21 มี.ค. 2022 เวลา 06:42 • กีฬา
DRIVE TO SURVIVE : ซีรีส์รถแข่งขายดราม่า แต่ทำให้คนรู้จัก F1 มากขึ้นทั่วโลก | MAIN STAND
เดินทางมาถึงซีซั่นที่ 4 กันแล้วกับ FORMULA 1 : DRIVE TO SURVIVE สารคดีสุด EXCLUSIVE ของ NETFLIX ที่ลงจอให้แฟนความเร็วได้ชมกันแบบเต็มอิ่มครบ 10 ตอน ต้อนรับการกลับมาของการแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ฤดูกาล 2022 ที่คัมแบ็กในช่วงเวลาเดียวกันพอดี
Formula 1 : Drive To Survive ไม่ใช่สารคดีที่นำเสนอประวัติความเป็นมาของกีฬาชนิดนี้ ไม่ได้ให้ความรู้เรื่องเทคโนโลยี การวางแผน หรือแนะนำวิธีดูการแข่งขัน แต่มันคือสารคดีตีแผ่ "ความเป็นมนุษย์" ของทุกชีวิตที่อยู่บนสังเวียนความเร็วแบบไม่มีปิดบัง
ดังนั้นสิ่งที่ท่านผู้ชมจะได้เห็นในสารคดีชุดนี้ตลอด 4 ซีซั่นคือความดราม่าและบทสนทนาอันเผ็ดร้อน การสาดวิวาทะของบรรดาหัวหน้าทีมแข่งที่เป็นคู่ปรับกัน, นักขับที่วิจารณ์ฝีมือเพื่อนร่วมทีมแบบไม่เกรงใจ, ทีมช่างที่สบถใส่นักขับทีมตัวเองแบบหยาบคายเวลาทำผิดพลาด หรือกระทั่งการจับเอานักแข่งที่สู้กันในสนามให้กลายมาเป็นคู่อริกัน
แม้จะเป็นสารคดีที่ก่อให้เกิดเสียงวิจารณ์หนักหน่วงจากแฟน F1 หรือแม้กระทั่งตัวนักขับที่ดูแล้วไม่ชอบจนไม่อนุญาตให้ทีมงานเข้ามาถ่ายทำอีกต่อไป แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าความดราม่าของ Formula 1 : Drive To Survive คือผงชูรสชั้นเลิศที่ทำให้คนที่ไม่เคยสนใจ F1 มาก่อนทั่วโลกได้รู้จักกีฬาชนิดนี้มากขึ้น
และนี่คือเบื้องหลังที่ Main Stand นำมาฝากกัน...
เตรียมตัวก่อนสตาร์ทเครื่อง
จุดเริ่มต้นของซีรีส์สารคดีนี้ ต้องย้อนกลับเมื่อเดือนมีนาคม 2018 เมื่อ Formula 1 ได้ประกาศความร่วมมือกับ Netflix สตรีมมิ่งชั้นนำระดับโลกว่าจะผลิตสารคดีของวงการรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ฤดูกาล 2018 ให้สมาชิกชาว Netflix และแฟน F1 ได้รับชมในปี 2019 โดยมีหัวเรือใหญ่คือ เจมส์ เกย์-รีส์ ผู้กำกับภาพยนตร์ชาวอังกฤษ ที่เคยมีผลงาน SENNA สารคดีเกี่ยวกับตำนานแชมป์โลก F1 ผู้ล่วงลับอย่าง ไอร์ตัน เซนน่า ที่ออกฉายเมื่อปี 2010 และ AMY สารคดีชีวิตของ เอมี ไวน์เฮาส์ เจ้าหญิงโซลป๊อปแห่งวงการเพลงเมื่อปี 2015
สารคดีทั้งสองเรื่องของ เจมส์ เกย์-รีส์ ได้รับคำชื่นชมจากนักวิจารณ์และคว้ารางวัลหลากหลายสถาบัน โดยเฉพาะ SENNA ที่ถ่ายทอดเรื่องราวชีวิตของตำนานแชมป์โลก 3 สมัยผู้ยิ่งใหญ่ชาวบราซิเลียนได้อย่างเต็มอารมณ์ จนกวาดรางวัลตามเวทีใหญ่มากมาย และนั่นก็ทำให้ F1 กับ Netflix เชื่อมั่นว่าหากได้ เจมส์ เกย์-รีส์ มาช่วยดูแลการผลิต สารคดีของพวกเขาจะต้องออกมาน่าดูชม จนในที่สุดทั้งสองฝ่ายก็ตัดสินใจมอบหมายให้ เจมส์ เกย์-รีส์ รับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ดูแลการผลิตซีรีส์ Drive To Survive ร่วมกับ Box to Box ทีมโปรดักชั่นที่ทำงานรู้มือรู้ใจกันมานาน
