21 มี.ค. 2022 เวลา 09:56 • การตลาด
7 ข้อเบื้องต้น เตรียมตัวเป็น “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์”
สิ่งที่ต้องเรียนรู้ในการเป็นนักขายบนโลกออนไลน์ คือ การเตรียมตัวก่อนเปิด “ร้านค้าออนไลน์” ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง? เมื่อเปิดขายจริงจะได้ค้าขายไม่ติดขัด ช่วยให้ทำยอดขายได้ดี และลดโอกาสขาดทุน
1. กำหนดงบลงทุน และเลือกสินค้าที่จะขาย
“งบลงทุน” เป็นสิ่งแรกที่ต้องวางแผนงบการขายสินค้า เพราะจะเป็นตัวกำหนดให้เราใช้เงินลงทุนในงบที่กำหนด ป้องกันการใช้งบบานปลาย
สิ่งที่ควบคู่กันมาก็คือ การหาสินค้ามาขาย ควรเริ่มต้นจากความชอบของผู้ค้า และเช็กความต้องการของลูกค้าในตลาดด้วย รวมถึงมองหา “แหล่งสินค้า” ที่จะนำมา “ขายของออนไลน์” โดยสามารถหาซื้อได้จากหลายแหล่ง ซึ่งมีราคาและคุณภาพที่แตกต่างกันออกไป จึงควรลงพื้นที่สำรวจสินค้า เพื่อให้ได้สินค้าที่ดีตรงกับความต้องการลูกค้ามากที่สุด
โดย “แหล่งสินค้า” ที่พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ส่วนใหญ่นิยมไปเสาะหาสินค้ามาขายก็ต้องดูแหล่งที่เป็นจุดเเข็งของตัวเอง มีทั้งนำเข้าจากจีนหรือของในชุมชนที่มีจำนวนมากหาได้ทั่วไป
2. ช่องทางการขายสินค้า เลือกให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย
ช่องทางการขายสินค้าออนไลน์มีหลากหลาย เช่น ขายบน เว็บไซต์ ที่เปิดใหม่ขึ้นเอง ซึ่งแม้จะต้องลงทุนเพื่อทำเว็บไซต์ของตัวเอง แต่ก็มีข้อดี คือ สามารถบริหารจัดการหน้าร้าน การแสดงผล รวมถึงฟังก์ชั่นที่ต้องการได้ตามที่ต้องการ
นอกจากนี้ยังสามารถขายผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยมอย่าง e-Marketplace เช่น Shopee, Lazada ก็สะดวกง่ายดาย หรือจะขายผ่าน Social Commerce อาทิ Facebook, IG, Line ที่เดี๋ยวนี้เพิ่มฟีเจอร์ใหม่ให้สามารถค้าขายบนแพลตฟอร์มเหล่านี้ได้และเริ่มเป็นที่นิยมมากขึ้น
รวมไปถึงการขายสินค้าผ่านเว็บไซต์ประเภท E-Classified อาทิ kaidee.com โดยเลือกหมวดที่ต้องการแล้วเข้าไปประกาศซื้อขายได้ฟรีๆ เช่นกัน
ส่วนจะเลือกขายผ่านช่องทางไหนนั้น ก็ต้องศึกษาลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย และการเข้าถึงของลูกค้า เพื่อที่จะได้เลือกช่องทางการขายได้ตรงกับการใช้งานกลุ่มเป้าหมายมากที่สุด โดยแม้เราจะสามารถเลือกขายได้ไม่ต่ำกว่าหนึ่งช่องทาง แต่ก็ต้องประเมินกำลังของตัวเองด้วยว่า จะสามารถรองรับลูกค้าจากหลายช่องทางได้พร้อมกันหรือไม่ เพราะหน้าร้านมากขึ้นก็จะเท่ากับลูกค้าและจำนวนออเดอร์ที่มากขึ้นตามไปด้วยนั่นเอง
3. ทำการตลาดบนโซเชียลมีเดีย
แม่ค้ามือใหม่ต้องให้ความสำคัญกับ “การตลาดออนไลน์” หรือการโปรโมทร้านค้าผ่านโซเชียลมีเดียต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Facebook, TikTok, Twitter, Instagram, Line หรือ YouTube เพื่อช่วยเพิ่มช่องทางการขายและการตลาด
เนื่องจากสื่อเหล่านี้สามารถข้าถึงคนจำนวนมากได้ง่ายและรวดเร็ว สามารถโต้ตอบระหว่างผู้ซื้อและผู้ขายได้ทันที นับเป็นเครื่องมือที่คุ้มค่า และช่วยประหยัดต้นทุนการโปรโมทร้านได้มาก
โดยการทำการตลาดบนโซเชียลในยุคนี้ แพลตฟอร์มยอดนิยมคงหนีไม่พ้น “TikTok” ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นที่กำลังมาแรงที่สุด ไม่เพียงสามารถเข้าถึงผู้บริโภคได้หลากหลาย แต่ยังเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังสำหรับการทำดิจิทัลมาร์เก็ตติ้ง
โดยมีข้อมูลจาก App Annie ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์แอปพลิเคชันทั้งจากระบบ iOS และ Google Play และวิเคราะห์เชิงข้อมูลการตลาด ระบุถึงการใช้งาน TikTok ในประเทศไทยว่า มีการเติบโตทั้งด้านจำนวนผู้ใช้งานและการใช้เวลาบนแพลตฟอร์ม
โดยเปรียบเทียบข้อมูลในเดือนมกราคม ของปี 2564 กับปี 2563 พบว่า ประเทศไทยมีการดาวน์โหลดแอปฯ TikTok เพิ่มสูงขึ้น 44% การใช้งานของผู้ใช้แต่ละคนเพิ่มขึ้น 71% ขณะที่การใช้งานแต่ละครั้งเพิ่มสูงขึ้น 47%
สำหรับแม่ค้ามือใหม่ที่ต้องการทำการตลาดบนแพลตฟอร์มนี้ สามารถเริ่มต้นศึกษาการโปรโมทธุรกิจผ่าน TikTok For Business คลิกที่นี่
4. บริหารจัดการ “เวลา” ตอบลูกค้ายิ่งเร็วยิ่งดี
ก่อนจะเริ่มขายออนไลน์จริง ควรเตรียมการและซักซ้อมเรื่องการบริหาร “เวลา” ให้ดี เนื่องจากการขายออนไลน์จะมีการซื้อ-ขายกันตลอด 24 ชั่วโมง ผู้ค้าต้องตั้งรับจุดนี้ให้ได้ เพื่อไม่ให้การค้ามาทำลายสมดุลชีวิตจนร่างกายพัง
ผู้ค้าออนไลน์ยังสามารถใช้เทคโนโลยี “แชทบอท” (Chatbot) ซึ่งเป็นโปรแกรมสื่อสารข้อความอัตโนมัติใน แจ้งข้อมูลเบื้องต้น เช่น ราคาและรายละเอียดสินค้า ซึ่งวิธีนี้นอกจากจะให้ข้อมูลเบื้องต้นแก่ลูกค้าโดยไม่ต้องมาคอยเฝ้าแชทแล้ว ยังช่วยให้ลูกค้ารู้สึกได้รับการตอบสนอง ไม่ถูกทิ้งขว้างจนกลายเป็นหันไปหาร้านอื่นแทน
นอกจากนี้ เรายังสามารถเขียนรายละเอียดให้ชัดเจนว่า สามารถรับออเดอร์ลูกค้าได้ช่วงเวลากี่โมงถึงกี่โมง และจะรีบตอบกลับเร็วที่สุดที่จะทำได้ เป็นต้น
5. ช่องทางการชำระเงิน ต้องให้ลูกค้าสะดวกที่สุด
ผู้ค้าควรจัดเตรียมช่องทางการชำระเงินให้มีความหลากหลาย เพื่อความสะดวกแก่ลูกค้าเวลาชำระเงิน ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินปลายทาง, การโอนจ่ายเงินผ่าน e-Banking, การจ่ายผ่านบัตรเครดิต/เดบิต, จ่ายผ่านเคาน์เตอร์เซอร์วิส, จ่ายผ่านบัญชีออนไลน์อื่น ๆ (PayPal, Rabbit LINE pay, mPay) รวมถึงควรระบุค่าธรรมเนียมในการจัดส่งให้ชัดเจนด้วย
