25 มี.ค. 2022 เวลา 03:30 • ภาพยนตร์ & ซีรีส์
Domee Shi จากอดีตเด็กฝึกงานที่ถูกปฏิเสธ สู่ ผู้กำกับหญิงเดี่ยวคนแรก ของ Pixar
ช่วงนี้หากใครมีโอกาสเข้าสตรีมมิง Disney+ Hotstar น่าจะได้เห็น Turning Red แอนิเมชันเรื่องใหม่จาก Pixar แน่นอน เพราะกำลังได้รับความนิยมมาก ๆ จนน้อง Abby หนึ่งในตัวละครได้กลายเป็นรูปมีม ที่แพร่หลายอยู่บนโซเชียลมีเดียเป็นที่เรียบร้อย
ที่น่าสนใจก็คือคนที่อยู่เบื้องหลังแอนิเมชันเรื่องนี้ มีดีกรีเป็นถึงเจ้าของรางวัลออสการ์ รวมถึงยังเปิดหน้าประวัติศาสตร์ผู้กำกับหญิงเดี่ยวคนแรกของ Pixar อีกด้วย
เจ้าของผลงานชิ้นนี้คือใคร ? ลงทุนเกิร์ลจะเล่าให้ฟัง
คำเตือน บทความนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาบางส่วนในภาพยนตร์ หากใครยังไม่ได้รับชม ก็สามารถกดเซฟบทความไว้ก่อน แล้วค่อยมาอ่านหลังชมภาพยนตร์นะคะ
Turning Red คือเรื่องราวของ “เหมยลี่ ลี” หรือ “เหมย” เด็กสาวชาวจีน-แคนาดา ที่เติบโตละแวกไชนาทาวน์ ในเมืองโทรอนโต ท่ามกลางความกดดัน และความคาดหวังของครอบครัว
ซึ่งตัวเหมยลี่เอง ก็อยากสมบูรณ์แบบในสายตาของพ่อแม่ ตามแบบฉบับเด็กเอเชีย ที่ต้องเรียบร้อย เรียนดี และยังไม่ถึงวัยที่ยุ่งเกี่ยวกับผู้ชาย
แต่แล้ววันหนึ่ง.. ความรู้สึกกดดัน ก็ก่อตัวทำให้เธอกลายร่างเป็นแพนด้ายักษ์..
อย่างไรก็ตาม ความน่าสนใจของภาพยนตร์เรื่องนี้ ก็ไม่ได้มีแค่ความแปลกใหม่ของพล็อตเรื่อง
แต่ยังมีผู้กำกับที่อยู่เบื้องหลัง ซึ่งก็คือ คุณ Domee Shi ไดเรกเตอร์ชาวจีน-แคนาดา ที่ปัจจุบันนั่งแท่นเป็นผู้กำกับหญิงเดี่ยวคนแรก ในรอบ 36 ปีของสตูดิโอ Pixar
ซึ่งกว่าที่จะมีโอกาสสร้างภาพยนตร์แอนิเมชันเดี่ยว เธอก็ต้องใช้เวลากว่า 11 ปีในสตูดิโอแห่งนี้
และที่น่าตกใจกว่านั้นก็คือ เราเกือบจะไม่ได้เห็นผลงานของคุณ Shi แล้ว เพราะในอดีตเธอเกือบไม่ได้ร่วมงานกับสตูดิโอ Pixar
อย่างที่รู้กันดีว่า การเข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานดิสนีย์ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย และมีการแข่งขันที่สูงมาก ๆ เพราะใคร ๆ ก็อยากเป็นส่วนหนึ่งในบริษัทแอนิเมชันระดับโลก
ซึ่งคุณ Shi ก็เป็นหนึ่งในท่ามกลางเหล่านักล่าฝัน
และฝันของเธอต้องมาสะดุด เพราะว่าถูกปฏิเสธการสมัครฝึกงาน..
แต่ต้องขอบคุณกำลังใจดี ๆ จากครอบครัวและครูที่ปรึกษา ที่ผลักดันให้เธอยื่นใบสมัครอีกครั้ง จนได้กลายมาเป็นหนึ่งในทีมงานสตูดิโอ Pixar ฐานะ “เด็กฝึกงาน” ในปี 2011
ช่วงที่ฝึกงาน เธอก็รับหน้าที่อยู่ในฝ่ายสตอรีบอร์ด และมีส่วนร่วมกับภาพยนตร์แอนิเมชันดัง ๆ มากมาย เช่น Inside Out, The Good Dinosaur, Toy Story 4 และ Incredibles 2
และในขณะเดียวกัน เธอก็มีโอกาสส่งผลงานแอนิเมชันเข้าแข่งขันกับ Pixar เรื่อยมาหลายต่อหลายครั้ง จนกระทั่งในปี 2018 ผลงานของเธอก็ได้ออกสู่สายตาของผู้ชม และกลายเป็นที่รู้จักไปทั่วโลก
แอนิเมชันสั้นเรื่องนั้นคือ “Bao” ที่ฉายเปิดให้กับเรื่อง Incredibles 2 โดยถ่ายทอดเรื่องราวของเจ้าซาลาเปาน้อย ๆ ที่มีชีวิตขึ้นมา และถูกเลี้ยงดูด้วยความรักและเอาใจใส่
ความโดดเด่นของเรื่องนี้ก็คือ “จุดหักมุม” ที่สามารถเรียกน้ำตาและกุมหัวใจครอบครัวชาวเอเชียได้ ในความยาวเพียง 8 นาที
ซึ่งเรื่องนี้เอง ที่ทำให้เธอได้รับรางวัลออสการ์ สาขาภาพยนตร์แอนิเมชันสั้นยอดเยี่ยมในปี 2019 และกลายเป็นที่รู้จักในวงการภาพยนตร์
อ่านมาถึงตรงนี้ก็คงไม่แปลกใจว่าทำไมคุณ Shi สามารถถ่ายทอดเรื่องราวความรัก และขนบธรรมเนียมของครอบครัวชาวเอเชีย ในเรื่อง Turning Red ได้ดีขนาดนี้
ซึ่งความโดดเด่นของแอนิเมชันเรื่องนี้ก็คือ ไม่ใช่ภาพยนตร์สเตอริโอไทป์คนเอเชีย หรือเหมารวมเรื่องราวของชาวเอเชียว่าจะต้องเป็นแบบไหน
เพราะนอกเหนือจากประเด็นเรื่องขนบธรรมเนียมของครอบครัวชาวเอเชียแล้ว ประเด็นสังคมอื่น ๆ คุณ Shi ก็สามารถถ่ายทอดได้อย่างลงตัว
เช่น ความสัมพันธ์ของเพื่อนสาวพลังหญิง รวมถึงวัฒนธรรมการชื่นชอบบอยแบนด์ของเด็กรุ่นใหม่
โดยเนื้อเรื่องไม่ได้เน้นไปที่ความรักโรแมนติก ระหว่างเด็กสาวและชายหนุ่ม แต่กลับเป็นความรักและมิตรภาพของเหมยลี่ ที่รายล้อมไปด้วยเพื่อนหลาย ๆ เชื้อชาติ
รวมถึงเรื่องของเด็กที่กำลังจะก้าวข้ามผ่านไปสู่การเป็นวัยรุ่น ดิ้นรนกับการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย แตกเนื้อสาว และอารมณ์แปรปรวน ซึ่งไม่ได้เกิดขึ้นเพียงแค่กับชาวเอเชียเท่านั้น แต่เด็กวัยรุ่นทุกคนต้องเจอ
นอกจากนั้นยังมีการซ่อนแรงขับเคลื่อนเรื่อง “สิทธิและความเท่าเทียมในการทำงานของผู้หญิง” อยู่ด้วย เนื่องจากทีมงานทั้งหมด คือ “ผู้หญิง”
เช่น คุณ Lindsey Collins ในตำแหน่งรองประธานและโปรดิวเซอร์, คุณ Rona Liu โปรดักชันส์ดีไซเนอร์ และคุณ Danielle Feinberg หัวหน้าผู้ดูแลเอฟเฟกต์
ซึ่งในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ การที่มีผู้หญิงเป็นแกนนำในการสร้างสรรค์ผลงาน เป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยมีให้เห็นบ่อยนัก
โดยจากผลการวิจัย Center for the Study of Women พบว่า คนเบื้องหลังในอุตสาหกรรมบันเทิงของสหรัฐฯ ทั้งหมด มีผู้หญิงเพียงแค่ 27% เท่านั้น
หากเรามองดี ๆ Turning Red คงไม่ใช่แอนิเมชันก้าวข้ามผ่านช่วงวัยรุ่นธรรมดา ๆ แต่เป็นหนึ่งในผลงานที่แสดงถึงแรงขับเคลื่อน เกี่ยวกับความสามารถของผู้หญิงในอุตสาหกรรมบันเทิง
ซึ่งก็น่าเสียดายที่ผลกระทบจากโรคระบาด ทำให้ Turning Red ไม่ได้ฉายในโรงภาพยนตร์ และถูกฉายลงในแพลตฟอร์มสตรีมมิง Disney+ Hotstar แทน ทำให้เราอดเห็นความสำเร็จของยอดขายตั๋วจากภาพยนตร์เรื่องนี้
อย่างไรก็ตาม จากเสียงตอบรับบนโลกโซเชียลมีเดีย ก็คงสามารถการันตีความเป็นเลิศของผลงานชิ้นนี้ได้ไม่แพ้กัน
ปิดท้ายด้วยข้อมูลที่น่าสนใจ
รู้หรือไม่ ? ผู้ที่ให้เสียงพากย์ภาษาไทยของ เหมยลี่ นางเอกของเรื่อง ก็คือ อ๊ะอาย-กรณิศ เล้าสุบินประเสริฐ หรือศิลปินไอดอลจากวง 4EVE นั่นเอง
โฆษณา