ขณะที่ ลิเบอร์ตี มีเดีย เจ้าของลิขสิทธิ์การแข่งขันรถสูตรหนึ่งชิงแชมป์โลก ก็เปิดไฟเขียวให้ เจมส์ เกย์-รีส์ และทีมงานของพวกเขาถือบัตรผ่านประตูเข้าไปซอกแซกเก็บฟุตเทจได้ทุกพื้นที่ของการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นแพ็ดด็อก, ห้องแต่งตัวนักขับ, โต๊ะทำงานผู้บริหาร ไปจนถึงสำนักงานใหญ่ของแต่ละทีม แม้กระทั่งตามไปถ่ายถึงบ้านพักตอนนั่งกินข้าวกับครอบครัว ซึ่งทุกทีมก็ยินยอมให้เข้ามาถ่ายได้ทุกพื้นที่ แม้แต่ตอนที่พวกเขาประชุมงานกัน ยกเว้นบางกรณีที่ทีมแข่งขันไม่อนุญาตให้ทีมงานเข้าไปเก็บภาพเพราะจะคุยเรื่องการวางแผน การจัดการที่เป็นความลับและจะให้คู่แข่งรู้ไม่ได้
แต่ก่อนที่มันจะกลายเป็นสารคดี Drive To Survive ที่บันทึกเรื่องราวการแข่งขันฤดูกาล 2018 ไอเดียแรกเริ่มของมันคือ ซีรีส์สารคดีที่เล่าเรื่องเบื้องหลังของ "Red Bull Racing" ทีมแข่งดีกรีแชมป์โลกจากออสเตรีย ซึ่ง เจมส์ เกย์-รีส์ เล่าว่าทีแรกพวกเขาได้คุยกับ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ ทีมบอสของ Red Bull ซึ่งแชมป์โลกประเภททีม 4 สมัยก็อนุญาตให้ทีมงานเข้ามาถ่ายทำได้ทุกพื้นที่ โดยมีสองนักขับของทีมในตอนนั้นอย่าง แดเนียล ริคคาร์โด้ กับ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น และ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ เป็นตัวหลักในการดำเนินเรื่อง
แต่เมื่อพิจารณาดูแล้วหากจะเล่าเรื่องของ เรด บูล อยู่ทีมเดียวก็คงไม่ตรงกับชื่อเรื่อง Formula 1 : Drive To Survive ซึ่งทำให้ท้ายที่สุดแล้ว เจมส์ เกย์-รีส์ ตัดสินใจเล่าเรื่องของการแข่งขันทั้งฤดูกาลไปเลย โดยจะเล่าเรื่องของทุกทีม โดยมีทีม Red Bull เป็นตัวเดินเรื่องหลัก
ขณะเดียวกันพวกเขาก็หลีกเลี่ยงที่จะเล่าเรื่องแบบน่าเบื่อ แนวที่มานั่งอธิบายกฎการแข่งขันให้คนดูที่ไม่เคยดู Formula 1 มาก่อนรู้ว่ากีฬาชนิดนี้ดูยังไง หรือมานั่งอธิบายศัพท์เทคนิคกันตั้งแต่ต้น เพราะทีมงานของ เจมส์ เกย์-รีส์ รู้อยู่แล้วว่าพวกเขาจะเล่าเรื่องแบบไหนที่คนดูจะติดตามได้ไม่ยาก
นั่นก็คือการนำเสนอ "ความเป็นมนุษย์" ของนักขับและทีมงาน รวมถึงการต่อสู้ดิ้นรนเพื่อรักษาความฝันเอาไว้
ออกสตาร์ทฉายทั่วโลก