อีกทั้งต้องมีบริการหลังการขายที่ดี กล่าวคือต้องใส่ใจลูกค้าและรับผิดชอบหากเกิดกรณีผิดพลาด เช่น หากส่งสินค้าผิดหรือสินค้าเสียหาย (จากต้นทางที่ร้าน) อาจรับผิดชอบโดยการโอนเงินคืนให้ลูกค้า หรือเปลี่ยนสินค้าให้ใหม่ฟรี เป็นต้น อย่าทำให้กลายเป็น “เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย” เพื่อเป็นการมัดใจลูกค้าให้กลับมาอุดหนุนเราอีกในอนาคต
6. เข้าใจการยื่นภาษีของ “ร้านค้าออนไลน์”
รู้หรือไม่? อาชีพ “ขายของออนไลน์” พ่อค้าแม่ค้าก็ต้อง “ยื่นภาษี” เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเป็นผู้ค้าออนไลน์ที่มีรายได้ทางเดียวจากการขายของออนไลน์ หรือจะเป็นมนุษย์เงินเดือนที่ขายของออนไลน์ควบคู่ไปด้วย ต่างก็ต้องยื่นภาษี 2 แบบ คือ ภ.ง.ด. 94 และ ภ.ง.ด. 90 โดยจะต้องยื่นภาษีตามที่กรมสรรพากรกำหนด ดังนี้
รอบแรก : ยื่นภาษีครึ่งปี ช่วง ก.ค. – ก.ย. ของทุกปี นำเงินได้ ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.- 30 มิ.ย. มาแสดงในการยื่นภาษี ตามแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 94 ภายในวันที่ 1 ก.ค.-30 ก.ย.
รอบที่ 2 : ยื่นภาษีปลายปี ช่วง ม.ค. – มี.ค. ของทุกปี โดยนำเงินได้ทั้งปี มากรอกในแบบฟอร์ม ภ.ง.ด. 90 ภายในวันที่ 1 ม.ค. – 31 มี.ค. ของปีถัดไป (เช่น เงินได้ปี 2563 ต้องยื่นใน มี.ค.2564)
อ่านเพิ่ม : ‘ขายของออนไลน์’ ต้อง ‘ยื่นภาษี’ แบบไหน? เช็กวิธียื่นภาษีง่ายๆ จบไว ไม่ยุ่งยาก
7. จัดส่งสินค้าต้องเร็ว ราคาไม่แพงด้วย Drop ship fulfillment
การจัดส่งสินค้าก็เป็นอีกเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี ต้องเลือกระบบขนส่งสินค้าที่ส่งของได้เร็ว สะดวก มีบริการเสริมที่ดี ที่สำคัญคือต้องมีค่าส่งที่ไม่แพง เพื่อให้ “พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์” ได้กำไรมากขึ้น อย่างเช่นการใช้บริการส่งสินค้ากับ “ไปรษณีย์ไทย” ก็เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่ช่วยให้ผู้ค้าออนไลน์ส่งสินค้าได้สะดวกรวดเร็วและราบรื่นขึ้น รวมถึงการขนส่งโลจิตติกต่างๆที่มีมากมายในปัจจุบัน
อีกทั้งปัจจุบันสะดวกด้วยเนื่องจากมีระบบเฉลี่ยทุน เช่น เฉลี่ยโกดังร่วมกัน จัดส่งร่วมกัน ลดงานจุกจิกหลังบ้านเรื่องการขนส่ง ระบบที่เรียกว่า Drop ship และระบบ Fulfillment ก็เข้ามามีบทบาทมากขึ้นสะดวกง่ายต่อการจัดส่งของเเม่ขายออนไลน์เป็นอย่างมาก ไม่ต้องแพ็คของส่งด้วยตัวเอง ลดภาระกังวลงานหลังบ้านไปได้เยอะเลยที่เดียว
อ้างอิง : กรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์
#ขายของออนไลน์
#digital marketing
#online marketing
#สถานีตลาดออนไลน์มือใหม่ ไปมือโปร
#happy2wealth
โฆษณา