Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Huatoa - หัวโต
•
ติดตาม
25 มี.ค. 2022 เวลา 12:40 • ปรัชญา
รักตัวเอง
เชื่อว่าหลายคนน่าจะเคยตั้งคำถามถึงนิยามของคำว่า “รักตัวเอง”
บางคนอาจให้ความหมายกับคำๆ นี้ว่า มันคือการพาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ตัวเองมีความสุขที่สุด
บ้างก็อาจจะตอบว่าเป็นการพาตัวเองให้ใช้ชีวิตภายใต้ความสำเร็จ และหลีกหนีจากความยากลำบาก
หรือใครสักคนก็คงตอบว่ามันคือการขวนขวายหาประโยชน์และสิ่งที่ดีที่สุดให้กับชีวิตตัวเอง
ใช่ครับ คำตอบเหล่านี้มันไม่ได้ผิดเลย
เพียงแต่ว่าวันนี้ผมอยากจะมาลองเล่าบทเรียนที่เกิดขึ้นกับชีวิตตัวเอง จนทำให้ผมเปลี่ยนมุมมองต่อคำว่า “รักตัวเอง”
จริงๆ แล้วตอนที่ยังเป็นเด็ก ผมเองก็เป็นคนที่ขี้เกียจมากๆ ไม่ตั้งใจเรียน
ช่วงที่ผมเรียน ม.ต้น เคยถึงขนาดว่าไม่ทำการบ้านมาส่งจนคุณครูแทบไม่มีจุดไหนที่จะให้คะแนนผมได้เลย
สุดท้ายครูท่านก็ถามว่า “ทำไมถึงขี้เกียจแบบนี้ ถ้าทำตัวแบบนี้อนาคตจะเป็นยังไง เคยรักตัวเองบ้างรึเปล่า”
บอกตามตรงในวันนั้นผมเองก็ยังไม่ได้มีความเข้าใจกับการใช้ชีวิตเท่าไหร่ แต่สิ่งที่คิดและตกตะกอนในวันนั้นมันบอกผมว่าความหมายของ “รักตัวเอง” คือการเป็นคนขยันและทุ่มเท จนกลายเป็นคนที่มีอนาคตและประสบความสำเร็จในชีวิต
หลังจากเหตุการณ์นั้น เวลาผ่านล่วงเลยไปจนถึงตอนผมขึ้น ม.ปลาย การกระทำหลายๆ อย่างในชีวิตของผมก็เปลี่ยนไป จากเดิมที่เคยเป็นคนขี้เกียจไม่ทำการบ้านเลย ก็พยายามเปลี่ยนแปลงเป็นคนที่พร้อมเรียนรู้ ตั้งใจทำงานในแต่ละวิชาให้ได้คะแนนที่ดีที่สุด และคิดเสมอว่าจะต้องทำทุกอย่างให้เต็มที่เพื่อที่จะประสบความสำเร็จในชีวิตให้ได้ในสักวัน
สิ่งหนึ่งที่ผมมักจะทำเป็นประจำคือการพยายามทำงานกลุ่มร่วมกับคนเก่งๆ เพราะคิดว่าถ้าคนเก่งมารวมกัน ยังไงคะแนนก็ดี และโอกาสที่จะไปถึงความสำเร็จก็ยิ่งมีสูง
หรือแม้กระทั่งเวลาเล่นกีฬา หรือลงแข่งขันในระดับโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ผมก็มีความคิดเสมอว่าต้องใส่ให้สุด ยิ่งถ้าคว้าเหรียญรางวัลมาได้ มันยิ่งตอกย้ำว่าเราประสบความสำเร็จในสิ่งที่ทำ
นอกจากนี้อีกสิ่งหนึ่งที่ผมแคร์มากๆ ในช่วงเวลานั้นคือเรื่องภาพลักษณ์ ผมพยายามอย่างมากที่จะพูดทุกอย่างให้ดูสวยหรู มองทุกเรื่องให้เป็นเรื่องที่ดีงาม
ยิ่งไปกว่านั้นเวลาพูดอะไรที่เกี่ยวกับตัวเองจะค่อนข้างพูดไปในทางที่ “ผมทำแบบนั้นแบบนี้ได้” หรือบางทีก็เผลอแสดงออกถึงพฤติกรรมในเชิงที่ว่า “เราคิดว่าเราดีกว่าคนอื่นๆ”
ในทางกลับกันเวลาที่ใครมาขอให้ช่วยเหลืออะไรสักอย่างหนึ่ง ผมจะค่อนข้างอิดออดและออกอาการไม่ค่อยอยากจะทำสักเท่าไหร่ หรือถ้าทำก็คือเอาแค่แบบช่วยไปแค่ส่งๆ
ช่วงหนึ่งที่ผมเป็นคนที่ถูกมองว่าเก่งก็จะมีคนแบบมาขอความช่วยเหลือหรือให้ทำนู่นทำนี่อยู่บ้าง ซึ่งเอาจริงๆ ตอนนั้นก็เคยแอบหลงตัวเองว่า “ทำไมเรามันโคตรเจ๋งเลย”
แต่พอวันหนึ่งเมื่อมองกลับมา ผมกลับพบว่ารอบๆ ตัวมันช่างว่างเปล่า เพราะทุกครั้งที่คิดว่าเรากำลังก้าวไปข้างหลัง พอเหลียวข้างแลหลังผมกลับไม่พบใครที่อยู่ข้างๆ ผมเลย
ที่น่าตลกกว่านั้นคือเคยมีเพื่อนคนหนึ่งพูดกับผมที่เข้าสู่วัยเบญจเพสตรงๆ ว่า “เธอควรจะเรียนรู้ที่จะ Give & Take บ้างนะ ไม่ใช่เอาแต่คิดว่าตัวเองจะได้แต่สิ่งที่ดี โดยไม่สนใจว่าคนอื่นๆ จะเป็นยังไง”
แรกๆ ที่เธอพูดกับผม เอาจริงๆ ก็ไม่ค่อยเชื่อและไม่เคยคิดจะปรับทัศนคติของตัวเองเลย ต้องรอถึง 2 ปี จนกระทั่งผมเริ่มตระหนักรู้ว่าชีวิตของตัวเองมันไม่ได้มีความสุขเลย
หลายต่อหลายครั้งที่ผมพยายามพุ่งเป้าทำทุกอย่างให้เต็มที่จนประสบความสำเร็จในเรื่องต่างๆ แต่สุดท้ายแล้วมันโหวงเหวงสุดๆ
พอรู้ตัวอีกทีและตั้งคำถามจริงๆ กับตัวเองว่า “สิ่งที่ทำอยู่มันคือความสุขหรอ มันใช่ความรักตัวเองจริงๆ รึเปล่า”
คำตอบในจิตใจมันเปล่งเสียงออกมาชัดเจนว่า “ไม่มีความสุขมาก และสิ่งที่ทำอยู่เอาเข้าจริงมันเหมือนการทะเยอทะยานไปในสิ่งที่เราคิดว่าดี”
ผมมาได้สติและค้นพบบทเรียนกับตัวเองว่า ตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา ผมคิดว่าต้องทำทุกอย่างเพื่อให้ตัวเองอยู่ในจุดที่ดีและเหมาะสม ยิ่งเรามีเงิน ชื่อเสียง และความสำเร็จ มันเหมือนกับเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งชี้เพราะรักตัวเองไง จึงมีสิ่งเหล่านั้น
ทั้งที่ความเป็นจริงจากย่อหน้าเมื่อสักครู่มันแทบจะสะท้อนและสื่อให้เห็นถึงการมี “ความเห็นแก่ตัว” อย่างมาก
ทว่าผมกลับหลงลืมเรื่องสำคัญที่สุดเรื่องหนึ่งของการเป็นมนุษย์ นั่นคือการยอมรับว่าตัวเองคิดและรู้สึกอะไร สิ่งไหนคือสิ่งที่เราทำแล้วมีความสุขและไม่เดือดร้อนคนอื่น
หรือว่าง่ายๆ คือก่อนหน้านี้ผมไม่เคยยอมรับว่าตัวเองมีดีอะไร รวมทั้งไม่เคยให้โอกาสตัวเองได้ทำในสิ่งที่อยากคิดอยากทำตามที่ภายในจิตใจรู้สึกจริงๆ
พอรับรู้ ปรับปรุงทัศนคติ และเปิดโอกาสให้ตัวเองได้ลองทำในสิ่งที่อยากทำจริงๆ เชื่อไหมว่ามันมีความสุขมากๆ
ผมทำสิ่งที่คิดว่าดีและใช่อย่างเต็มที่ โดยที่ไม่หักโหมหรือมุทะลุจนเกินไป อีกทั้งยังคิดเสมอว่าสิ่งที่ทำจะต้องไม่เดือดร้อนตัวเองและคนอื่นๆ
จริงอยู่ว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะชื่นชมหรือชอบสิ่งที่ผมทำ แต่ว่าถ้ามันไม่ได้ไปสร้างความเสียหายให้กับพวกเขา ผมว่าการได้ลงมือทำในสิ่งที่คิดว่าดีกับตัวเรา แล้วมีคนคอยพูดถึงอีกมุมหนึ่งที่เรามองไม่เห็นหรืออาจจะไม่ได้เห็นด้วยทั้ง 100% มันก็เป็นเส่นห์อีกแบบหนึ่งเหมือนกัน
เชื่อไหมว่าพอได้ลองทำอะไรจากสิ่งที่เกิดขึ้นจากการยอมรับตัวเอง ผมค้นพบว่าตัวเองมีความสุขมากๆ กับการใช้ชีวิตและลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง โดยที่ไม่ต้องคิดว่าผมจะต้องไปแข่งขันกับใคร
หรือถ้ามีโอกาสที่ผมสามารถช่วยเหลือคนอื่นๆ ได้ ในตอนนี้ผมบอกตรงๆ ว่ายินดีช่วยเหลือและเผื่อแผ่ทัศนคติดีๆ ให้แก่ผู้อื่น
แค่คิดว่าเราเป็นคนตัวเล็กๆ คนหนึ่ง ที่อยากทำชีวิตของตัวเองให้มีคุณค่ามากที่สุด
นอกจากนี้ยังค้นพบอีกว่าพอผมลองหันไปรอบๆ ตัว เริ่มมีคนที่เดินเคียงข้างและคอยให้กำลังใจ และมีคนที่จริงใจรอบๆ ตัวในชีวิตของผม
บทสรุปของสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากประสบการณ์ชีวิตที่ได้เล่ามาคือ การรักตัวเองแค่เริ่มต้นจากการยอมรับในความรู้สึกและคุณค่าที่ตัวเองมี ไม่ว่าเรื่องนั้นจะเป็นเรื่องที่ดีหรือร้าย
“การรักตัวเอง คือ การมีทัศนคติเชิงบวกที่อยากเห็นตัวเองเติบโตไปในทิศทางที่ถูกต้องตามแบบฉบับของตน โดยไม่สร้างความเดือดร้อนแก่ผู้อื่น”
และเมื่อใดก็ตามที่เรารักตัวเองได้ดี ชีวิตก็ย่อมจะมีความสุขจากข้างใน รวมไปถึงสิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้นภายในตัวเรา ก็ย่อมจะเผื่อแผ่ไปสู่คนรอบๆ ข้างได้
ฉะนั้นจงอย่ากลัวที่จะยอมรับในคุณค่าของตัวเอง เพราะสุดท้ายแล้วคนที่จะอยู่กับทุกความรู้สึกของคุณไปตลอดจนวินาทีสุดท้ายของชีวิตก็คือ “ตัวของคุณเอง”
สามารถติดตาม Huatoa - หัวโต ได้อีกช่องทางบน
Facebook :
https://www.facebook.com/huatoaofficial
huatoa
หัวโต
lifestyle
บันทึก
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2024 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย