27 มี.ค. 2022 เวลา 11:34 • หุ้น & เศรษฐกิจ
⭐ Oppday SISB Q4/2021 ⭐ : รายได้ Q4 248 ลบ. ลดลง 16% และทำกำไรได้ 27 ลบ. ลดลงถึง 61% YoY โดยปี 2022 มีแผนขยายธนบุรีแคมปัส และปี 2023 มีแผนเปิดโรงเรียนเพิ่มอีก 2 แห่ง
Published: 24 Mar 2022
วันนี้พบกับ บริษัท เอสไอเอสบี จำกัด (มหาชน) หรือใช้ตัวย่อในตลาดว่า SISB ซึ่งประกอบธุรกิจหลักร.ร.นานาชาติ ซึ่งใช้หลักสูตรการศึกษาของประเทศสิงคโปร์เป็นหลักสูตรพื้นฐาน โดยผลการดำเนินงานในปี 2021 สามารถสร้างรายได้ 1,071 ลบ. ใกล้เคียงปีทีแล้ว (+0.2%) และทำกำไรได้ 209 ลบ. เพิ่มขึ้น 31%
🚩1. ลักษณะธุรกิจ
✔ เปิดร.ร.นานาชาติ 4 แห่ง ได้แก่ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์สุวรรณภูมิ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์ธนบุรี และร่วมทุนโดยถือหุ้น 50% ใน บริษัท เอสไอเอสบี สิริ จำกัด เพื่อเปิดร.ร.นานาชาติสิงคโปร์เชียงใหม่ และนอกจากนี้ยังมีร.ร.อีก 2 แห่งที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์นนทบุรี และ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์ระยอง
✔ ณ สิ้นปี 2021 มีนร.ทั้งหมด 2,434 คน ซึ่งอยู่ในเตรียทอนุบาล - ประถมศึกษากว่า 80%
▪ เตรียมอนุบาลและอนุบาล: 604 คน, 25%
▪ ประถมศึกษา: 1,331 คน, 55%
▪ ม.1 - ม.4: 393, 16%
▪ ม.5 - ม.6: 106, 4%
◼️รายละเอียดร.ร.นานาชาติแต่ละแห่ง◼️
✔ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์กรุงเทพฯ มี Seat Utilisation Rate (SUR) ที่ 58% (1,260/2,175) โดยเปิดสอนตั้งแต่ เตรียมอนุบาล-ม.6 โดยมีจำนวนนร.ย้อนหลังดังนี้
▪ ปี: 2019 / 2020 / 2021
▪ นร: 1,464/ 1,430/ 1,260
✔ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์สุวรรณภูมิ มี Seat Utilisation Rate (SUR) ที่ 42% (216/510) โดยเปิดสอนตั้งแต่ เตรียมอนุบาล-ป.6
▪ ปี: 2019 / 2020 / 2021
▪ นร: 273 / 210 / 216
✔ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์ธนบุรี มี Seat Utilisation Rate (SUR) ที่ 49% (777/1,590) โดยเปิดสอนตั้งแต่ เตรียมอนุบาล-ม.3
▪ ปี: 2019 / 2020 / 2021
▪ นร: 646 / 772 / 777
✔ ร.ร.นานาชาติสิงคโปร์เชียงใหม่ มี Seat Utilisation Rate (SUR) ที่ 49% (181/370) โดยเปิดสอนตั้งแต่ เตรียมอนุบาล-ม.3
▪ ปี: 2019 / 2020 / 2021
▪ นร: 178 / 176 / 181
✔ และกำลังก่อสร้างสิงคโปรรนนทบุรี นยรับนร. เดือน8/2023 และจะเรื่องโรงรัียนระยองกลับมาเปิดที่ จาก 2024 มาเดือน 8/2023
◼️บุคลกรทางการศึกษา◼️
✔ สิ้นปี 2021 บริษัทมีบุคลากรทั้งสิ้น 424 คน โดยแบ่งเป็น ครู 305 คนและ ผู้ช่วยครู 119 คน
🚩2. ภาพรวมและผลการดำเนินงานที่ผ่านมา
◼️ภาพรวมปี 2021◼️
✔ เจอผลกระทบจากโควิดทำให้ต้องเปิดร.ร.ตามคำสั่งกระทรวงศึกษาธิการ และปรับเป็นการเรียนแบบออนไลน์ และคืนค่าอาหารกลางวัน และมอบส่วนลดแบบครั้งเดียวให้ในเทอม 1
✔ รายได้ 1,071 ลบ. ค่อนข้างคงที่ ถึงแม้ว่าในปี 2021 เป็นการเรียนออนไลน์ส่วนมากทำให้เด็กเล็กดรอปเรียนหายไป แต่บริษัทก็มีรายได้จากค่าเทอมที่เพิ่มขึ้นมากได้จากการไต่ชั้นของนร. โดยบริษัทมีรายได้จากการจัดการศึกษา 94%
▪ รายได้จากการจัดการศึกษา 94%
▪ รายได้ค่าสมัครเรียนและค่าแรกเข้า 5%
▪ รายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์ทางการศึกษา 0.5%
▪ รายได้อื่นๆ 1.5%
✔ รายได้จากการจัดการศึกษาเติบโต 1% อัตราเฉลี่ยค่าบริการต่อคนต่อปีเพิ่มขึ้น 5% เป็น 0.42 ลบ./คน/ปี เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของค่าเทอมเฉลี่ยที่อยู่ที่ 5% และมีรายได้จากค่าสมัครเรียนและค่าเแรกเข้าลดลง 6% จากการยกเลิกกิจการของร.ร.นานาชาติสิงคโปร์เอกมัย โดยรายได้ค่าธรรมเนียมแรกเข้าจะทยอยรับรู้ตามประมาณการระยะเวลาเรียนของนร. และรายได้จากการจำหน่ายอุปกรณ์การศึกษาลดลง 38% จากการเรียนออนไลน์ ส่วนรายได้อื่นๆ เช่น รายได้จากการจำหน่ายอาหารและเครื่องดื่ม กำไรจากเงินลงทุนระยะสั้น และค่าธรรมเนียมบัตรเครดิต ลดลง 21% โดยสาเหตุหลักๆมาจาก
✔ อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) เพิ่มขึ้น 4ppt (Percentage Point) เป็น 47% จากการลดค่าใช้จ่ายการศึกษาและบริการได้มีประสิทธิภาพ
✔ ต้นทุนการศึกษาและบริการคิดเป็น 53% ของรายได้โดยแบ่งออกเป็น 2 ส่วนหลักๆ ได้แก่ ต้นทุนการจัดการศึกษาและต้นทุนการบริหารอาคารและสถานที่ โดยต้นทุนการจัดการศึกษา เช่น ค่าบุคลการทางการศึกษา ค่าสอนกิจกรรมพิเศษ ค่าอุปกรณ์การศึกษา และค่าอาหารนร. ลดลง 2ppt เหลือ 36% จากการบริหารต้นทุนได้ดีขึ้น ส่วนของต้นทุนการบริหารอาคารและสถานที่ เช่น ค่าเสื่อมราคา ค่าเช่า ค่าซ่อมบำรุงและค่าสาธารณูปโภค ลดลง 2ppt เหลือ 17% จากที่ร.ร.ปิดทำให้ไม่มีค่าใช้จ่าย ค่าน้ำค่าไฟ ค่าทำความสะอาด
✔ ค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อยอดขาย (A to Sales) ลดลง 1ppt เหลือ 26% และเป็นค่าใช้จ่ายของพนักงานถึง 73% โดยในปี 2021 บริษัทรับรู้ขาดทุนจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่าของเงินลงทุนในตราสารหนี้-หุ้นกู้ในกลุ่มอุตสาหกรรมขนส่ง 15 ลบ. และที่เหลือจะเป็นค่าใช้จ่ายค่อนข้างคงที่ เช่น ค่าที่ปรึกษา ค่าสอบบัญชี ค่าเช่า และค่าเสื่อมราคา เป็นต้น
✔ บริษัทรับรู้กำไรจากเงินลงทุนจากร.ร.นานาชาติสิงคโปร์เชียงใหม่ 0.7 ลบ. เพิ่มขึ้น 21% และทำให้บริษัทมีกำไรสุทธิ 209 ลบ. เพิ่มขึ้น 31% คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ (NPM) 19%
◼️ภาพรวมปี Q4/2021◼️
✔ รายได้ 248 ลบ. ลดลง 16% และทำกำไรได้ 27 ลบ. ลดลงถึง 61% เมื่อเทียบกับปี 2020
🚩3. แผนงานในอนาคตและการเติบโต
◼️สถานการณ์ Q1/2022◼️
✔ นร.เริ่มกลับมาเรียนแบบที่ร.ร.ได้เกือบ 100%
◼️การเติบโต◼️
✔ ตั้งเป้าจำนวนนร.สิ้นปี 2022 ที่ 2,750 คน จากการเปิดธนบุรีเฟส2 และถัดจากนั้นมีแผนเปิดนนทุบรีเฟส1 เลื่อนเปิดระยองเข้ามา ทำให้คาดว่าจะมีนร. 3,350 คนในปี 2023 และตั้งเป้าไว้ปี 2026 จะมีนร. 4,150 คน และมีจำนวน Capacity 6,645 คน
✔ Q1/2022 โฟกัสนร. 2,6xx คน คาดว่า กำไรสุทธิจะเพิ่มขึ้นตามจำนวนนร.
