่อย พยายามจะลองเอามือไปลูบหัวอยู่หลายที มันคงแก่แล้วแหละไม่ชอบให้ใครเล่นหัว ว่ายหนีตลอดไม่ยอมให้ลูบเลย
อ้อ... ตามแผ่นป้ายให้ความรู้เรื่องปลาพลวงในบริเวณน้ำตกเนี่ย เค้ามีเขียนเรื่องปลาชนิดนี้เอามากินไม่ได้นะ เนื้อมันมีพิษกินแล้วเมา เมื่อก่อนชาวบ้านเค้าบอกกันว่าปลาชนิดนี้เป็นปลาเจ้ากินแล้วผิดผี ทีแรกฟังเรื่องนี้ก็แบบ เออ ง่ายดีเว๊ย หลอกไว้ยังนี้คนจะไม่ได้จับเอามันไปกิน ประมาณโกหกว่าปอบระบาดอย่าออกจากบ้านตอนกลางคืน หกโมงเย็นปั๊บปิดประตูเข้านอนกันหมด
ไมใช่ !!!
สรุปมันเป็นเรื่องจริงเว้ยกินแล้วเมา แต่เนื้อปลามันไม่ได้มีพิษด้วยตัวมันเอง คือไอ้ปลากลุ่มมาเช๊ยร์เนี่ยมันกินพืชเป็นหลัก กินพวกเมล็ดพืชที่ร่วงหล่นมาในน้ำ เมล็ดบางชนิดเมื่อกินเข้าไปเยอะๆก็จะไปสะสมสารบางตัวในร่างกายปลา พอคนจับปลามากินก็รับเอาสารตกค้างพวกนี้เค้าไปด้วยก็เลยเมา
ย้อนกลับมาคุยเรื่องความสวยของปลาพลวงน้ำเงินกันอีกนิด (ปลาตัวนี้ไม่มีขายครับไม่ต้องระแวง วันนี้ขายน้ำตกเอราวัณไปแล้ว ถ้าหน่วยงานการท่องเที่ยวได้ผ่านมาอ่านจะจ้างแอดมินเขียนบทความชวนเที่ยวก็ยินดีนะครับ 555 ขายตัวเองต่อ)
เวลาคนเลี้ยงปลาคาร์ปถามว่ามีปลาอะไรที่เลี้ยงกับปลาคาร์ปได้บ้าง หนึ่งในสองชื่อแรกที่จะตอบต้องมีพลวงน้ำเงินแน่อน มันอยู่กับปลาคาร์ปได้ จะว่าไปมันมีต้นสายของตระกูลร่วมกันด้วยแหละ มองเผินๆหน้าตาก็คล้ายกันอยู่ เลี้ยงง่าย อยู่ง่าย กินง่าย ตายยาก
รู้หรือไม่ว่าปลาพลวงที่น้ำตกเอราวัณเนี่ยห้ามจับไปขายหรือไปเลี้ยงนะ ไอ้เราก็นึกว่าปลามันใกล้จะสูญพันธุ์แล้วล่ะมัง ที่นี่คงเป็นปลาถิ่นเดียวประมาณแหล่งสุดท้ายของมันแล้วน้ำตกเอราวัณเนี่ย มีอยู่วันนึงซับพลายเออร์มาส่งของก็สบโอกาสนั่งคุยเรื่องปลาตัวนี้กัน
“พี่ครับปลาตัวนี้มันใกล้จะสูญพันธุ์นี่นา ที่น้ำตกเอราวัณเค้าประกาศไว้เลยว่าห้ามจับ แล้วพี่ไปทำยังไงให้ได้มาครับเนี่ย” เบียร์ถาม
“ใช่ครับเบียร์ ต้องไปรับจับที่ปลายน้ำตกนู่นไม่มีเจ้าหน้าที่มาห้าม หายากขึ้นเรื่อยๆรอบหน้าราคาคงต้องขึ้นบ้างนะ” พี่เค้าอธิบายให้ฟัง เบียร์ก็พยักหน้าหงึกๆไม่ได้เอะใจอะไรเล้อยย
“แต่มันไม่ได้ที่เดียวนะเบียร์ มันมีเต็มไปหมดเลยตั้งแม่ฮ่องสอน กาญจนบุรี เพชรบุรี ที่เค้าไม่ให้จับตรงน้ำตกน่ะเพราะมันเป็นเขตอุทยานไง” (ไอ้ฟาย พี่เค้าไม่ได้เปล่งเสียงออกมา)
#ปลาสวยงาม #ปลาพลวง #ปลาพลวงน้ำเงิน
โฆษณา