27 มี.ค. 2022 เวลา 13:28 • ไลฟ์สไตล์
“ความก้าวหน้าในการปฏิบัติ วัดจากอะไร ?
ปัญญาอันสูงสุด คือ … ”
“ … หลายคนยังวางใจไม่ถูก
ยังเข้าใจไม่ถูกต้องในการปฏิบัติ
ไปมุ่งว่ามันต้องเข้าถึงสภาวธรรมต่าง ๆ
ต้องซ่านบ้าง ต้องเบาบ้าง ต้องนิ่งสงบบ้าง
วิปัสสนาญานต้องเห็นการเกิดดับบ้าง
ก็ไปหลงติดข้องอยู่กับสิ่งเหล่านี้
เรียกว่า ปฏิบัติแล้วขาดปัญญานั่นเอง
ปัญญาในทางพระพุทธศาสนานั้นคือสิ่งใด ?
ก็จึงรู้สึกว่าตัวเองไม่ก้าวหน้าเลย ไม่เห็นเบา ไม่เห็นสงบ ไม่เห็นเบิกบานเหมือนคนอื่นเขา อันนี้คือยังวางใจไม่ถูก ทำความเข้าใจไม่ถูกต้อง
เมื่อทำความเข้าใจไม่ถูกต้อง ก็ให้ละความคิดเห็นนั้นเสีย
ทำความเข้าใจให้ถูกต้องใหม่
ปัญญาในทางพระพุทธศาสนานั้นคือสิ่งใด ?
ก็เป็นเรื่องของการสละ ละ วาง นั่นเอง
“ความหลง” มันทำให้เกิดการหลงยึดมั่นถือมั่น
หลงแบกของหนัก หลงแบกของร้อนไว้
ความหลงนี่ไม่ต้องฝึกกันหรอก มันหลงกันหมดล่ะ
แล้วมันก็แบกไว้
แบกกันไว้เยอะไหมล่ะ เรื่องราวในอดีตต่าง ๆ ที่ผ่านมาแล้ว มันเก็บไว้ในใจ
สังเกตคนในยุคสมัยนี้จะมีความเครียดกันมากเลย
สะสมเรื่องราวต่าง ๆ ไว้ แล้วมันวางไม่ลง
มันเก็บกักไว้ในใจมาก
มีความเครียด มีความกดดันกันมาก
บางคนนี่เครียดจนนอนไม่หลับเลย เรื่องในหัวเยอะไหมล่ะ นั่นแหละคือสิ่งที่เรากักเก็บไว้ บางทีจะนอนนี่มันอะไรไม่รู้ มันคิดไม่หยุดเลย มันผุดเต็มไปหมด แบกของหนักของร้อนไว้นั่นเอง
ความหลง มันทำให้เราหลงยึดมั่นถือมั่น
ความมี ความเป็นต่าง ๆ
หลงไปกับอดีต จมไปกับอดีต ไปกับเรื่องราวต่าง ๆ มาก
ทำให้เกิดความเศร้าบ้าง
จมไปกับความเศร้าบ้าง ความเสียใจบ้าง
บางทีก็โกรธคับแค้นใจบ้าง ต่าง ๆ
บางทีก็หลงไปกับอนาคต นึกคิดไปก่อน
ทั้ง ๆ ที่สิ่งเหล่านั้นมันยังไม่ได้เกิดขึ้นเลย
หลงคิดไป ปรุงแต่งไป … ไม่มีที่สิ้นสุด
ทั้ง ๆ ที่สิ่งต่าง ๆ มันก็ไม่ได้เป็นไปตามใจของเราหรอก
มันก็เป็นไปตามเหตุ ตามปัจจัย
มีเหตุเกิด มันก็เกิด
หมดเหตุ หมดปัจจัย มันก็ดับ
ก็เรียกว่า วางใจไม่ถูก
เดี๋ยวก็หลงไปกับอดีต หลงกับอนาคตบ้าง
แบกของหนักของร้อน
หลงไปกับสิ่งสมมติมายาในโลกบ้าง
เรื่องราวต่าง ๆ ก็กักเก็บไว้ ของหนัก ของร้อน
ไฟมันถึงเผาไหม้จิตใจอยู่ตลอดเวลา
ไฟแห่งราคะ ไฟแห่งโทสะ ไฟแห่งโมหะ
เผาไหม้ทั้งกลางวัน ทั้งกลางคืน
ไม่มีอิ่ม ไม่มีเบื่อ ไม่มีดับมอดลง
เพราะเชื้ออย่างดี มันคอยเติมอยู่ตลอดเวลานั่นเอง
วัฏสงสารมันจึงเป็นไฟ ลุกเป็นไฟด้วยประการฉะนี้
มันก็เกิดจากไฟในใจของหมู่สัตว์
ไฟในใจของพวกเราทุกคนนั่นเอง
ไฟในใจมันก็เกิดจากการที่เราไปหลง
แบกของหนัก ของร้อน
โดยเฉพาะเรื่องราวที่ผ่านมาแล้ว เก็บไว้
เพราะฉะนั้นปัญญาในทางพระพุทธศาสนา
จึงเป็นเรื่องของการสละ ละ วางออกไป
วางของหนัก ของร้อนลงเสีย นั่นเอง
1
“วาง” เนี่ย มันต้องฝึก
มันเป็นสิ่งที่ฝึกฝนได้ การปล่อยวาง
“ยึด” ไม่ต้องฝึก มันยึดกันอยู่แล้วล่ะ
เราต้องฝึกที่จะละวาง ปล่อยวางจากเรื่องราวต่าง ๆ
อดีตมันผ่านไปแล้ว ก็ปล่อยให้มันผ่านไป
สังเกตเถอะ มันไม่ค่อยปล่อยหรอก มันจะกลับมา
วางได้แป๊บเดียว เดี๋ยวมันกลับมายึดไว้ในใจอีกแล้ว
เรื่องเก่า ๆ ผุดขึ้นมาอยู่เสมอ
บางทีผ่านไปนาน 10 ปี 20 ปี ก็ยังผุดอยู่อย่างนั้นแหละ
เจ็บปวดทุกข์ทรมานต่าง ๆ
อนาคตมันยังไม่ถึง ก็วางลงเสีย อยู่กับปัจจุบัน
2
พระพุทธศาสนาจึงเป็นเรื่องของการอยู่กับปัจจุบันธรรมได้เนือง ๆ นั่นเอง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติที่ว่าก้าวหน้า วัดจากกอะไร ?
ก็วัดจากการที่เราวางสิ่งต่าง ๆ ได้ลงนั่นเอง
วางอดีตได้ลง วางอนาคตได้ลง
วางการหลงไปกับเรื่องต่าง ๆ ได้ลง
ผลที่ตามมา คือ จิตใจมันจะคลี่คลายลงนั่นเอง
ความเครียด ก็คลายตัวไป
ความฟุ้นซ่านรำคาญใจ ก็คลายตัวไป
ความเร่าร้อนกระวนกระวายต่าง ๆ มันก็คลายตัวไป
มีความเศร้า ความเศร้าก็คลายตัวไป
ความโศก ก็คลายตัวไป
ความโกรธ ความหลงต่าง ๆ มันก็คลายตัวไป
สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้ มันหลุดออกไปจากชีวิตของเรานี่มันดีไหมล่ะ ?
ทำไมห้องน้ำ เขาถึงเรียกว่า ห้องสุขา
เวลาเราถูกความทุกข์บีบคั้น
ปวดท้อง อยากจะถ่ายอุจจาระปัสสาวะมาก มันทุกข์ไหมล่ะ ?