◼️อื่นๆ◼️
✔ หลักสูตรของร.ร. SISB อยู่ Tier1 แต่ราคายังอยู่ Tier2 ทำให้บริษัทยังได้เปรียบคู่แข่ง และยังเอา 4 หลักสูตรมาไว้ในร.ร.เดียวกัน
✔ มีเปิด Admission Office ที่นนทุรีไว้สำหรับการเตรียมรับนร.ใหม่
✔ สิ้นปีที่แล้วซื้อที่ดินเพิ่มที่ระยองโดยจับมือกับกับ Supalai โดยเป็นสร้างร.ร.ใกล้หมู่บ้านให้เป็น Magnet ให้คนมาซื้อบ้านมากขึ้น โดยร.ร.ก็ได้ประโยชน์จากเด็กในหมู่บ้านที่จะเข้ามาเรียนในร.ร.เช่นกัน
✔ มีจำนวนนร.ไทยเยอะซึ่งจะทำให้นร.อยู่ยาว โดยกว่า 85% คือนร.ไทย
4️⃣ ข้อมูลอื่นๆ จาก Section Q&A
.
◼️การเติบโต◼️
✔ Q4/2021 คาดว่าเป็นว่าจุดในการเติบโตจาก 2750 คนโดยเติบโตที่ 20% จากกำไรสุทธิ
◼️อื่นๆ◼️
✔ สถานการณ์ 2021 ผู้ปกครองยังกังวลโควิดและยังไม่มีวัคซีนให้เด็กตั้งแต่ประถม-มัธยม และกระทรวงมีการสั่งให้ร.ร.ปิด โดย Q4/2021 เริ่มกลับมาดีขึ้น ทำให้ Q1/2022 ดีขึ้นโดยมีนร.กลับมามากขึ้น โดยร.ร.ให้บริการ 2 ส่วนโดยจะเรียน Online หรือ Offline ก็ได้ โดยมีคนเข้ามาเรียน Offline แล้วกว่า 70% โดยผู้ปกครอบงมีความเข้าใจมากขึ้น และร.ร.ได้จัดสรรหาวัคซีให้กับเด็ก 5 ขวบขึ้นไป
✔ ยังมีส่วนลดกิจกรรมหลังเลือกเรียน โดยมี One Time Support แล้ว โดยตั้งแต่ปีนีเป็นต้นไปไม่มีส่วนลดแล้ว และหลังเลิกเรียนไม่ไ่ด้จัดกิจกรรม ทำให้ไม่มีรายได้ส่วนนี้มาเพิ่มเติม โดยจะจัดกิจกรรมจากครู-ภาย คาดหวังจะจัดได้เทอม 3 เดือน 4/2022 โดยให้หลังเลิกเรียนจะมีกิจกรรมมากขึ้น
✔ การแข่งขัน ร.ร. นานาชาติ และกำลังซื้อน่าจะเริ่มกลับมาเนื่องจากวัดจากการจัด Open House การจัด Campaign โดยมีผลตอบรับดีกว่าคาด
✔ ภาวะเศรษฐกิจน่าจะมีผลแต่ยังไม่เยอะ โดยกำลังซื้อหมู่บ้านแนวราบระดับแพงยังขายดีอยู่
✔ แนวโน้มการเกิดของเด็กไทยที่น้อยลง มีส่วนบ้างสำหรับอุตสาหกรรมโรงเรียน โดยนร. จาก 8 ล้านคน เป็นตลาดของโรงเรียนนานาชาติไม่เกิน 100,000 คน โดยกำลังซื้อยังมีอยู่เนื่องจากจับตลาดเฉพาะ ทำให้ปัจจัยจากการเกิดของเด็กน้อยลงไม่สำคัญ
✔ จุดแข็ง มาจากหลักสูตรสามารถพาเด็กไปเข้ามหาลัยได้ และสามารถเปิดโรงเรียนได้หลายที่พร้อมบุคคลากรที่มีคุณภาพสำหรับในการขยายพื้นที่เข้าตั้งโรงเรียน
.
--------------------------------------------------------
💡 Key Takeaways & Ideas
▪ อันดับแรกแอดจะบอกว่าเป็นครั้งแรกที่แอดอ่านหุ้นโรงเรียนนานาชาติ ซึ่งมีหลายๆจุดที่อยากมาแชร์เป็นข้อมูลละกัน ยังสามารถถกกับแอดโดยจะหลังไมค์หรือ comment มาได้นะครับ :)
▪ แอดขอพูดถึงภาพรวมก่อนนะครับ โดยอัตราการเกิดแอดมองว่ามีผลกระทบแน่ๆแต่ใช้เวลาอีกนาน โดยแอดลองสังเกตุจากคนไทยแต่งงานช้าลงเรื่อยๆ มีค่านิยมที่มีลูกน้อยลงทั้งๆที่หลายๆคนมีฐานะ ซึ่งถ้ามองอีกมุมซึ่งบริษัทอยากให้มอง คือ คนมีลูกน้อยลงจะมีเม็ดเงินใช้จ่ายต่อลูก 1 คนมากขึ้น ทำให้คนเข้าโรงเรียนนานาชาติกันได้มากขึ้น แต่เท่าที่แอดสังเกตุคนเหล่านี้ต้องมีรายได้ขั้นต่ำต่อเดือนถึงระดับนึงถึงจะส่งเรียนนานาชาติได้ เพราะฉะนั้นแอดจึงมองว่ารายได้ต่อหัวอาจจะเป็นตัวเลขที่สำคัญ หรือดูจากอัตราการบริโภคพวกสินค้าแบรนด์เนม ยอดขายรถหรูคู่กันได้ครับ
▪ ถัดมาพูดถึงธุรกิจโรงเรียนนานาชาติเป็นธุรกิจที่ Fixed Cost ค่อนข้างสูงมาจากค่าเสื่อม เงินเดือนบุคลากรทางการศึกษาเป็นหลัก ทำให้รายได้หลังหักค่าใช้จ่ายส่วน Vairable Cost แล้วถ้าผ่านจุด Fixed Cost ของบริษัทได้จะไหลมาเป็นกำไรได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากๆ แต่แอดมองว่าหุ้นโรงเรียนจะมีความผันผวนของกำไรที่จะกระโดดขึ้นมาเยอะๆตู้มเดียวค่อนข้างยากเพราะว่าดีดีจะมี Event ที่นักเรียนจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดค่อนข้างยาก ซึ่งต่างกับหุ้นโรงพยาบาลที่ผ่านซึ่งมีเหตุการณ์พิเศษทำให้คนเข้ารพ. หรือหุ้นเดินเรือซึ่งมีเหตุการณ์พิเศษทำให้ค่าระวางเรือสูง ส่วนหุ้นโรงเรียนแอดมองว่ากำไรน่าโตจะไปได้เรื่อยๆใน X ปี
▪ บรรทัดรายได้มาจากค่าเทอมเป็นหลัก โดยค่าเทอมจะแปรผันตามจำนวนเด็กนักเรียนเพราะฉะนั้นจำนวนเด็กนักเรียนจึงเป็นสิ่งสำคัญมากๆครับ นอกจากนี้ขอให้สังเกตุว่าโรงเรียนมีการขึ้นค่าเทอมทุกปี 5% (มหาลัยเก่าแอดขึ้นค่าเทอมทุกปีละ 10 - 15% T_T) ทำให้จะมีรายได้เพิ่มขึ้น แต่แอดขอให้สังเกตุว่าโรงเรียนถึง ม.3 เป็นหลัก แต่สัดส่วนนร.ตั้งแต่มัธยมน้อยมาก แสดงว่าเด็กจบ ป.6 แล้วเริ่มย้ายออก
ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลที่แอดเคยอ่านเจอว่าพัฒนาการของเด็กจะดีมากในช่วง 3-5 ปี และ 5-12 ปี ซึ่งเป็นอีกเหตุผลที่ผู้ปกครองอยากให้เรียนร.ร.นานาชาติในเรื่องของภาษาและอื่นๆ พอครบ 12 ปีก็ย้ายออก ทำให้บริษัทต้องหาเด็กมาเติมเรื่อยๆ เพราะจำนวนเด็กในปีแรกๆจะบอกถึงรายได้ในอนาคตได้ครับ โดยคิดแบบคร่าวๆจำนวน Life Cycle ของรายได้จะอยู่ที่ราวๆ 10 ปี (คิดจากเตรียมอนุบาล-ประถม)
- เตรียมอนุบาลและอนุบาล: 604 คน, 25%
- ประถมศึกษา: 1,331 คน, 55%
- ม.1 - ม.4: 393, 16%
- ม.5 - ม.6: 106, 4%
▪ การที่มีนักเรียนไทยถึง 85% ถือว่าดีในเรื่องของจำนวนปีที่จะอยู่กับโรงเรียนมากขึ้นต่างกับเด็กต่างชาติที่มีการย้ายถิ่นฐานตามผู้ปกครอง
▪ ปี 2021 บริษัทมีการมอบส่วนลดค่าเทอมซึ่งจะเกิดขึ้นครั้งเดียว และปี 2022 น่าจะไม่เห็นอีกนอกจากจะมีเหตุการณ์ที่ทำให้ต้องเรียนออนไลน์กัน 100% อีกรอบ ปีนี้น่าเห็นรายได้ของกิจกรรมเพิ่ม ค่าอาหารกลางวันเพิ่ม จากการเด็กมาเรียนที่ร.ร.กันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้ต้นทุนของกิจกรรมพวกนี้ตามไปด้วย
▪ บริษัทมีขาดทุนที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงของหุ้นกู้เอกชน 15 ลบ. โดยแอดไปดูงบปี 2020 ก็ขาดทุนเหมือนกัน ซึ่งอาจจะต้องสอบถามดูว่าเป็นของบริษัทจะมีความเสี่ยงจะล้มมั้ย โดยส่วนตัวถ้าดอกเบี้ยยังเป็นขาขึ้นก็น่าจะขาดทุนทุกปีครับ แต่สุดท้ายถ้าบริษัทไม่ล้มก็จะได้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยอยู่แล้วครับ
▪ อนาคตจะเห็นว่าบริษัทตั้งเป้าการเติบโตเพิ่มขึ้นจากจำนวนโรงเรียนที่จะเปิดเพิ่มขึ้นอีก 2 แห่ง และบริษัทก็ยังเหลือ room ในการรับนักเรียนอีกพอสมควร
▪ แอดมองว่าตัวเลขที่น่าสนใจสำหรับธุรกิจโรงเรียน คือ “รายได้เฉลี่ยต่อหัวต่อปี” ว่ามีแนวโน้มเพิ่มขึ้นไหม ควบคู่ไปกับ “จำนวนนักเรียน” และ “จำนวนบุคลากรทางการศึกษาต่อจำนวนนร.ในแต่ละแห่ง” ซึ่งจะท้อนทั้งประสิทธิภาพและต้นทุน
ขอให้สนุกกับการลงทุนครับ 😄
ถ้าชอบ Content ของแอดก็ขอกด Like กด Share เป็นกำลังใจให้แอดหน่อยนะครับ 😽
Reference:
▪ One Report บริษัท 2021
สามารถฟัง Oppday ตัวเต็มได้ที่ ▶️
#OpportunityDay #OppdayQ42021 #หุ้นโรงเรียน #SISB
โฆษณา