ทำไมราคาน้ำมันในสหรัฐฯ
ถึงยังปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งที่สหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันอันดับหนึ่งของโลก
--- บทความต่อไปนี้ใช้เวลาในการอ่านประมาณ 4 นาที ---
ภาพจาก CNBC
หลายปีที่ผ่านมานักการเมืองสหรัฐฯ ต่างกล่าวกันว่า
อุตสาหกรรมน้ำมันที่รุ่งโรจน์ของอเมริกา จะทำให้สหรัฐฯ มี
‘อิสระทางพลังงาน’ ได้
แน่นอนว่าสหรัฐฯ เป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ที่สุดของโลก
มากกว่าซาอุดิอาระเบีย และรัสเซีย ซึ่งอยู่อันดับที่สองและสามตามลำดับ
ผลกระทบจากการรุกรานยูเครนของรัสเซียและท่าทีของซาอุฯ ส่งผลให้ราคาน้ำมันเบนซินในสหรัฐฯ พุ่งทะยานสูงเป็นประวัติการณ์
แม้ว่าสหรัฐฯ จะไม่ได้นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียมากนักก็ตาม
อย่างไรก็ตาม คำว่า ‘อิสระทางพลังงาน’ ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ จะเป็นอิสระจากราคาน้ำมันโลกได้ โดยหมายความแต่เพียงว่าสหรัฐฯ
มีการส่งออกน้ำมันมากกว่าการนำเข้าเท่านั้น
“น้ำมันเป็นสินค้าโภคภัณฑ์สากล” กล่าวโดย Patric De Haan หัวหน้าแผนกการวิเคราะห์ทางน้ำมันของเว็บติดตามราคาน้ำมัน GasBuddy
“เราไม่สามารถที่จะตัดขาดจากระบบที่เป็นสากลนี้ได้ เช่นเดียวกับกรณีของการขาดแคลนชิปคอมพิวเตอร์ เราก็ไม่สามารถที่จะหลุดพ้นจากสถานการณ์ดังกล่าวได้เช่นกัน แม้ว่าเราจะเป็นผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ แต่นั่นก็ไม่สามารถแก้ปัญหาปัจจัยที่ส่งผลต่ออุปสงค์และอุปทานซึ่งเกิดขึ้นนอกสหรัฐฯ ได้"
สหรัฐฯ มีน้ำมันสำรองในเชิงยุทธศาสตร์อยู่ประมาณ 700 ล้านบาร์เรล
ซึ่งกักเก็บไว้ในอุโมงค์ใต้ดินขนาดใต้ ตามแนวชายฝั่งอ่าวเม็กซิโก
น้ำมันในปริมาณดังกล่าวเพียงพอที่จะช่วยพยุงราคาน้ำมันใน
ประเทศได้หนึ่งเดือนเท่านั้น
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โจ ไบเดน ได้อนุมัติการปล่อยน้ำมันจากแหล่งกักเก็บ
ดังกล่าวแล้วสองครั้ง แต่นั่นก็ไม่ได้สร้างความแตกต่างในระยะยาวสักเท่าไหร่นัก
รัสเซียเป็นผู้ส่งออกน้ำมันอันดับสองของโลก เป็นรองเพียงแค่ซาอุฯ เท่านั้น (โปรดอย่าสับสนระหว่าง ผู้ส่งออกน้ำมัน และ ผู้ผลิตน้ำมัน)
ทั้งนี้สหรัฐฯ นำเข้าน้ำมันจากรัสเซียประมาณร้อยละ 8 เท่านั้น คิดเป็นร้อยละ 3.36 จาก 20 ล้านบาร์เรลที่สหรัฐฯ ใช้ในแต่ละวัน ซึ่งเมื่อเทียบกับแคนาดาแล้วจะอยู่ที่กว่าร้อยละ 50 สำหรับปริมาณการใช้น้ำมันแต่ละวัน
อ้างอิงจากสำนักข้อมูลด้านพลังงานสหรัฐฯ
ทว่า ตัวเลข 8% ก็มีความหมายในทางของมันอยู่ดี โรงกลั่นหลายแห่งในสหรัฐฯ สร้างขึ้นก่อนที่สหรัฐฯ จะเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่ ซึ่งเกิดจากการเพิ่มขึ้นของการใช้น้ำมันภายในประเทศที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วงที่ผ่านมา
ทุกวันนี้ น้ำมันดิบที่สหรัฐฯ ผลิตได้มากที่สุดจะเป็นน้ำมันดิบหวาน
(Sweet crude) ซึ่งก็คือน้ำมันที่มีปริมาณของซัลเฟอร์ต่ำ
ปัญหาที่ตามมาคือ โรงกลั่นของสหรัฐฯ ซึ่งส่วนใหญ่สร้างขึ้นเมื่อหลายทศวรรษก่อน ถูกสร้างขึ้นเพื่อกลั่นน้ำมันเปรี้ยว (Sour crude)
หรือก็คือน้ำมันที่มีปริมาณซัลเฟอร์สูง ซึ่งมีมากกว่า ณ ขณะเวลานั้น
ดังนั้นแล้วโรงกลั่นหลายแห่งจึงเน้นไปที่การกลั่นน้ำมันเปรี้ยวเป็นหลัก
ซึ่งสวนทางกับประเภทน้ำมันดิบที่ผลิตได้ในปัจจุบัน (น้ำมันดิบหวาน) ความสามารถในการกลั่นน้ำมันจึงส่งผลต่อราคาน้ำมันในสหรัฐฯ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เมื่อราคาน้ำมันพุ่งสูงขึ้น การเพิ่มกำลังการขุดเจาะน้ำมันดิบจะไม่ช่วยอะไรสหรัฐฯ ทางออกเดียวของสหรัฐฯ คือการเพิ่มกำลังการกลั่นน้ำมันหวาน
ซึ่งนั่นต้องอาศัยการลงทุนเพิ่มเติม
ทว่าในเวลานี้บริษัทน้ำมันต่างไม่พร้อมที่จะลงทุนอะไรมากนัก
และการขาดแคลนเจ้าหน้าที่ในภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่ง
ทั้งหมดนี้เป็นผลมาจากการแพร่ระบาดของเชื้อโควิดในช่วงเวลาที่ผ่านมา
“เราจะต้องปัดฝุ่นภาคการผลิต และหาทางเอาคนกลับเข้าสู่อุตสาหกรรมน้ำมันให้ได้” กล่าวโดย Ramanan Krishnamoorti
อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมปิโตรเลียม มหาวิทยาลัยฮูสตัน
“อย่างที่สอง เราจะต้องหาทางที่ดีกว่าในเพิ่มเม็ดเงินลงทุนในอุตสาหกรรมน้ำมัน และนั่นจะทำให้เรามีความแน่นอนในการควบคุมราคาน้ำมันได้”
ในระหว่างนี้ ผู้ใช้รถทั่วโลกต่างต้องคิดหนักเวลาเข้าปั๊ม
พร้อมกับกระเป๋าแฟบลงทุกขณะที่เห็นตัวเลขราคาน้ำมันวิ่ง
อย่างรวดเร็วขณะเติมน้ำมัน --- เว้นแต่ว่าพวกเขาจะใช้รถไฟฟ้า
อ่านบทความเรื่อง
‘การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายในการชาร์จรถไฟฟ้า กับราคาน้ำมัน’ ได้ที่
(บทความจาก CNBC เป็นภาษาอังกฤษ)
บทความดังกล่าว 31130 News
กำลังดำเนินการสรุปและเรียบเรียงเป็นภาษาไทยอยู่
ติดตาม 31130 News (ทันที)เพื่อไม่ให้พลาดข่าวสำคัญ
ที่(อาจ)มีประโยชน์กับคุณในสักวันหนึ่ง
Referenz:
- U.S. Energy Information Administration
Foto:
- CNBC
- 3
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2024 Blockdit
