22 มี.ค. 2022 เวลา 12:39 • กีฬา
ปิแอร์-เอเมริก โอบาเมย็อง กับ อาร์เซน่อล ตอนอยู่ด้วยกันจะล่มจมไปพร้อมกัน แต่พอแยกกันปั๊บ ชีวิตกลับดีขึ้นทั้งคู่ ต่างคนต่างไปได้สวย เรื่องราวเป็นอย่างไร วิเคราะห์บอลจริงจังจะเล่าให้ฟัง
เรื่องราวดราม่าทั้งหมด เริ่มต้นในฤดูกาล 2021-22 เมื่ออาร์เซน่อลฟอร์มตก จนน่าตกใจ 3 เกมแรกของฤดูกาล แพ้รวด 3 นัด จมเป็นบ๊วยของลีก จากนั้นฟอร์มก็เริ่มกระเตื้อง มีชนะบ้าง แต่ดูแล้วยังห่างไกลกับการติดท็อปโฟร์ของลีกอยู่ดี
10
ผ่านไป 15 เกม อาร์เซน่อลอยู่อันดับ 7 ของตาราง ปัญหาหลักของทีมคือการจบสกอร์ เพราะโอบาเมย็องเล่นได้แย่มาก เขาลงเล่น 14 นัด ยิงไป 4 ประตู แต่อาร์เตต้าก็ทนมาเรื่อยๆ เขาอยากถอดโอบาทิ้งซะเลย แต่ก็ทำไม่ได้ เพราะนี่คือกัปตันทีม และเป็นคนได้ค่าเหนื่อยสูงสุดของสโมสร เขาจะตอบคำถามแฟนบอลอย่างไร ถ้าทิ้งนักเตะค่าเหนื่อยสูงสุดไว้ข้างสนามเป็นตัวสำรอง
อย่างไรก็ตาม จุดแตกหักเกิดขึ้นในเดือนธันวาคม 2021 เมื่อโอบาเมย็อง เดินทางไปเยี่ยมคุณแม่ที่ประเทศฝรั่งเศส เขาสัญญากับสโมสรว่าจะกลับมาภายในวันที่ 8 ธ.ค. แต่สุดท้าย กลับมาช้ากว่ากำหนด 1 วัน เป็นวันที่ 9 ธ.ค.
การกลับมาช้า 1 วัน ทั้งๆที่ สโมสรขอร้องแล้วให้กลับมาตรงเวลา ทำให้อาร์เตต้าไม่พอใจ แล้วบอกว่าโอบาเมย็องไม่ต้องมาซ้อมร่วมกับเพื่อน จากนั้นก็ตัดชื่อโอบาเมย็องทิ้งจากทีม ตามด้วยยึดปลอกแขนกัปตันทีม
จุดนี้อาร์เตต้าก็โดนวิจารณ์ว่าทำรุนแรงเกินไป เลตแค่ 1 วัน เอง มันเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนั้นเลยหรือ? แต่มีการวิเคราะห์กันว่า อาร์เตต้าอยากหาช่องทางในการโละโอบาเมย็องออกจากทีมอยู่แล้ว ยิ่งพอนักเตะมาทำผิดวินัยแบบนี้ด้วย ทุกอย่างเลยเข้าทางเลย
สิ่งที่น่าสนใจคือ เมื่ออาร์เซน่อลไม่ใช้โอบาเมย็อง ทีมเล่นดีขึ้นมากๆ นักเตะดาวรุ่งทั้ง บูกาโย่ ซาก้า, เอมิล สมิธ โรว์, กาเบรียล มาร์ติเนลลี่ และ มาร์ติน โอเดการ์ด พอได้เล่นร่วมกัน กลับคลิก และไหลลื่นมาก อาร์เซน่อลยิงประตูกระจุยกระจาย
หลังจากไม่มีโอบาเมย็อง อาร์เซน่อลลงเล่นอีก 4 เกมในเดือนธันวาคม 2021 และชนะคู่แข่ง 100% เต็ม พร้อมกับยิงประตูได้ถึง 14 ลูก
สมิธ โรว์ 3 ลูก, ซาก้า 3 ลูก, มาร์ติเนลลี่ 3 ลูก และ โอเดการ์ด 1 ลูก จะเห็นเลยว่า เด็กๆ เหล่านี้ รัวยิงกันอย่างเมามันส์ อาร์เซน่อลจากทีมที่ดูมืดมนไม่เห็นทรง กลับยกระดับเป็นทีมที่น่ากลัวขึ้น วูบวาบขึ้น อันตรายขึ้น
