29 มี.ค. 2022 เวลา 06:06 • ครอบครัว & เด็ก
ตบสนั่นออสการ์ : บทเรียนจากการที่ Will Smith ฉุนขาดเดินไปตบหน้า Chris Rock กลางงานประกาศรางวัล Oscars
ไม่นานก่อนจะคว้ารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมจากงาน Academy Awards ครั้งที่ 94 วิลล์ สมิธ (Will Smith) ก็กลายเป็นข่าว จากเรื่องที่เขาเดินขึ้นไปบนเวทีและตบหน้านักแสดงตลกอย่าง คริส ร็อค (Chris Rock) หลังจากที่เขาเล่นมุก "G.I. Jane" เกี่ยวกับนักแสดง เจด้า พิงคิตต์ สมิท (Jada Pinkett Smith) ภรรยาของวิลล์ต้องโกนผมเพราะเป็นโรคผมร่วง วิลล์ตอบโต้ด้วยการเดินขึ้นไปบนเวที ตบคริสฉาดใหญ่และตะโกนว่า "อย่าพูดชื่อเมียฉันออกจากปากเน่า ๆ ของแกอีก!"
ในปี 2016 คริสผู้นี้เคยแสดงความคิดเห็นเชิงล้อเลียนเกี่ยวกับเจด้าที่ตัดสินใจต่อต้านรางวัลออสการ์ในกรณีเกี่ยวกับสีผิด ซึ่งคริสบอกว่า “เธอจะต่อต้านออสการ์ได้ยังไงในเมื่อเธอไม่ได้ถูกเชิญมางาน” เหนือสิ่งอื่นใด ผู้ชมคาดเดาว่าการตบนั้นเป็นปฏิกิริยาตอบสนองต่อความคิด จากประเด็นที่ลึกซึ้งและยาวนานกว่านั้น
การกระทำที่ดุเดือดกลายเป็นไวรัลไปทั่วโลก มีการแสดงความคิดเห็นว่าการกระทำของวิลล์ เป็นตัวอย่างของ ‘toxic masculinity" หรือ “ภาวะความเป็นชายเป็นพิษ” หลายคนกล่าวว่าการกระทำของเขาไม่สามารถอภัยได้ และเป็นเพียงการทำร้ายร่างกาย มีหลายความคิดเห็นที่ปะทะกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ บางคนคิดว่าเป็นแผนเรื่องตลกที่วางแผนไว้ บางคนก็สนับสนุนวิธีที่วิลล์ปกป้องภรรยาของเขา ส่วนบางคนก็บอกว่ามันเป็นเรื่องน่าอายที่เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้น
แต่ยังไงก็ตามวิลล์เองรู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้น
ในขณะที่เรากำลังพยายามตัดสินใจว่าควรจะรู้สึกอย่างไร และเราต้องสื่อสารอะไรกับลูกๆที่เห็นเหตุการณ์และกำลังมองหาคำตอบจากเรา
Physical Violence Is Never Okay—and neither Are Jokes That Hit Below the Belt
การทำร้ายร่างกายไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ไม่ควร เช่นเดียวกับมุขตลกเสียดสีที่ล้ำเส้นเกินไป
เป็นสิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องหลีกหนีจากการทำให้ความรุนแรงเป็นเรื่องปกติ ชุมชนของเรามีประสบการณ์มากมายนับไม่ถ้วนที่ความรุนแรงถูกทำให้เป็นเรื่องปกติ และทำให้เรารู้สึกไม่มีอำนาจ และตอบสนองต่อภัยคุกคามที่แท้จริงต่อความปลอดภัยของเรา เมื่อพิจารณาถึงประวัติศาสตร์นี้ เราอาจเข้าใจได้ว่าการถูกครอบงำด้วยพฤติกรรมที่ไม่สมเหตุผลนั้นเป็นอย่างไร แต่เราไม่สามารถแก้ตัวการกระทำของสมิธได้ เพียงเพราะเราเข้าใจความรู้สึกของเขา
Nedra Tawwab นักบำบัดโรค นักเขียนหนังสือขายดีของ NYT และผู้เชี่ยวชาญด้านความสัมพันธ์ ทวีตหลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นว่า
“มันเป็นมุข ที่ไม่ตลก การพูดจารุนแรงและแสร้งทำเป็นว่าคำพูดเหล่านั้นเป็นเรื่องตลกคือการ gaslighting”
นี่ถือเป็นอุทาหรณ์เตือนใจว่าการเล่นมุกเกี่ยวประเภทนี้มันไม่ยุติธรรม ในเวลาเดียวกัน สิ่งสำคัญคือต้องกล่าวว่าแม้ว่าการกระทำของวิลล์อาจดูเหมือนเป็นวีรบุรุษสำหรับบางคน แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำอะไรเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงในระยะยาว สำหรับผู้หญิงผิวสีที่ต้องเผชิญการเยาะเย้ยและการเลือกปฏิบัติ การตอบโต้ที่รุนแรงทำให้เรามีคำถามมากกว่าคำตอบ แต่เราควรจะคำนึงถึงเจด้า ว่าการ called out ของวิลล์กับมุขของคริสล้วนตอกย้ำความเจ็บปวดของเจด้าทั้งสิ้น
พูดง่ายๆ ก็คือ ทั้งการใช้ความรุนแรงทางร่างกาย หรือการเล่นมุขตลกโดยการล้อเลียนผู้อื่น เป็นการทำร้ายเหมือนกัน และคำพูดที่ทำร้ายจิตใจจะเป็นบันไดไปสู่การกระทำที่เจ็บปวด
It's Bigger Than "Just Hair" (มันมากกว่าแค่เรื่องเส้นผม)
สำหรับหลายๆ คน ความเห็นของคริสเป็นเรื่องส่วนตัว ชุมชนของเราทราบดีว่าผมของเราไม่ได้ "เป็นแค่ผม" แต่เป็นแหล่งของการแสดงออก เอกลักษณ์ และความรักในตนเอง แต่ในสังคมที่ "loose and long" เส้นผมอาจเป็นมาตรฐานของความงาม ผมของผู้หญิงผิวสีมักเป็นหัวข้อสนทนาเสมอ—และมักถูกเยาะเย้ย
เจด้าเป็นหนึ่งในผู้หญิงผิวสีที่เป็นตัวแทน และแกนนำเกี่ยวกับประสบการณ์ของเธอกับโรคผมร่วง อย่างไรก็ตาม การสนทนาเกี่ยวกับผู้หญิงผิวสีและผมของพวกเธอนั้นลึกซึ้งยิ่งกว่าการหลุดร่วงของเส้นผมที่เกิดจากภาวะภูมิต้านทานผิดปกติ ผู้หญิงผิวสีรู้สึกกดดันมาหลายชั่วอายุคนในการปรับตัวให้เข้ากับมาตรฐานความงามแบบ Eurocentric ที่เทียบความยาวผมเข้ากับความงามและคุณค่า เรารู้ว่าการเลือกปฏิบัติเกี่ยวกับเส้นผมเป็นรูปแบบหนึ่งของการเหยียดเชื้อชาติที่แท้จริง และผู้หญิงผิวสีก็ต้องเผชิญกับมันมาหลายศตวรรษ
อันที่จริง หลายคนชี้ให้เห็นถึงประเด็นเสียดสีที่คริสได้สร้างในสารคดีเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของผู้หญิงผิวสีกับเส้นผมของพวกเธอ ซึ่งเน้นย้ำถึงห่วงที่หลายคนมองข้ามไปจนถือว่าสวยงาม คนอื่นๆ ตั้งข้อสังเกตว่าเรื่องตลกของเขานั้นดูแย่ลงไปอีก เพราะที่สภาผู้แทนราษฎรพึ่งนำเสนอเกี่ยวกับ Crown Act ซึ่งขณะนี้มุ่งหน้าไปที่วุฒิสภาเพื่อตอบโต้การเลือกปฏิบัติต่อทรงผมของคนผิวสี ที่เกิดขึ้นมาเป็นเวลาหลายทศวรรษ
บางคนยังเชื่อว่าการล้อเลียนของคริส แสดงให้เห็นว่าเราละหลวมกับ ความเกลียดชังต่อผู้หญิงผิวสี(misogynoir) และเลือกปฏิบัติต่อผู้มีความบกพร่องมากเกินไป(ableism)
Privilege Still Matters
ในแง่ใหญ่ นี่เป็นการสนทนาเกี่ยวกับสิทธิพิเศษ(Privilege) และผู้ที่มีอิทธิพลในที่สาธารณะ แม้ว่าคริสและวิลล์จะบกพร่องในเรื่องการเหยียดเชื้อชาติในฐานะคนผิวสี แต่ความมั่งคั่งและชนชั้นก็ยังปกป้องพวกเขาจากผลที่ตามมาจากการทะเลาะวิวาทในที่สาธารณะในแบบที่คนผิวสี "ธรรมดา" ไม่เคยได้รับเห็นได้ชัดว่ามีสองมาตรฐานในเรื่องนี้
ในสถานที่ที่แตกต่างกัน กับคนที่แตกต่างกัน ความขัดแย้งอาจจบลงด้วยการที่ชายทั้งสองคนถูกจับหรือแย่กว่านั้น ในเวลาเดียวกัน เราได้เห็นแล้วว่าการเป็นที่รู้จักกัน ก็ไม่ได้เป็นปัจจัยในการได้รับการปกป้องเสมอไป
ในฐานะ "คนธรรมดา" เราต้องจำไว้ และต้องสอนลูกๆ ว่าแม้การกระทำของวิลล์อาจทำให้รู้สึกว่ากล้าหาญสำหรับบางคน แต่ผลที่ตามมาจะดูแตกต่างออกไปมากหากเราเลือกที่จะทำตามเขา เราต้องมองเหตุการณ์นี้จากหลาย ๆ มุมเพื่อให้เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นแบบไม่มีอคติ
It's muddy territory.
'สิ่งนี้สอนอะไรลูกของเรา' : มนุษย์ที่ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ได้หรือมนุษย์ที่เชื่อว่าวิธีเดียวที่จะสร้างอารมณ์ขันคือการล้อเลียนคนอื่นนั้นมีอยู่จริง และเป็นการกระทำที่ไม่สมควรทั้งคู่ ไม่ว่าจะในสนามเด็กเล่นหรือบนเวทีออสการ์ก็ตาม สถานการณ์แบบนี้เกิดขึ้นได้เสมอ
Oscar Academy ออกมาประณามการกระทำของวิลล์อย่างเป็นทางการและประกาศว่ากำลังดำเนินการตรวจสอบอย่างละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้ โดยที่คริสปฏิเสธที่จะแจ้งความ ซึ่งทั้งคู่ล้วนมีสิทธิพิเศษที่คนผิวสีส่วนใหญ่ไม่มี พวกเขาสามารถทะเลาะกันในทีวี และก็ไม่ได้กระทบถึงงานหรือชีวิตชื่อเสียงของตัวเองมากนัก ซึ่งไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำ และคนธรรมดาทั่วไปคงไม่มีสิทธิ์ที่จะได้รับการสนใจแบบนี้ นี่คือสิ่งบทเรียนที่สำคัญ ไม่ใช่แค่สำคัญสำหรับผู้ใหญ่ แต่สำคัญสำหรับลูกๆ ของเราด้วย
1
สำหรับผมแล้วผมชอบตอนสุดท้ายที่วิลล์ออกมาเขียนขอโทษและรับผิดบอกว่า “I am a work in progress” ซึ่งหมายถึงว่า “ผมยังมีอะไรที่ต้องเรียนรู้อีกเยอะและไม่สมบูรณ์แบบ” ใช่ครับ…ไม่มีใครสมบูรณ์แบบ เราไม่ได้อยู่ตรงนั้น และเรานั่งอยู่ข้างนอกไม่มีทางรู้หรอกว่าทำไมวิลล์ถึงทำอย่างนั้นลงไป แต่ที่แน่ๆ เราทุกคนครับไม่สมบูรณ์ แลยังต้องเรียนรู้อะไรอีกเยอะเลย
โฆษณา