แล้วเราต้องแบกมันมั้ยล่ะ ? มันยิ่งทุกข์มาก
เราก็ต้องเข้าห้องน้ำ เพื่อปลดปล่อยสิ่งเหล่านี้ออกไป
พอได้ถ่ายของหนัก ของร้อนลง ของเบาลง
มันโล่งสบาย เขาถึงเรียกว่า ห้องสุขา
เพราะฉะนั้นปัญญามันเป็นเรื่องของการสละ ละ วาง
เมื่อรู้จักการวางของหนักของร้อนลง
หลุดจากการยึดมั่นถือมั่น ใจมันก็เบาสบาย ว่างเย็น
มีความสงบสุข
สามารถอยู่กับปัจจุบันธรรมได้เนือง ๆ
เพราะฉะนั้นความก้าวหน้าในการปฏิบัติ มันจึงวัดตรงนี้
วางลง ..​ อดีต อนาคต เรื่องราวต่าง ๆ
มันต้องฝึกอยู่แล้วล่ะ
เพราะธรรมชาติมันชอบไปแบกไว้ ความหลงเนี่ย
ก็ต้องฝึกที่จะละ ที่จะวาง
เริ่มอยู่กับปัจจุบันได้ดีขึ้น
ความเศร้าก็ลดลงไป
ความโกรธก็ลดลงไป
ความหลงก็ลดลงไป
1
กิเลสตัณหาอุปาทานต่าง ๆ มันเบาบางลงไป
ใจมันนิ่ง มันเย็นขึ้น มันสบายขึ้น
เนี่ยความก้าวหน้าในการปฏิบัติ
พอเราเริ่มหลงไปหมกมุ่นกับสิ่งต่าง ๆ
เนี่ยคือการถอยหลัง
ก็เพียรละทางสุดโต่งนั่นเอง
หลงไป ก็ดึงกลับอยู่กับปัจจุบัน
อยู่กับกาย อยู่กับใจ
บางทีมันตึงไป ก็ปรับผ่อนให้สบาย
ค่อย ๆ ฝึกปฏิบัติไป
เอาธรรม 7 ประการที่ถ่ายถอด
ไปฝึกฝนอบรมตนเองอยู่เสมอ
( ธรรม 7 ประการ กับการแก้ปัญหาชีวิต : https://youtu.be/oHBXqbVVn5I )
คนเราถ้ามันดีซะแล้ว มันไม่ต้องเกิดกันหรอกนะ
ก็เพราะว่ามันยังมีสิ่งที่ต้องขัด ต้องเกลา
ต้องฝึก ต้องฝน
มันถึงยังต้องเกิดอยู่
เราเกิดมาเพื่อสิ่งใด ?
ก็เพื่อฝึกฝน ขัดเกลา ขัดเกลาตนเอง
ลอกความหนักความหนาออกไป
วางของหนัก ของร้อนลงไป
จนจิตใจคลี่คลาย
เกิดเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานขึ้นมา
จนสามารถหลุดจากการยึดมั่นถือมั่นทั้งปวง
ปัญญาอันสูงสุด คือ ความไม่มี
วางทุกอย่างลง จนมันดับสนิท ไม่มีส่วนเหลือเลย
ปราศจากราคะ ปราศจากโทสะ ปราศจากโมหะ
คืนสู่ความเป็นธรรมชาตินั่นเอง
เพราะฉะนั้นสิ่งนี้ค่อย ๆ เพียรฝึกฝนปฏิบัติไป
ความก้าวหน้ามันวัดกันตรงนี้
ไม่ได้วัดว่า ต้องไปรู้เห็นอะไรหรอก
ไม่ต้องไปละเอียดอะไรมากมายหรอกนะ
ถ้าเราไปหลง เราไปติดข้อง
แล้วเราวางไม่ลงนั่นแหละ … ขาดปัญญา
มีปัญญา ก็คือ ผู้ที่รู้ ละ วาง ได้ อยู่กับปัจจุบันได้
ไม่กังวล ไม่ยึดมั่นถือมั่น
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสว่า
ความไม่กังวล ความไม่ยึดมั่นถือมั่น
เป็นวิหารธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย
1
วัดตรงนี้
ยังมีความกังวล
ยังมีความยึดมั่นถือมั่นเยอะไหมล่ะ
คลายออก วางออก
อยู่กับปัจจุบัน อยู่กับกายกับใจ
เบาสบาย ว่าง สงบเย็น
ก็จะเข้าถึงความลึกซึ้งของธรรมะได้
โดยลำดับลำดา
ไปทำความเข้าใจให้ถูกต้อง
ละการติดข้องอยู่กับสิ่งต่าง ๆ
แค่รู้ … แค่รู้สึก
ค่อย ๆ เพียรฝึกปฏิบัติไป
ในระหว่างวัน ใจเรามันเย็นลง
ที่เคยโกรธ มันก็ละ ดับความโกรธ ละความโกรธได้เร็วขึ้น
ที่เคยเศร้า มันก็ไม่เศร้า
นั่นแหละ คือความก้าวหน้าแล้ว
ใช้ในชีวิตจริงได้
จากปกติที่เคยฉุนเฉียวง่าย โมโหง่าย อารมณ์ร้อน
ใจมันเย็นลง มีความอ่อนโยนลง
มีความเข้าอกเข้าใจ
เห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน
มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่
นี่แหละความก้าวหน้าในการปฏิบัติธรรม
ค่อย ๆ เพียรฝึกฝนปฏิบัติไป … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา