แม้จะเป็นสารคดีที่ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์หนักหน่วงจากแฟน F1 หรือแม้กระทั่งตัวนักขับที่ดูแล้วไม่ชอบจนไม่อนุญาตให้ทีมงานเข้ามาถ่ายทำอีกต่อไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความดราม่าของ Formula 1 : Drive To Survive คือผงชูรสชั้นเลิศที่ทำให้คนที่ไม่เคยสนใจ F1 มาก่อนทั่วโลกได้รู้จักกีฬาชนิดนี้มากขึ้น
ทั้งนี้ประเด็นใหญ่ที่ Formula 1 : Drive To Survive ที่นำเสนอให้ผู้ชมดูตลอด 10 ตอน คือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในวงการ F1 ซึ่งหากมองกันแต่ชื่อเรื่อง Drive To Survive อาจหมายถึงการที่นักแข่งแต่ละคนต้องจับพวงมาลัย เหยียบคันเร่งสู้กับคู่แข่ง และเอาชีวิตรอดในความเร็วระดับมัจจุราชเรียกพี่โดยไม่ตายคาพวงมาลัย แต่ Drive To Survive ยังหมายถึงการพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองให้อยู่ในวงการ F1 ต่อไป
Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นแรก ได้รับความนิยมจากชาวสมาชิก Netflix และแฟน F1 อย่างน่าพึงพอใจ ได้เข้าชิงรางวัล Golden Trailer Awards สาขาสารคดียอดเยี่ยม กับเข้าชิงรางวัล C.A.S. Award สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยมในปี 2019 แม้สุดท้ายจะพลาดรางวัลทั้งหมด แต่การได้เข้าชิงรางวัลก็ถือเป็นการการันตีว่า Formula 1 : Drive To Survive เป็นสารคดีคุณภาพที่ทาง F1 และ Netflix พอใจอย่างมาก ก่อนเปิดไฟเขียวให้ เจมส์ เกย์-รีส์ และทีมงานแบกกล้องเข้าไปถ่ายทำซีซั่นสองต่อได้เลย
"ดราม่า" ผงชูรสเรียกคนดูชั้นดี
ความสำเร็จของ Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นแรก ทำให้ Formula 1 และ Netflix เซ็นสัญญาระยะยาวในการผลิตสารคดี Drive To Survive ออกมาให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง และในเมื่อมันประสบความสำเร็จ บรรดาทีมแข่งระดับบิ๊กอย่าง Mercedes หรือ Ferrari ก็เปิดโอกาสให้ทีมงาน Netlfix เข้ามาพูดคุย สัมภาษณ์ และตามติดชีวิตพวกเขามากขึ้น จากซีซั่นแรกที่แทบไม่ค่อยเห็นบุคลากรจากทีมใหญ่ปรากฏตัวสักเท่าไหร่
Photo : f1i.com
สารคดี Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นต่อ ๆ มาของ Netflix และทีมงานของ เจมส์ เกย์-รีส์ ยังคงยึดคอนเซ็ปต์เดิมแบบในซีซั่นแรกนั่นก็คือ เล่าเรื่องการต่อสู้ของนักขับกับทีมแข่งใน F1 เพื่อความอยู่รอดในวงการ ที่แม้ว่าจะยังเป็นประเด็นเดิม ๆ แต่ด้วยความที่การแข่งขันรถสูตรหนึ่งนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล คนนู้นย้ายไปขับทีมนี้ คนนี้ย้ายไปขับทีมนั้น ทีมนี้แข่งต่อไม่ไหวแล้วต้องลาวงการไป มีทีมใหม่เข้ามาแข่งขันแทน หรือทีมเก่าเปลี่ยนชื่อใหม่ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงทำให้ Formula 1 : Drive To Survive ยังคงน่าติดตามอยู่เรื่อย ๆ
กระนั้นความดราม่าเหล่านี้คือผงชูรสชั้นดีที่ทำให้ Formula 1 : Drive To Survive มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนสารคดีเล่าเรื่องทั่วไป ขณะเดียวกันมันยังตีแผ่ความเป็น "มนุษย์" ที่มีเลือดเนื้อและจิตใจของทุกคนในวงการ Formula 1 ให้ชาวบ้านชาวช่องทั่วไปเข้าถึงและจับต้องได้ ซึ่งทุกคนก็ได้เห็นว่าที่สุดแล้วนักแข่งรถทุกคนแม้หน้าฉากจะยิ้มแย้มพูดจาดีต่อกันหรือมีดีกรีความสำเร็จยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ลับหลังพวกเขาก็เป็นเหมือนมนุษย์ปกติที่พูดนินทาคนนู้นคนนี้ลับหลัง หรือมีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง เห็นแก่ตัว เหมือนคนทั่วไป
1
FORMULA 1 ปังไปทั่วโลกเพราะ "ดราม่า"
หากเปรียบ Formula 1 : Drive To Survive เป็นร้านอาหารที่เติม "ดราม่า" เป็นผงชูรสให้อาหารอร่อยเหาะ มันก็คงจะเป็นร้านอาหารที่โด่งดังมาก ๆ เมื่อมีการเปิดเผยว่าสารคดีมินิซีรีส์นี้ทำให้ F1 มีฐานคนดูเพิ่มขึ้นทุกฤดูกาล โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ที่แฟนความเร็วส่วนใหญ่จะดูแต่ NASCAR หรือ IndyCar แต่พอซีรีส์ Formula 1 : Drive To Survive ออกฉาย ชาวอเมริกันชนก็เริ่มทำความรู้จัก F1 แล้วหันมาติดตามชมการแข่งขันมากขึ้น ชนิดที่ ลิเบอร์ตี มีเดีย เจ้าของลิขสิทธิ์ F1 ของอเมริกา ยิ้มแก้มแทบฉีกเพราะการทำให้ F1 ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นคือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจมานานแล้ว
Photo : www.foxsports.com.au
รายงานเปิดเผยว่าตั้งแต่ซีรีส์ Formula 1 : Drive To Survive ออกฉาย คนอเมริกาหันมาดูการถ่ายทอดสด F1 เพิ่มขึ้นถึง 946,000 ครัวเรือนต่อหนึ่งเรซ ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับปี 2020 ที่มียอดคนดูการถ่ายทอดสดอยู่ที่ 41% ต่อเรซ แม้แต่ เอลเลน ดีเจเนเรส พิธีกรรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง "The Ellen Show" ก็ยังหันมาชมการแข่งขัน F1 เพราะชื่นชอบเรื่องราวในซีรีส์ Drive To Survive แถมยังเป็นแฟนคลับของ แดเนียล ริคคาร์โด้ นักแข่งหน้าเปื้อนยิ้มจากออสเตรเลีย ที่มีบุคลิกเฟรนด์ลี่เข้าถึงทุกคนได้ง่ายและปรากฏตัวทุกซีซั่นอีกต่างหาก
สมัยก่อน F1 มักมีภาพลักษณ์ว่าเป็นกีฬาที่ดูยากกว่ากีฬาแข่งรถอื่น ๆ เพราะไม่ใช่การเหยียบคันเร่งแข่งกันเข้าเส้นชัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องมีการแวะเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยาง เปลี่ยนอะไหล่ หรือมีกฏกติกาที่ซับซ้อนพอสมควร แต่ในเมื่อ Drive To Survive พุ่งเป้าไปเล่าเรื่องราวของนักขับและทีมแข่งขันแบบเข้าใจง่าย เน้นดราม่าเข้าไว้ ก็ทำให้คนดูที่หันมาชม Drive To Survive ค่อย ๆ เปิดใจหันมาชมการแข่งขัน F1 มากขึ้น อาจจะเริ่มจากเลือกตัวละครหรือทีมที่ชื่นชอบในสารคดีก่อนแล้วค่อยไปติดตามดูในสนามจริงว่าผลงานเป็นอย่างไร
หรือใน EP.9 ของซีซั่น 3 ที่ทีมงานพยายามบิลด์อัปเรื่องราวชีวิตของ เซร์คิโอ เปเรซ นักซิ่งตัวเก๋าชาวเม็กซิกัน สังกัด Racing Point ที่ต้องทำผลงานในช่วงท้ายฤดูกาลให้ดี เพื่อจะได้ย้ายไปขับกับ Red Bull แทนที่ของ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ หลังเจ้าตัวกำลังจะตกงานเพราะ Racing Point ที่กำลังจะรีแบรนด์เป็น Aston Martin คว้าตัว เซบาสเตียน เวทเทล แชมป์โลก 4 สมัยมาแทนที่แล้ว