หลังจากใช้เวลา 1 ฤดูกาลในการถ่ายทำ ติดตามสัมภาษณ์นักแข่ง-ทีมแข่ง และตัดต่อเล่าเรื่อง ในที่สุด Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นแรก ความยาว 10 ตอน ก็ได้ฤกษ์ออกฉายทาง Netflix อย่างเป็นทางการที่ได้ดูพร้อมกันทั่วโลกตั้งแต่วันที่ 8 มีนาคม 2019 โดยเนื้อหาหลักจะเล่าเรื่องราวของทีม Red Bull Racing อันมี แดเนียล ริคคาร์โด้ ที่ลงแข่งขันในฤดูกาล 2018 และอยู่ในช่วงที่ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับอนาคตของตัวเองแล้วว่าจะต่อสัญญาอยู่กับต้นสังกัดเดิมหรือย้ายไปแข่งกับทีมอื่น สลับไปกับการเล่าเรื่องของนักแข่งหรือทีมระดับรองและระดับเล็กรายอื่น ๆ อย่างเช่น Renault (Alpine ปัจจุบัน), McLaren, Williams, Force India (Aston Martin ปัจจุบัน), Haas ฯลฯ ที่ต้องลงแข่งขันต่อสู้แย่งชิงอันดับกันตลอดฤดูกาล
Photo : www.nicematin.com
โครงสร้างการเล่าเรื่องของ Formula 1 : Drive To Survive ในซีซั่นแรกจะเริ่มจากปัญหาชีวิตของแต่ละทีม เช่น นักขับผลงานแย่ สูญเสียความมั่นใจ, พ่ายแพ้ให้นักขับที่เก่งกว่า, ต้นสังกัดประสบปัญหาทางการเงิน, โดนสปอนเซอร์ถอนการสนับสนุน ซึ่งเมื่อดำเนินมาถึงกลางเรื่องนักแข่งและทีมเหล่านั้นก็จะเริ่มคิดหาทางแก้ปัญหา ปรับปรุงตนเอง แล้วเมื่อถึงท้ายเรื่อง นักแข่งและทีมเหล่านั้นก็จะร่วมมือร่วมใจกันโชว์ฟอร์มทำผลงานได้ดีจนประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย เช่น การแข่งจนจบการแข่งขัน, ได้คะแนน, ขึ้นโพเดียม หรือดีที่สุดคือได้แชมป์แบบเซอร์ไพรส์
จะว่าไปแล้วการเล่าเรื่องสไตล์นี้ก็เป็นสูตรสำเร็จแบบเดียวกับภาพยนตร์ทั่วไปที่เคยรับชมกัน ตัวเอกเริ่มต้นชีวิตจากศูนย์หรือติดลบ ก่อนจะค่อย ๆ ต่อสู้เพื่อความฝันไปจนถึงช่วงกลางเรื่อง แล้วประสบความสำเร็จในตอนจบแบบ Happy Ending แล้วมันก็กลายเป็นต้นแบบให้ เจมส์ เกย์-รีส์ และทีมงานเอามาใช้เล่าเรื่องใน Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นต่อ ๆ มา
ทั้งนี้ประเด็นใหญ่ที่ Formula 1 : Drive To Survive ที่นำเสนอให้ผู้ชมดูตลอด 10 ตอน คือการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในวงการ F1 ซึ่งหากมองกันแต่ชื่อเรื่อง Drive To Survive อาจหมายถึงการที่นักแข่งแต่ละคนต้องจับพวงมาลัย เหยียบคันเร่งสู้กับคู่แข่ง และเอาชีวิตรอดในความเร็วระดับมัจจุราชเรียกพี่โดยไม่ตายคาพวงมาลัย แต่ Drive To Survive ยังหมายถึงการพยายามทำผลงานให้ดีที่สุดเพื่อรักษาตำแหน่งของตัวเองให้อยู่ในวงการ F1 ต่อไป
นักแข่งหลายคนออกไปต่อสู้กับคู่แข่งและถูกกดดันให้โชว์ฟอร์มให้ดีที่สุด เพื่อที่พวกเขาจะได้รับการการันตีจากต้นสังกัดให้ลงแข่งขันต่อในปีหน้า เพราะในโลกของ F1 หากนักขับทำผลงานไม่โดนใจต้นสังกัด หรือผิดพลาดทำรถพังบ่อยเกินไป พวกเขามีสิทธิ์โดนเขี่ยทิ้งตกเก้าอี้ได้ทุกเมื่อ ขณะเดียวกันบรรดาทีมแข่งที่อยู่ในวงการโดยเฉพาะทีมระดับกลาง ทีมที่เคยยิ่งใหญ่ในอดีต หรือทีมระดับเล็ก ก็ต้องวางแผนการทำงาน บริหารทีม และกระตุ้นให้นักขับในสังกัดทำผลงานให้สปอนเซอร์เกิดความเชื่อมั่นด้วย เพื่อให้ทีมของพวกเขายังคงอยู่รอด สปอนเซอร์ยอมให้เงินสนับสนุนเพิ่ม และได้แข่งต่อในซีซั่นต่อไป
Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นแรก ได้รับความนิยมจากชาวสมาชิก Netflix และแฟน F1 อย่างน่าพึงพอใจ ได้เข้าชิงรางวัล Golden Trailer Awards สาขาสารคดียอดเยี่ยม กับเข้าชิงรางวัล C.A.S. Award สาขาบันทึกเสียงยอดเยี่ยมในปี 2019 แม้สุดท้ายจะพลาดรางวัลทั้งหมด แต่การได้เข้าชิงรางวัลก็ถือเป็นการการันตีว่า Formula 1 : Drive To Survive เป็นสารคดีคุณภาพที่ทาง F1 และ Netflix พอใจอย่างมาก ก่อนเปิดไฟเขียวให้ เจมส์ เกย์-รีส์ และทีมงานแบกกล้องเข้าไปถ่ายทำซีซั่นสองต่อได้เลย
"ดราม่า" ผงชูรสเรียกคนดูชั้นดี
ความสำเร็จของ Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นแรก ทำให้ Formula 1 และ Netflix เซ็นสัญญาระยะยาวในการผลิตสารคดี Drive To Survive ออกมาให้ชมกันอย่างต่อเนื่อง และในเมื่อมันประสบความสำเร็จ บรรดาทีมแข่งระดับบิ๊กอย่าง Mercedes หรือ Ferrari ก็เปิดโอกาสให้ทีมงาน Netlfix เข้ามาพูดคุย สัมภาษณ์ และตามติดชีวิตพวกเขามากขึ้น จากซีซั่นแรกที่แทบไม่ค่อยเห็นบุคลากรจากทีมใหญ่ปรากฏตัวสักเท่าไหร่
Photo : f1i.com
สารคดี Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่นต่อ ๆ มาของ Netflix และทีมงานของ เจมส์ เกย์-รีส์ ยังคงยึดคอนเซ็ปต์เดิมแบบในซีซั่นแรกนั่นก็คือ เล่าเรื่องการต่อสู้ของนักขับกับทีมแข่งใน F1 เพื่อความอยู่รอดในวงการ ที่แม้ว่าจะยังเป็นประเด็นเดิม ๆ แต่ด้วยความที่การแข่งขันรถสูตรหนึ่งนั้นมีการเปลี่ยนแปลงทุกฤดูกาล คนนู้นย้ายไปขับทีมนี้ คนนี้ย้ายไปขับทีมนั้น ทีมนี้แข่งต่อไม่ไหวแล้วต้องลาวงการไป มีทีมใหม่เข้ามาแข่งขันแทน หรือทีมเก่าเปลี่ยนชื่อใหม่ การเปลี่ยนแปลงเหล่านี้จึงทำให้ Formula 1 : Drive To Survive ยังคงน่าติดตามอยู่เรื่อย ๆ
กระนั้นเมื่อสารคดีออกฉายมากซีซั่นไปเรื่อย ๆ สิ่งหนึ่งที่ถูกขับเน้นและขยายเพิ่มเติมเข้ามาคือ "เรื่องราวดราม่า" อันแสนตึงเครียดที่เกิดขึ้นในหลังฉากที่นำเสนอให้เห็นกันแบบทุกซอกทุกมุม ไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ระหว่างนักแข่งกับต้นสังกัดที่ไม่ลงรอยกัน, ทีมบอสของแต่ละทีมเขม่นใส่กัน, การแสดงตัวว่าเป็นศัตรูกันแบบออกนอกหน้า หรือนักขับวิจารณ์เพื่อนร่วมทีมหรือคู่แข่งทีมอื่นด้วยถ้อยคำที่เผ็ดร้อนตรงไปตรงมา ซึ่งเรื่องราวทั้งหมดนี้แต่เดิมถูกเก็บไว้เพียงแค่หลังฉาก แต่พอมันถูกนำเสนอออกมาในพื้นที่สาธารณะ มันจึงกลายเป็นดราม่าที่เรียกความสนใจจากคนดูทั่วไปได้เป็นอย่างดี
อาทิ การปะทะคารมกันระหว่างสองหัวหน้าทีมอย่าง โตโต้ โวล์ฟฟ์ มุมแดงจากฝั่ง Mercedes กับ คริสเตียน ฮอร์เนอร์ มุมน้ำเงินจาก Red Bull Racing ใน Formula 1 : Drive To Survive ที่นำเสนอให้เห็นกันทุกซีซั่นว่าสองคนนี้คือ "คู่แข่ง" และ "คู่กัด" ของวงการโดยแท้จริง เมื่อไหร่ที่ Mercedes คว้าชัยชนะก็จะเห็น คริสเตียน ฮอร์เนอร์ ของ Red Bull ยืนสบถบ่นพึมพำออกจอ หรือหากนักขับของ Red Bull ทำให้ เมอร์เซเดส พลาดโพเดียม ก็จะเห็น โตโต้ โวล์ฟฟ์ ของขึ้นด่าคู่แข่งให้ฟังแบบชัด ๆ หลังฉาก (แต่พอถึงคราวต้องสัมภาษณ์สื่อร่วมกันต่อหน้า ทั้งคู่กลับพูดจาเรียบร้อยกันดี)
ในซีซั่นที่ 4 ตอนที่ McLaren คว้าตัว แดเนียล ริคคาร์โด้ มาร่วมทีมในฐานะนักแข่งมือ 1 แต่พอทำผลงานได้ไม่ดีเท่าที่หลายฝ่ายคาดหวัง แลนโด้ นอร์ริส ทีมเมตรุ่นน้องก็ถือโอกาสวิจารณ์รุ่นพี่ทำนองว่าตัวเองเหนือกว่า หรือ นิกิต้า มาเซปิน นักแข่งชาวรัสเซียที่อยู่กับทีม Haas ที่พอมีผลงานในสนามไม่ดีก็ตีโพยตีพาย โทษรถ โทษทีมงาน พูดจาหยาบคายออกสื่อ แล้วเมื่อ Formula 1 : Drive To Survive นำเสนอบุคลิกของ มาเซปิน ออกไปก็ทำให้เจ้าตัวถูกแฟน F1 มองในแง่ไม่ดีเท่าไหร่นัก
กระนั้นความดราม่าเหล่านี้คือผงชูรสชั้นดีที่ทำให้ Formula 1 : Drive To Survive มีเสน่ห์ที่ไม่เหมือนสารคดีเล่าเรื่องทั่วไป ขณะเดียวกันมันยังตีแผ่ความเป็น "มนุษย์" ที่มีเลือดเนื้อและจิตใจของทุกคนในวงการ Formula 1 ให้ชาวบ้านชาวช่องทั่วไปเข้าถึงและจับต้องได้ ซึ่งทุกคนก็ได้เห็นว่าที่สุดแล้วนักแข่งรถทุกคนแม้หน้าฉากจะยิ้มแย้มพูดจาดีต่อกันหรือมีดีกรีความสำเร็จยิ่งใหญ่แค่ไหน แต่ลับหลังพวกเขาก็เป็นเหมือนมนุษย์ปกติที่พูดนินทาคนนู้นคนนี้ลับหลัง หรือมีอารมณ์ รัก โลภ โกรธ หลง เห็นแก่ตัว เหมือนคนทั่วไป
1
FORMULA 1 ปังไปทั่วโลกเพราะ "ดราม่า"
หากเปรียบ Formula 1 : Drive To Survive เป็นร้านอาหารที่เติม "ดราม่า" เป็นผงชูรสให้อาหารอร่อยเหาะ มันก็คงจะเป็นร้านอาหารที่โด่งดังมาก ๆ เมื่อมีการเปิดเผยว่าสารคดีมินิซีรีส์นี้ทำให้ F1 มีฐานคนดูเพิ่มขึ้นทุกฤดูกาล โดยเฉพาะที่สหรัฐอเมริกา ที่แฟนความเร็วส่วนใหญ่จะดูแต่ NASCAR หรือ IndyCar แต่พอซีรีส์ Formula 1 : Drive To Survive ออกฉาย ชาวอเมริกันชนก็เริ่มทำความรู้จัก F1 แล้วหันมาติดตามชมการแข่งขันมากขึ้น ชนิดที่ ลิเบอร์ตี มีเดีย เจ้าของลิขสิทธิ์ F1 ของอเมริกา ยิ้มแก้มแทบฉีกเพราะการทำให้ F1 ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นคือสิ่งที่พวกเขาตั้งใจมานานแล้ว
