27 มี.ค. 2022 เวลา 15:58 • ไลฟ์สไตล์
ตามรอย OUT OF AFRICA ในเดนมาร์ก
แด่ Karen Blixen
"Karen Blixen: When you go away... you don't always go on safari, do you? Just want to be away.
Denys: It's not meant to hurt you.
Karen Blixen: It does.
Denys: I'm with you because I choose to be with you. I don't want to live someone else's idea of how to live. Don't ask me to do that. I don't want to find out one day that I'm at the end of someone else's life."
โปรยด้านบนคือบทสนทนาระหว่าง Karen และ Denys ที่กลายเป็นบทสนทนาที่ใครๆที่ได้ชมภาพยนตร์เรื่อง Out Of Africa ต้องมีภาพจำไปตลอดกาล ซึ่งเป็นภาพบทสนทนาข้างกองไฟ
ที่ดูเมื่อไรก็จี๊ดเข้าใจในอารมณ์รักของผู้หญิง ที่ต้องการเลื่อนสถานะคนรักกันให้เป็นคนที่แต่งงานกัน หรือภาพที่นั่งอยู่กลางทุ่งเหมือนมีเพียงเราสองคนเท่านั้นในโลก ภาพ Denys สระผมให้Karen ให้ความโรแมนติกที่ซาบซึ้ง ในฐานะคนชมภาพยนตร์เรื่องนี้เราจำได้อย่างแม่นยำ ถึงความรู้สึกแบบนั้นแม้ว่าเวลาจะผ่านมายาวนานเท่าไร
จำได้ว่า Out Of Africa ออกฉายในปี 1985 เราเป็นสาวรุ่นๆ ไม่ได้สนใจลึกซึ้งนักกับเจ้าของเรื่อง คือไม่รู้จัก Karen Blixen แต่เราเป็นคนที่ชอบดูภาพยนตร์ตั้งแต่เด็กๆ เราไม่รู้ด้วยว่าKarenมาจากเดนมาร์ก มารู้ทีหลังเมื่อได้ชมภาพยนตร์เรื่องนี้ และพบว่าเรื่องราวชีวิตบางช่วงของผู้หญิงคนหนึ่ง ทำให้เรานั่งน้ำตาไหลแบบไม่รู้ตัวและประทับใจในความรักของเธออย่างไม่มีวันลืม
Karen Blixen ผู้หญิงคนหนึ่งเมื่ออายุ 10 ขวบพ่อของเธอเสียชีวิตด้วยการแขวนคอเขามีอายุเพียง 49 ปี Karen แต่งงานกับญาติตัวเองคือ Baron Bror Von Blixen-Finecke (ซึ่งเป็นโฮโมเซ็กช่วล) ชาวสวีเดนเมื่อปี 1914 ที่อาฟริกาและสร้างธุรกิจไร่กาแฟแต่ต่อมาพบว่า สามีของเธอไม่มีความสามารถในการบริหารงาน ทั้งคู่ได้แยกทางกันในปี 1921
ซึ่งหลังจากนั้น Karen ได้ทำหน้าที่เป็นผู้จัดการไร่กาแฟแต่เพียงผู้เดียว ที่ต่อมาภายหลัง Karen ยังคงใช้คำนำหน้าว่า Baroness และนามสกุล Blixen ตลอดจนกระทั่งเสียชีวิต
ในช่วงเวลาที่ Karen ใช้ชีวิตอยู่ในเคนย่า เธอได้พบรักกับ Denys Finch Hatton ขุนนางชาวอังกฤษที่รักในเกมส์ล่าสัตว์เป็นชีวิต สุดท้ายเขาเสียชีวิตลงด้วยอุบัติเหตุเครื่องบินตก
ที่เคนย่า Karen ได้จดบันทึกเรื่องราวต่างๆของเธอที่เกิดขึ้นและใช้ชื่อในงานเขียนของเธอว่า Isak Dinesen ใครยังไม่เคยชมภาพยนตร์เรื่อง Out Of Africa สามารถหาชมได้ตามยูทูบ เตรียมดื่มด่ำกับความโรแมนติกที่มาพร้อมกับความขมขื่นหัวใจของความรักและโชคชะตาของผู้หญิงคนหนึ่ง
บ้านหรือพิพิธภัณฑ์ที่เราไปเยือนคือบ้านที่ Karen เกิดและเติบโต อยู่ในเมืองที่ชื่อว่า Rungsted บริเวณอยู่ติดชายทะเลทางด้านทิศตะวันออกของเกาะ Nordsjælland, ไม่ไกลจากเมืองโคเปนเฮเกนนัก สถานที่หาได้ง่าย เพราะอยู่ติดถนนใหญ่ มองเห็นได้ไม่ยาก ช่วงที่เราไปอากาศยังหนาวอยู่มาก ต้นไม้ดอกไม้ยังไม่เจริญเติบโตนัก จึงทำให้บรรยากาศไม่สดใสเท่าที่ควรแม้มีแดดออกก็ตาม คิดว่าช่วงที่เหมาะในการเยี่ยมชมที่ดีที่สุดคือช่วง ตั้งแต่เดือนเมษายน จนถึงสิงหาคม
Karen กลับมาอาศัยอยู่ที่บ้านหลังนี้อีกครั้ง หลังจากเธอหมดสิ้นทุกอย่างที่เคนย่า คือพูดได้ว่าเธอหมดตัวนั่นเอง ใช้ชีวิตจากงานเขียนที่เธอมีอยู่ ซึ่งมีอยู่หลายเล่มด้วยกัน
เมื่อตอนไปถึงพิพิธภัณฑ์ เราเกิดอาการงงๆ เพราะ เมื่อเปิดประตูพิพิธภัณฑ์เข้าไป สิ่งที่เราได้เห็นคือ คาเฟ่ มีผู้คนนั่งอยู่ตามโต๊ะต่างๆมากมาย เรานึกว่าเข้าผิดทาง ก็พยายามไปหาทางเข้าทางอื่นแต่ก็ไม่ใช่จึงกลับมาเข้าทางเดิมที่พบครั้งแรก และก็พบว่า ตรงนี้แหละคือทางเข้า แปลกแต่จริง เราคิดว่า เป็นการตั้งคาเฟ่ที่ดูไม่เหมาะเอาเลย ก็ไม่แน่ใจว่าทางพิพิธภัณฑ์จะมีการเปลี่ยนแปลงตรงจุดนี้มั้ย (ขอบ่น) คือเมื่อเดินเข้าไปชมพิพิธภัณฑ์ ทุกคนต้องเดินฝ่ากลางฝูงชนที่กำลังกินอาหาร
(ค่าเข้าชมพิพิธภัณฑ์ราคา 100 kr.)
ในปี 1991 เป็นปีที่มีการเปิดพิพิธภัณฑ์ ภายในพิพิธภัณฑ์มีการนำเสนเรื่องราวชีวิตของKaren เริ่มต้นจากส่วนที่เรียกว่า Gallery and Lobby มีการบอกเล่าถึงช่วงวัยเด็ก ที่พบว่าKaren มีความปราถนาที่จะเป็นอาร์ตีส โดยในปี 1903 เธอได้เข้าเรียนที่ The Royal Academy Of Fine Arts เราจึงเห็นภาพวาดและงานระบายสีต่างๆที่เป็นผลงานของเธอมากมายแขวนอยู่ทั่วไป
นอกจากรูปและผลงานของKaren แล้ว ยังมีเอกสารมากมาย เช่น ภาพข่าวที่ต้องใช้เวลาในการอ่านเป็นอย่างมาก ถ้าใครไม่ชอบอ่านเราว่า ไม่เหมาะกับการไปเยือนบ้านของKaren เพราะเธอชอบเขียน จึงมีเอกสารมากมายเช่น จดหมายที่เธอเขียน, เรื่อง, รูปของบุคลต่างๆที่เกี่ยวข้องกับเธอและเรื่องราวของชีวิตเธอตามมีเดียต่างๆที่ถูกเขียนถึง
ห้องอาหารและโต๊ะอาหาร ถือเป็นสถานที่ๆ Karen ให้ความสำคัญมาก เพราะเธอคิดว่าที่แห่งนี้เป็นส่วนหนึ่งของการแสดงความคิดในเชิงสร้างสรรค์ นั่นคือการสนทนาที่ดีกับแขกที่มาร่วมโต๊ะอาหารในแต่ละครั้ง นั้นสามารถสร้างแรงบันดาลใจเสมอ เธอมองว่าศาสตร์ของการทำอาหารเป็นรูปแบบของศิลปะทัดเทียมกับวรรณกรรมดนตรีและจิตรกรรม
แนวความคิดนี้จึงเป็นที่มาของผลงานอีกชิ้นหนึ่งที่ Karen เขียนซึ่งมีเนื้อหาเกี่ยวกับเชฟชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่า Babette ที่สามารถเย้ายวนผู้คนให้หลงไหลในทักษะการทำอาหารของเธอ
ต่อมามีการนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์ ที่ชื่อว่า Babettes Gæstebud (Babette’s Feast)ในปี 1987
ภายนอกพิพิธภัณฑ์ปกคลุมไปด้วยสวนและเนินเล็กๆ บริเวณรอบๆมีที่นั่งยาวที่เรียกว่า The Benches โดยแต่ละแห่งมีชื่อปรากฏอยู่ให้เห็น เช่น ที่ Madam’s Bench (8) เป็นการสร้างตามชื่อแม่ของKaren (Ingeborg Dinesen) Clara’s Bench (9) ตั้งตามชื่อ เลขานุการ ของ Karen (Clara Selborn) และคนอื่นๆอีกมากมาย
นอกจากนี้บริเวณสวนยังมีการสร้างกล่องทำเป็นรังให้กับนกพันธุ์ต่าง โดยมีทั้งสิ้นถึง 150 รังด้วยกัน เมื่อเดินต่อไปยังเนินเล็กๆที่ไกลออกไป เนินนี้มีชื่อว่า Ewald’s Hill มองไปข้างหน้าเห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งก้านสาขาดูร่มรื่นสวยงาม มองเรื่อยไปตรงบริเวณพื้นดินที่อยู่ตรงหน้า...ตรงนั้นคือหลุมฝังศพของKaren นั่นเอง
โฆษณา