และความหวังจากที่ไม่น่าจะไปถึงท็อปโฟร์ได้ กลับพลิกสถานการณ์ กลายเป็นดูดีขึ้นเรื่อยๆ คือมันก็ช่วยไม่ได้จริงๆ ที่ผู้คนจะคิดว่า การมีอยู่ของโอบาเมย็องคือปัญหา (เพราะพอไม่ส่งลงปั๊บทีมเล่นดีทันที)
จากนั้นมา โอบาเมย็อง ไม่ได้รับโอกาสให้ลงเล่นอีกเลยแม้แต่นาทีเดียว ก็คิดตามคอมม่อนเซนส์ คุณอุตส่าห์เจอแผนการเล่นที่ใช่เลย ลงตัว แล้วจะเปลี่ยนแปลงด้วยการเอาโอบาเมย็องมาเล่นไปทำไมล่ะ
10
พอทีมแข็งแกร่งเมื่อไม่มีโอบาเมย็อง ก็เลยเกิดคำถามว่า แล้วจะเก็บโอบาไว้ทำไมล่ะ? เพราะถ้าคิดในแง่การเงิน อาร์เซน่อลจ่ายค่าเหนื่อยให้โอบา สูงสุดในสโมสรที่วีกละ 250,000 ปอนด์ ถ้ารวมโบนัสใดๆ ก็ถึง 350,000 ปอนด์ แต่ถ้าต้องเก็บไว้เรื่อยๆ ทั้งๆ ที่ ไม่ได้ส่งลง แล้วจะเสียเงินโดยใช่เหตุทำไม
คิดคำนวณดูง่ายๆ โอบาเหลือสัญญากับอาร์เซน่อลอีก 1 ปี ครึ่ง ดังนั้นแปลว่า ถ้านักเตะอยู่ไปจนครบสัญญา สโมสรต้องจ่ายเงินให้โอบา ขั้นต่ำ 19.5 ล้านปอนด์ ถ้าคิดแบบนี้สู้ปล่อยทิ้ง แล้วเอาเงินก้อนนี้ กระจายไปเสริมในจุดอื่นๆ ยังจะดีซะกว่า
1
เอาจริงๆ ถ้าอาร์เตต้าจะกำจัดโอบาเมย็องแต่แรก เขาคงทำไม่ได้ เพราะแฟนบอลคงเบรกไว้ แต่เมื่อเด็กๆ ดาวรุ่ง ทำผลงานกันได้ดีแบบนี้ มันก็พอจะเป็นเหตุผลที่จะโละโอบาทิ้งได้
ในเกมฟุตบอล ถ้าคุณมีผลงานดี คุณจะมีพาวเวอร์ทำในสิ่งที่ต้องการได้ และถ้าเราคิดแทนอาร์เตต้า ก็เข้าใจได้เหมือนกันในเหตุผลที่จะโละ เพราะคิดตามหลักการแล้ว หากไม่เอาของเก่าออกไป แล้วจะมีพื้นที่ให้ของใหม่พัฒนาได้อย่างไร จริงไหม
ในช่วงเดดไลน์ของตลาดมกราคม อาร์เซน่อลจึงตกลงกับโอบาเมย็องว่า พร้อมจะให้เขาย้ายไปไหนก็ได้ แบบ Free Agent ย้ายได้เลยทันทีโดยไม่มีข้อผูกมัด โดย Times รายงานว่า อาร์เซน่อลจะจ่ายเงินค่าแยกทางให้ด้วยเป็นตัวเลข 7 ล้านปอนด์ (แต่บางสื่อบอกว่า อาร์เซน่อลจ่ายให้จริงแต่ไม่มากขนาดนั้น)
22
จุดนี้ก็ถือเป็นความเด็ดเดี่ยวของอาร์เตต้าเหมือนกัน ที่ตัดสินใจว่าอาร์เซน่อลที่ไม่มีโอบาเมย็อง น่าจะไปได้สวยกว่า การมีโอบาเมย็องอยู่ด้วย
ในมุมหนึ่ง นี่ถือเป็นคำขอบคุณที่อาร์เซน่อลมอบให้โอบาเมย็อง ที่ร่วมงานกันมานาน แม้ตัวนักเตะจะเหลือสัญญาอีก 1 ปีครึ่งก็ไม่เป็นไร อาร์เซน่อลยอมจ่ายค่าชดเชย และไม่ขอรับเงินจากการขายนักเตะไม่ขอเอาเงินแม้แต่ปอนด์เดียว ให้นักเตะย้ายไปสโมสรที่ต้องการได้เลย
--------------------------------
จากอังกฤษไปที่สเปน ฝั่งสโมสรบาร์เซโลน่า เกิดวิกฤตในช่วงต้นฤดูกาล นอกสนามก็มีการเปลี่ยนประธานสโมสรเป็นโจน ลาปอร์ต้า และ เปลี่ยนหัวหน้าโค้ชเป็นชาบี เอร์นันเดซ
ชาบี ค่อยๆ เสริมนักเตะในตำแหน่งต่างๆ ทีละคน กองหลังได้ดานี่ อัลเวส เข้ามาเพิ่ม ส่วนแนวรุกก็ได้อดาม่า ตราโอเร่ จากวูล์ฟแฮมป์ตัน ตามด้วย เฟร์รัน ตอร์เรส จากแมนฯ ซิตี้
อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งตำแหน่งที่ชาบีต้องการจริงๆ คือกองหน้าตัวเป้า เพราะ ตัวที่มีอยู่ อย่างลุค เดอ ยอง หรือ มาร์ติน เบรธเวท ก็ไม่ได้ตอบโจทย์นัก ขณะที่อันซู ฟาติ ก็เจ็บแฮมสตริงต้องพักหลายเดือน
เป้าหมายเบอร์ 1 จริงๆ ที่ชาบีเล็งไว้ คืออัลบาโร่ โมราต้า อย่างไรก็ตามดีลไม่สามารถลุล่วงได้ เพราะต้นสังกัดที่แท้จริงคือแอตเลติโก้ มาดริด ปฏิเสธจะขาย เนื่องจากไม่ต้องการเสริมความแข็งแกร่งให้กับทีมร่วมลีก
เมื่อดีลล่ม ทำให้ต้องมาหาเป้าหมายใหม่ และนั่นเอง ชื่อของโอบาเมย็อง ก็เข้ามาอยู่ในลิสต์
โอบาเมย็อง ได้รับข้อเสนอจากทีมในเซเรีย อา และ ลีกเอิง แต่เมื่อบาร์เซโลน่ายื่นเข้ามาด้วย ทำให้เขาเลิกสนใจทีมอื่นทันที เพราะบาร์ซ่าคือหนึ่งในสโมสรที่ใหญ่ที่สุดของโลก
10
สาเหตุที่โอบาเมย็องอยากมาบาร์ซ่า เพราะตัวเขาเป็นลูกครึ่ง กาบอน-สเปน สามารถพูดสเปนได้คล่องแคล่วมาก มันก็ย่อมง่ายกว่าไปเล่นในลีกอิตาลี ที่เขาต้องเริ่มเรียนรู้ภาษากันใหม่
10
โอบาเมย็อง ยอมทุกอย่างเพื่อที่จะได้ย้ายมาเล่นที่บาร์ซ่า โดยเขายอมรับค่าเหนื่อยเพียง 8 หมื่นปอนด์ต่อสัปดาห์เท่านั้น (แต่พอจบฤดูกาลนี้ เมื่อเพดานค่าเหนื่อยของบาร์ซ่ามีช่องว่าง ก็จะปรับเพิ่มขึ้นให้มากกว่าเดิม)
ตัวเลข 8 หมื่นปอนด์ แปลว่าโอบาได้เงินน้อยกว่าที่ได้รับกับอาร์เซน่อลอย่างน้อย 3 เท่า แต่เขาก็โอเค การได้มาอยู่บาร์ซ่า อย่างน้อยก็ได้เล่นฟุตบอลมากขึ้นแน่ๆ และคงอึดอัดใจน้อยกว่าต้องร่วมงานกับอาร์เตต้า
วันที่เซ็นสัญญากัน ในโลกออนไลน์ไม่ได้ใส่ใจนัก มีการพูดถึงว่าโอบาเมย็องว่าจะตื่นเต้นอะไรกับนักเตะที่ "Finished" (จบเห่ไปตั้งนานแล้ว) แสดงให้เห็นว่าสายตาของแฟนบอลทั่วๆ ไป คิดว่าโอบาเมย็อง ไม่น่าจะกลับมาสู่ฟอร์มที่ดีได้อีกแล้ว
อย่างไรก็ตาม เรื่องราวกลับไม่เป็นแบบนั้น โอบาเมย็อง ปรับตัวกับทีมใหม่เร็วมากๆ ทุกอย่างมันคลิกกันแบบไม่น่าเชื่อ
โอบาเริ่มจากดูเชิง ใน 2 เกมแรกด้วยการเป็นตัวสำรอง ในนัดเจอแอตเลติโก้ มาดริด (ลง 29 นาที) และ เอสปันญ่อล (ลง 28 นาที)
แต่ทันทีที่ได้ลงตัวจริงปั๊บ เขายิงแฮตทริกได้ทันที ในเกมถล่มบาเลนเซีย (ลง 82 นาที) และจากนั้นมาเมื่อไหร่ก็ตามที่โอบาเมย็องได้ลงตัวจริงในลาลีกา เมื่อนั้นบาร์ซ่าชนะทุกเกม
จุดเด่นของโอบาเมย็องคือการวิ่งไปหาตำแหน่งที่แม่นยำมากๆ ทันทีที่กองกลางวางบอลยาว หรือปีกซ้าย-ขวา เตรียมปาดเข้ามา เขารู้ทันทีว่าต้องขยับตัวไปอยู่ตรงไหน มันเป็นสัญชาตญาณของกองหน้าล้วนๆ
นอกจากนั้นเขายังมีสไตล์การเล่นที่แปลกใหม่คือ การดร็อปลงต่ำ เพื่อเชื่อมเกมกับกองกลาง ตัวอย่างเช่นในเกมเอล กลาสิโก้ ในขณะที่บุสเกตต์ - เดอ ยอง- เปดรี้ โดน Man Marking ไว้ทั้งหมด ก็เป็นโอบา ที่ถอยลงต่ำเพื่อช่วยเชื่อมเกม ซึ่งเวลาที่โอบาถอยลงมากองกลาง ก็จะลากเซ็นเตอร์แบ็กของ เรอัล มาดริดตามมาด้วย
และที่สำคัญที่สุดคือความคม ในลาลีกา 5 เกม ที่โอบาลงตัวจริง เขายิงตรงกรอบไป 11 ครั้ง ทำไป 7 ประตู แปลง่ายๆ ว่าเมื่อไหร่ที่ยิงตรงกรอบ นายทวารคู่แข่งแทบจะหมดสิทธิ์รับ
การมาของโอบาเมย็อง ยังส่งผลบวกในทิศทางอื่นๆ ด้วย เช่น ฟอร์มของอุสมาน เดมเบเล่ จริงๆแล้ว โอบา กับ เดมเบเล่ เคยเล่นร่วมกันมาก่อนที่ดอร์ทมุนด์ แต่อยู่ด้วยกันสั้นๆ แค่ซีซั่นเดียวคือ 2016-17
ในซีซั่นนั้น เดมเบเล่ แอสซิสต์ในบุนเดสลีกาไป 13 ครั้ง เชื่อหรือไม่ว่า 10 จาก 13 เป็นการแอสซิสต์ให้โอบาเมย็องคนเดียว มันแสดงให้เห็นถึงความเข้าขากันสุดๆ แล้วพอย้ายมาบาร์ซ่าแค่ไม่ทันไร เดมเบเล่ จัดแอสซิสต์ให้โอบาเมย็องไปแล้ว 3 ลูก เหมือนว่าสองคนนี้เล่นได้เข้าจังหวะ เข้าขากันอย่างมากจริงๆ
ดังนั้นในภาพรวม ฟอร์มที่ดีของโอบาเมย็อง ช่วยให้บาร์เซโลน่ามีความแข็งแกร่งมากขึ้น ก่อนเขาจะย้ายมา บาร์ซ่าอยู่อันดับ 5 ของตาราง แต่พอย้ายมาปั๊บ บาร์ซ่าชนะรัวๆ จนกระโดดมาอยู่ที่ 3 แถมยังถล่มจ่าฝูงเรอัล มาดริด คาบ้านด้วยสกอร์ 4-0 ได้อีกด้วย
21
การยิงมาดริดได้ ทำให้โอบา กลายเป็นผู้เล่นคนเดียวในประวัติศาสตร์ ที่ยิงประตูได้ครบทั้งเกม แดร์ คลาสสิคเกอร์ (บาเยิร์น vs ดอร์ทมุนด์), นอร์ธ ลอนดอน ดาร์บี้ (อาร์เซน่อล vs สเปอร์ส) และ เอล กลาซิโก้ (บาร์เซโลน่า vs เรอัล มาดริด) นี่เป็นสถิติที่ไม่ธรรมดาทีเดียว