Photo : www.foxsports.com.au
รายงานเปิดเผยว่าตั้งแต่ซีรีส์ Formula 1 : Drive To Survive ออกฉาย คนอเมริกาหันมาดูการถ่ายทอดสด F1 เพิ่มขึ้นถึง 946,000 ครัวเรือนต่อหนึ่งเรซ ถือเป็นตัวเลขที่เพิ่มขึ้น 56% เมื่อเทียบกับปี 2020 ที่มียอดคนดูการถ่ายทอดสดอยู่ที่ 41% ต่อเรซ แม้แต่ เอลเลน ดีเจเนเรส พิธีกรรายการทอล์กโชว์ชื่อดัง "The Ellen Show" ก็ยังหันมาชมการแข่งขัน F1 เพราะชื่นชอบเรื่องราวในซีรีส์ Drive To Survive แถมยังเป็นแฟนคลับของ แดเนียล ริคคาร์โด้ นักแข่งหน้าเปื้อนยิ้มจากออสเตรเลีย ที่มีบุคลิกเฟรนด์ลี่เข้าถึงทุกคนได้ง่ายและปรากฏตัวทุกซีซั่นอีกต่างหาก
สมัยก่อน F1 มักมีภาพลักษณ์ว่าเป็นกีฬาที่ดูยากกว่ากีฬาแข่งรถอื่น ๆ เพราะไม่ใช่การเหยียบคันเร่งแข่งกันเข้าเส้นชัยเพียงอย่างเดียว แต่ยังต้องมีการแวะเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนยาง เปลี่ยนอะไหล่ หรือมีกฏกติกาที่ซับซ้อนพอสมควร แต่ในเมื่อ Drive To Survive พุ่งเป้าไปเล่าเรื่องราวของนักขับและทีมแข่งขันแบบเข้าใจง่าย เน้นดราม่าเข้าไว้ ก็ทำให้คนดูที่หันมาชม Drive To Survive ค่อย ๆ เปิดใจหันมาชมการแข่งขัน F1 มากขึ้น อาจจะเริ่มจากเลือกตัวละครหรือทีมที่ชื่นชอบในสารคดีก่อนแล้วค่อยไปติดตามดูในสนามจริงว่าผลงานเป็นอย่างไร
เมื่อคนดูและนักแข่งเริ่มเบื่อ "ดราม่า"
ถึงจะเป็นผงชูรสชั้นดีแต่เมื่อความดราม่าของ Formula 1 : Drive To Survive ถูกผลิตซ้ำต่อเนื่องทุกซีซั่นก็ทำให้คนดูบางส่วนพาลเบื่อหน่าย เช่นเดียวกับคุณภาพการเล่าเรื่องที่ค่อย ๆ ร่วงหล่น ยกตัวอย่าง Drive To Survive ซีซั่น 3 ที่ออกฉายในปี 2021 ซึ่งเป็นช่วงที่การแข่งขันฤดูกาล 2020 ต้องยกเลิกชั่วคราวเพราะการระบาดของเชื้อไวรัส COVID-19 ใน EP. แรก แทนที่ทีมงานจะใช้โอกาสนี้เล่าเรื่องวิธีการบริหารทีม การเอาตัวรอดในช่วงการเกิดโรคระบาดของนักขับหรือทีมแข่ง พวกเขาเลือกที่จะตัดจบดื้อ ๆ แล้วพอเข้า EP.2 ก็มาคลี่คลายว่าทุกทีมได้กลับมาแข่งตามปกติแล้วซะอย่างนั้น แต่หากมองว่าช่วงการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้กองถ่ายและทีมแข่งไม่สามารถเข้าใกล้กันได้ก็ยังพอให้อภัยได้อยู่
Photo : www.autosportfoto.sk
หรือใน EP.9 ของซีซั่น 3 ที่ทีมงานพยายามบิลด์อัปเรื่องราวชีวิตของ เซร์คิโอ เปเรซ นักซิ่งตัวเก๋าชาวเม็กซิกัน สังกัด Racing Point ที่ต้องทำผลงานในช่วงท้ายฤดูกาลให้ดี เพื่อจะได้ย้ายไปขับกับ Red Bull แทนที่ของ อเล็กซานเดอร์ อัลบอน นักแข่งลูกครึ่งไทย-อังกฤษ หลังเจ้าตัวกำลังจะตกงานเพราะ Racing Point ที่กำลังจะรีแบรนด์เป็น Aston Martin คว้าตัว เซบาสเตียน เวทเทล แชมป์โลก 4 สมัยมาแทนที่แล้ว
การที่ Netflix ให้ซีนกับ เปเรซ มากเป็นพิเศษทำนองว่าชีวิตฉันผ่านดราม่าและความยากลำบากมาเยอะมาก เล่าเรื่องยืดยาวแถมดึงดราม่าชวนให้รู้สึกเห็นใจนักแข่งรายนี้มากเกินไปก็ทำให้คนดูรู้สึกเบื่อพอสมควร แม้ท้ายที่สุด เปเรซ จะได้ย้ายไป Red Bull สมใจก็ตาม
หรือในซีซั่น 4 ที่ทีมงาน Drive to Survive จับเอา แดเนียล ริคคาร์โด้ กับ แลนโด้ นอร์ริส มาวางตำแหน่งให้เป็นคู่แข่งกันแล้ววิจารณ์กันเอง ซึ่งเมื่อเอาเรื่องดราม่าในทุกซีซั่นมารวมกัน มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น นักแข่งจาก Red Bull Racing ที่มารู้เรื่องนี้ภายหลังก็ตัดสินใจประกาศไม่ขอมีส่วนร่วมหรือให้สัมภาษณ์ใด ๆ กับทีมงานของ Drive To Survive ในฤดูกาล 2021 ทั้งสิ้น นอกจากให้ใช้ฟุตเทจจากการแข่งขันเท่านั้น เพราะเจ้าตัวไม่ชอบที่ทีมงาน Drive To Survive และ Netflix พยายามใส่สีตีไข่ ปั้นเรื่องราวขายดราม่ามากจนเกินไป ทั้งที่ชีวิตจริงมันไม่เป็นแบบนั้นเลย
"ผมดูไปแล้วสองตอน บอกเลยว่าไม่ประทับใจสักนิด" เวอร์สแตพเพ่น เจ้าของแชมป์โลกปี 2021 เปิดเผย "การปั้นเรื่องให้เป็นคู่แข่งกันนั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมคิดเลย แลนโด้ กับ แดเนียล เป็นคนที่ดีมาก ๆ เท่าที่ผมเคยรู้จัก พวกเขามีคาแร็กเตอร์ชัดเจน แต่ในซีรีส์พวกเขากลับถูกนำเสนอให้ดูไม่เป็นมิตรต่อกันสักเท่าไหร่ นั่นไม่ถูกต้องเลย และนั่นก็ทำให้ผมไม่อยากมีส่วนร่วมกับซีรีส์เรื่องนี้"
ไม่เพียงแค่ มักซ์ ที่คิดอย่างนั้น ทีมเมตรุ่นพี่อย่าง เซร์คิโอ เปเรซ ก็เป็นอีกคนที่คิดว่า Drive To Survive ชักจะออกทะเลเกินไปแล้วเมื่อเทียบกับซีซั่นแรกที่เน้นการต่อสู้เพื่อความอยู่รอดในวงการ และคิดที่จะปฏิเสธไม่ให้ความร่วมมือกับทีมถ่ายทำหากรู้สึกว่าทีมงานพยายามปั้นดราม่ามากจนเกินไป "พวกเขาพยายามเขียนบทให้มันมากเกินไป ซึ่งในการแข่งขันแต่ละฤดูกาลนั้นมันก็ดราม่ามากพออยู่แล้ว พวกเขาเริ่มจะออกทะเลไปทุกที"
และดูเหมือนว่าคนดูจะเริ่มเบื่อความดราม่าใน Drive To Survive แล้วเช่นเดียวกันเมื่อสังเกตดูคะแนนคุณภาพจากช่อง Rotten Tomatoes จะเห็นว่าคะแนนของ Drive To Survive ที่เคยทำได้สูงลิ่วในซีซั่นแรกถึง 88% เริ่มสาละวันเตี้ยลงไปเรื่อย ๆ โดยเฉพาะซีซั่น 3 ที่ตกวูบแบบเหลือ 61% แถมเป็นซีซั่นที่คนดูส่วนใหญ่ รวมทั้งแฟน Formula 1 มีความคิดเห็นตรงกันว่าเป็นซีซั่นที่ไม่สนุกเอาเสียเลย
ซีซั่น 5 ยังจะ "ดราม่า" ต่อ ?
เรื่องราวของ Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่น 4 จบลงด้วยการแข่งขันสนามสุดท้ายของปี 2021 กับรายการ อาบูดาบี กรังด์ปรีซ์ ที่ตำแหน่งแชมป์โลกตกเป็นของ มักซ์ เวอร์สแตพเพ่น นักแข่งจากค่าย Red Bull ที่จัดการเอาชนะ ลูอิส แฮมิลตัน จอมเก๋าจากทีม Mercedes แบบสุดดราม่าในช่วงรอบสุดท้าย และแน่นอนว่าด้วยความที่เรซนี้จบลงแบบดุเดือด เปี่ยมดราม่า และมีข้อโต้เถียงมากมาย ทีมงาน Drive To Survive จึงไม่พลาดที่จะบันทึกเหตุการณ์นี้แล้วเอามาขยี้จนเป็นไฮไลท์ของซีซั่นกันเลยทีเดียว
Photo : corp.formula1.com
หลังจากซีซั่น 4 ออกฉายครบ 10 ตอน ซึ่งมีทั้งคนที่ชื่นชอบและเบื่อหน่ายกับดราม่าที่นำเสนอกันแบบล้นจอ 4 ซีซั่นติด คำถามสำคัญคือ Formula 1 : Drive To Survive จะมีซีซั่นที่ 5 ออกมาให้ดูกันหรือไม่ ซึ่งทาง เจมส์ เกย์-รีส์ ผู้อยู่เบื้องหลังการผลิต Drive To Survive ได้แย้มว่าตอนนี้พวกเขาและทีม Netflix กำลังพูดคุยกันอยู่ แต่ก็มีแนวโน้มที่จะมีภาคต่อให้ดูแน่นอนเพราะสองทีมบอสตัวละครหลักอย่าง คริสเตียน ฮอร์เนอร์ กับ โตโต้ โวล์ฟฟ์ (ที่ถูกแซวว่าเป็นพระเอกของซีรีส์ไปแล้ว) ยังยินดีที่จะกลับมาในซีซั่น 5 แม้จะฟาดฟันกันอย่างดุเดือดเมื่อซีซั่นที่แล้ว
"ผมนั่งคุยกับ คริสเตียน และ โตโต้ ในช่วงการทดสอบพรีซีซั่นที่บาร์เซโลน่า ดูเหมือนว่าพวกเขาอยากจะกลับมาอีกครั้งแล้วเริ่มต้นกันใหม่ แม้ว่าพวกเขาจะเหนื่อยกันมากในซีซั่นที่แล้ว" เจมส์ เกย์-รีส์ เผยรายละเอียด ส่วนการประกาศเปิดตัวซีซั่นใหม่คาดว่าจะมีขึ้นในช่วงกลางฤดูกาล 2022 ซึ่งก็ถือเป็นช่วงเวลาปกติที่ Formula 1 : Drive To Survive มักประกาศซีซั่นใหม่เป็นประจำ
สำหรับ Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่น 5 มีความเป็นไปได้สูงที่ทีมงานจะเอาความดราม่ามาเป็นจุดขายอีกครั้ง เพราะแค่ยังไม่ทันเปิดฤดูกาล 2022 ก็มีประเด็นที่ นิกิต้า มาเซปิน นักแข่งจากทีม Haas ถูกเขี่ยตกเก้าอี้พร้อมกับ Uralkali สปอนเซอร์ส่วนตัว เพราะความที่ Uralkali มี ดิมิทรี มาเซปิน คุณพ่อของ นิกิต้า มาเซปิน นั่งเก้าอี้เป็นผู้บริหาร แถมยังมีความสัมพันธ์ชิดเชื้อกับ วลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำของรัสเซีย ผู้อยู่เบื้องหลังการสั่งกองทัพเข้าโจมตียูเครนจนชาวโลกประณาม แน่นอนว่าดราม่าแบบนี้คือวัตถุดิบชั้นดีที่ทีมงาน Drive To Survive ตะครุบรอไว้แล้ว และน่าจะเอามาเป็นตอนเปิดซีซั่น 5 เสียด้วย
ดังนั้นคงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจหาก Formula 1 : Drive To Survive ซีซั่น 5 จะเป็นอีกหนึ่งซีซั่นที่ทีมงานจะเก็บทุกความดราม่าที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกสนามมาเสิร์ฟให้คนดูและแฟน Formula 1 ได้ชมกันแบบเต็มจอเหมือนเดิม แม้เนื้อหาจะไม่ถูกใจคนในวงการหรือแฟน ๆ ที่ติดตามวงการรถสูตรหนึ่งแบบพันธุ์แท้ แต่คนที่อยู่นอกวงการหรือคนดูทั่วไปก็พร้อมที่จะติดตามมันต่ออยู่ดี
เพราะธรรมชาติของมนุษย์ก็จะอยากรู้อยากเห็นเรื่องของคนอื่น และชอบเสพดราม่ากันอยู่แล้ว
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา