อัตราเร็วเดิมกลับมาแล้ว เพราะวีคนี้ว่างมาก ส่วนวีคหน้าก็.... แหะๆ 😅 เอาเป็นว่าสปีดไว้ก่อนละกัน เดี๋ยวกองใหญ่จากงานหนังสือมาแล้วจะเคลียร์ไม่ทัน เล่มนี้อ่านจบเมื่อคืนตอนดึกเล็กน้อย แต่เข็มสามแผลงฤทธิ์จนต้องไปนอนและตอนเช้าก็ครั่นเนื้อครั่นตัวสุดๆ เลยเพิ่งว่างมาเขียนเล่าจนจบ
คราวนี้เป็นแนวแฟนตาซีจาก Words Wonder Publishing ผลงานอีกเล่มจากนักเขียนเด็กหญิงผู้ดื่มดวงจันทร์ (เล่มนั้นเราชอบมากๆ แนะนำเพื่อนไปหลายคน 😁) เล่มนี้เปลี่ยนตัวละครมาเป็นผู้ชายกันบ้าง ไอ้เรามันก็เป็นคนชอบลองของใหม่ จัดไปเลยสิ!
#เด็กชายแห่งมนตรา เป็นเรื่องราวของ “เน็ด” ลูกชายของแม่มดมนตรา แฝดผู้พี่ที่รอดชีวิตมาได้จากเหตุการณ์เลวร้ายเพียงคนเดียว คนในหมู่บ้านรู้สึกว่าเน็ดเป็นเด็กที่ไม่สมควรจะรอด “แทม” แฝดคนน้องต่างหากที่ควรจะได้ใช้ชีวิตต่อ แถมพ่อที่ช่วยชีวิตลูกชายอีกคนไว้ไม่ได้ก็ไม่เคยมองหน้าเน็ดอีกเลย ตั้งแต่นั้นมารอยยิ้มก็จางหายไปจากใบหน้าของเด็กชายผู้รอดชีวิต อีกฟากหนึ่งของป่ามีเด็กสาวหนึ่งคนชื่อ “อนญา” หลังจากแม่ของเธอเสียชีวิต พ่อก็พาเธอกลับไปยังป่าที่เขาเติบโตมา พ่อกลับมาเป็นโจรป่าอีกครั้งและสวมเครื่องรางประจำครอบครัวที่มีมนตร์ฝังอยู่ตลอดเวลา สิ่งนั้นเปลี่ยนพ่อของอนญาให้กลายเป็นใครอีกคน จนวันหนึ่งเขาก็ต้องการมากกว่านั้น เขาต้องการขโมยมนตร์จากแม่ของเน็ด และนั่นก็เป็นสาเหตุให้เด็กทั้งสองได้พบกัน
สไตล์การเล่าเรื่องของนักเขียนค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์มากเลยสำหรับเรา ตอนอ่านเด็กหญิงผู้ดื่มดวงจันทร์ก็รู้สึกแบบนี้ คือมันสนุก อ่านได้เรื่อยๆ มีแต่เรื่องน่าสนใจชวนให้เปิดหน้าต่อไป ไหนจะเรื่องการออกเดินทางเผชิญโลกของเด็กในช่วงวัยรุ่นที่ชีวิตเต็มไปด้วยความสับสน เรื่องสายใยความรักภายในครอบครัว เรื่องของมิตรภาพที่พบเจอระหว่างทาง มันอาจจะดูซ้ำซากสำหรับนิยายแนวนี้ แต่จริงๆแล้วมันมีความแตกต่างที่ทำให้เรื่องนี้มันไม่น่าเบื่อ เผลอแป๊ปเดียวก็จบเล่มแล้ว
อีกเรื่องที่ใหม่สำหรับเราคือมนตร์ในเรื่องนี้ ปกติแล้วคนที่ได้รับมนตร์แล้วกลายเป็นคนเลวก็จะเป็นเพราะตัวเองหลงในอำนาจที่ได้รับ แต่เรื่องนี้มนตร์มันมีความคิด มันคอยยุแหย่ หลอกลวงให้คนที่ควบคุมมันไขว้เขว มันเอาแต่ใจและไม่ยอมเชื่อฟังง่ายๆ คือตลอดทั้งเรื่องเราจะต้องช่วยเน็ดลุ้นว่าเขาควรจะเชื่อหรือไม่เชื่ออะไร เขาควรใช้มนตร์ดีไหม ลุ้นว่าการที่เขาตัดสินใจแบบนี้มันจะส่งผลอะไรกับเขาบ้าง เราชอบที่บางครั้งการเลือกทำสิ่งที่ดูดีมีศีลธรรมก็ไม่ได้แปลว่ามันจะนำไปสู่สิ่งที่ดี มันอาจจะดูเป็นเรื่องที่น่าหดหู่แต่ก็เกิดขึ้นจริงๆในโลกนี้
จริงๆแล้วเรารู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ให้ข้อคิดอะไรเยอะมาก แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่เราอยากพูดถึงมากที่สุด นั่นคือการเดินหน้าต่อท่ามกลางความสูญเสีย ถึงแม้ว่าการต้องเสียคนที่เรารักไปจะเป็นเรื่องที่แสนเจ็บปวดและยากจะข้ามผ่าน แต่คนที่ยังอยู่ก็จำต้องยอมรับและใช้ชีวิตต่อไป อย่าจมกับความเศร้าจนมันบดบังชีวิต อย่าโกรธแค้นชิงชัง โทษทุกสิ่งอย่างจนมันทำให้จิตใจบิดเบี้ยวหรือเผลอสร้างแผลใจให้ใคร เช่นที่พ่อของอนญาที่เคยกลับตัวกลับใจได้ต้องเสียภรรยาไป ความเศร้าโศกทำลายหัวใจเขาจนถูกมนตร์ (ที่มีเพียงเศษเสี้ยว) ครอบงำตัวตนได้อย่างง่ายดาย นำพาให้เขาหวนคืนสู่เส้นทางชั่วร้ายและกลายเป็นคนที่เลวร้ายยิ่งกว่าเดิม ละเลยลูกสาวคนเดียวที่เหลืออยู่ให้ต้องเดี่ยวดาย
ในทางกลับกันอนญาเลือกที่จะเดินหน้าต่อไปหลังจากเสียแม่ เธอเก็บคำสอน สัมผัส และความรักจากแม่ไว้ในหัวใจ ใช้มันนำทางชีวิตในยามที่รู้สึกเคว้งคว้าง จริงอยู่ว่าเธอเสียใจไม่น้อย แต่เธอเลือกที่จะมองโลกตามความเป็นจริง ใช้เวลากับความเสียใจแต่พอดีและลุกขึ้นมาสู้ต่อ จะเห็นได้ว่าความรักคือสิ่งมหัศจรรย์ที่บันดาลให้เราทำได้ทุกสิ่งในโลกไม่ว่าจะดีหรือร้าย อยู่ที่ความแข็งแกร่งและมั่นคงของจิตใจ ซึ่งจะมีได้ก็ต่อเมื่อเราเติบโตมาอย่างดี ได้รับความอบอุ่นจากครอบครัวมากพอ และถูกปลูกฝังมาอย่างถูกต้องเหมาะสม เมื่อนั้นความรักก็จะนำทางเราไปยังเส้นทางที่เหมาะที่ควร
สรุปว่าทั้งสองเล่มของนักเขียนคนนี้เป็นหนังสือที่ไม่ได้มีดีแค่อ่านสนุกอย่างเดียว แต่ผู้อ่านจะได้ตะกอนความคิดอะไรหลายๆอย่างระหว่างทางที่อ่าน เป็นหนังสือ Coming of Age ที่สดใหม่ หม่นนิดๆ ดาร์กหน่อยๆ คอแฟนตาซีไม่ควรพลาด สายวรรณกรรมเยาวชนก็ด้วย รับรองว่าดีจริง แต่ระวังน้ำตาซึมล่ะ 😉
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