คนที่รู้สึกดีใจที่สุด ที่ได้ตัวโอบา คือชาบี เอร์นันเดซ เขากล่าวว่า "โอบาคือของขวัญจากสวรรค์ เขาเป็นนักเตะที่เสริมพลังบวกให้ทีม เขาปรับตัวเข้ากับกลุ่มนักเตะของเราได้ดีมาก เขาสร้างสรรค์โอกาส และจบสกอร์ได้ดี เขาไม่รังเกียจที่จะทำงานหนักเพื่อทีม"
11
"เขาสู้เต็มที่ ในการวิ่งไล่กองหลัง และผู้รักษาประตูของคู่แข่ง สำหรับผมรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ใช้งานนักเตะแบบเขา เรารู้ว่าเขามีความตั้งใจจะทำเพื่อทีมจริงๆ และที่สำคัญเขาเป็นแบบอย่างที่ดี ในสนามซ้อม ให้ทุกคนในทีมได้เห็นความเป็นมืออาชีพ"
สิ่งที่ชาบีกล่าวถึงโอบาเมย็อง แทบจะเป็นคนละภาพกับที่อาร์เตต้าแสดงออกเลยทีเดียว ดังนั้นในมุมของโอบาเมย็อง การได้ย้ายมาอยู่กับทีมที่เห็นเขาสำคัญ มันก็คงจะดีกว่าอยู่ในจุดเดิม
ในวันที่ยิงเรอัล มาดริด 2 ลูก พาทีมชนะเกมเอล กลาสิโก้ โอบาเมย็อง ทวีตข้อความว่า "Hello from the finished player" หรือแปลว่า "สวัสดี ... จากนักเตะที่จบเห่ไปแล้ว"
10
แน่นอน ก็ยังมีคนแซะการตัดสินใจของอาร์เตต้า ที่ปล่อยโอบาเมย็องทิ้ง เช่น เพียร์ส มอร์แกน นักข่าวคนดัง ทวีตข้อความว่า "โอบาเมย็อง ยิง 2 แอสซิสต์ 1 ในเอล กลาสิโก้ ด้วยเวลา แค่ 53 นาที นายดูอยู่หรือเปล่า อาร์เตต้า???"
อย่างไรก็ตาม แฟนอาร์เซน่อลในอังกฤษส่วนใหญ่จะเข้าใจมากกว่า ว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องแล้ว ถ้าหากเก็บโอบาเมย็องไว้ ป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าอาร์เซน่อลจะกระโดดมาอันดับ 4 ได้ลุ้นไปแชมเปี้ยนส์ลีกแบบนี้หรือเปล่า
10
ดังนั้นไม่มีใครต้องโกรธเคืองใคร เพียงแต่มันชัดเจนแล้วว่า เรื่องราวของทั้งคู่มันเดินมาสุดทางแล้ว และต่างคนก็ต้องก้าวต่อไปในทางของตัวเอง
อาร์เซน่อลได้โอกาสปั้นนักเตะเจเนเรชั่นใหม่ เพื่อให้เป็นทีมแห่งอนาคต ส่วนโอบาเมย็องก็ได้ลงเล่นกับทีมที่ยอดเยี่ยมอย่างบาร์เซโลน่า ต่างฝ่ายต่างแฮปปี้แล้ว ที่ตอนจบมันออกมาเป็นแบบนี้
ถ้ายังอยู่ด้วยกันอาจจะพินาศคู่ แต่พอแยกกันแล้ว ต่างคนต่างมีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัดจริงๆ
เรื่องของโอบาเมย็อง กับอาร์เซน่อล ก็เหมือนความสัมพันธ์ในโลกนี้ คือเมื่อมีโอกาสได้ร่วมทางกัน ก็ต้องลองพยายามประคับประคองไปด้วยกันจนถึงเฮือกสุดท้ายก่อน
1
แต่ถ้าพยายามแล้ว มันไปไม่ได้จริงๆ ก็ต้องปล่อยมือ และยอมรับความจริงว่า เราทั้งสองคน ไม่ใช่ความสุขของกันและกันอีกต่อไปแล้ว
20
#GOODFORBOTH
โฆษณา