30 มี.ค. 2022 เวลา 13:49 • ปรัชญา
เรื่องของจิต ที่เป็นนามธรรม ก็ยังเป็นมีเรื่องของธาตุทั้งสี่อยู่ ที่เก็บเรื่องราวของคำว่ากรรมไว้ กับธาตุทั้งสี่ ธาตุทั้งสี่นี้แหละที่จิตอาศัยอยู่ เป็นธาตุของกรรม ที่นำพาจิตที่ติดตามธาตุของกรรมที่จิตประกอบขึ้นมา ไปอยู่ในอบายภูมิ หรือ ประกอบเป็นรูปร่างเทพยดาอินทร์พรหม เมื่อไปเกิดเป็นมนุษย์ ธาตุที่มาเกี่ยวข้องคือ ธาตุของพ่อแม่ที่เค้าเรียกว่า นะโม ธาตุทั้งสองของพ่อแม่ ที่ก่อตัวขึ้นมา พ่อแม่ก็มีกรรมคล้องเวรกรรมทั้งดีและไม่ดี ที่เรียกว่ามีกรรมผูกพันกันมาเกี่ยวข้องกัน กรรมก็เป็นสัญญาณเป็นที่หมายของจิตที่ประกอบด้วยธาตุของกรรม มาประกอบขึ้น กับธาตุทั้งสองของบิดามารดา ให้มีอาการครบสามสิบสองหรือไม่ครบสามสิบสอง มีบุญหรือไม่มีบุญที่จิตนั้นสะสมมา เมื่อมีชีวิตสิ่งที่เรียกว่ากรรม ค่อยๆไหลออกมา ลิขิตเป็นอารมณ์ที่เกิดขึ้น ให้มีวิบากกรรม ในตัวตนให้ยึดถือ ให้มีชีวิตเดินไปตามกรรม จนแก่เฒ่าชรา ก็หมดลมไป
จิตก็ออกจากร่างอีก ไปสู่สถานที่ที่แม่ทั้งสี่ นำพาไป ส่วนมากขณะ เมื่อมีชีวิต เราไม่ค่อย เกรงกลัวเรื่องของกรรม ไม่รู้จัก ว่ากรรมที่จะพาจิตเราไปสู่สถานที่ทุกข์หรือสุข เราก็ไม่รู้อีก เมื่อเราไม่พยายามเรียนรู้จัก ว่าชีวิตเค้าให้มาแก้ไขในสิ่งที่เราไม่รู้จักกรรม เราก็ปฏิบัติธรรมขึ้นมา เรื่องราวของพุทธศาสนา ที่สอนให้เรารู้จักกรรม รู้จักเรื่องบุญกุศล เรื่องของการเวียนว่ายตายเกิด เมื่อเราเรียนรู้ประพฤติปฏิบัติธรรมขึ้นมา เราก็จะได้ศึกษาเรื่องราวต่างๆ ว่าแท้จริงมันเป็นอย่างไร เพราะมันจับต้องด้วยกาย หูตาจมูกลิ้นกายใจ ไม่ได้ ต้องปฏิบัติธรรมขึ้นให้รู้จักคำว่า จิต แล้วก็อาศัยคำว่าจิตเรียนรู้เรื่องราวต่างๆ ทำให้รู้สิ่งที่ประกอยขึ้นมาเป็นกาย นั้นมีอะไรเข้าเกี่ยวข้องบ้าง เราจะค่อยคลำหาคำตอบให้แก่จิตของตัวเองได้ เรื่องราวของจิต ที่ประกอบด้วยแม่ทั้งสี่นั้น เอามาพูดถึงกัน ก็ไม่มีใครเค้าเชื่อหรอก
เมื่อเกิดมีกายเป็นมนุษย์ที่แม่ทั้งสี่ประกอบขึ้น ด้วยอาศัยธาตุทั้งสองของพ่อแม่ ให้จิตที่มีกรรมมาอาศัย สร้างเวรกรรม ไปตามอารมณ์ต่างๆ ที่ผุดขึ้นมาในกายบ้าง จากวิญญาณทั้งหกไปสัมผัสเรื่องราวต่างๆเกิดเป็นอารมณ์ทิฐิ ความคิดอะไรต่างๆ อารมณ์ชอบใจไม่ชอบใจ เกิดเป็นการคล้องกรรม สร้างการกระทำด้วยกายวาจาใจของตน แสดงออกมาให้ประจักษ์ว่าข้าดิ้นรนไปตามอารมณ์ที่ปรุงแต่ง ไม่สามารถจะอยู่รักษาจิตให้นิ่งเฉยได้ กายก็นิ่งไม่ได้ มันจึงเป็นเรื่องราวของคำว่าวิบากกรม
เช่น อยู่ๆก็มีใครมาด่าว่าเรา เราก็นิ่งเฉยไม่ได้แล้ว เสียทีอารมณ์ที่ผุดขึ้นมาในกายตนเสียแล้ว ต้องไปเอาคืน กับคนที่ว่าเรา ก็เรียกว่าคล้องกรรมกันไปแล้ว เพราะอยู่เฉยนิ่งๆ ปล่อยวาง นั้นคำพูดจากปากเค้า คำพูดนั้นเป็นกรรมเป็นวาจากรรมของเค้า ไม่ใช่ปากเรา แล้วเราไปเอายึดถือทำไม ทำนองนี้ พอเราเอามายึดถือ สร้างกรรมด้วยคำพูดของเราตอบโต้ไป ตาที่เราเห็น หูที่เราได้ยินเสียงที่เป็นวาจากรรมของเราด้วยความโกรโมโห ก็จะเก็บไว้เป็นสีดำกับแม่ทั้งสี่ที่จิตเราอาศัยอยู่ ตรงนี้แหละ เป็นธาตุของกรรม ที่จะสะสมไปเรื่อย ตลอดชีวิต ถ้าไม่การแก้ไข
การที่จะแก้ไข จิตที่มีกรรมอยู่กับธาตุทั้งสี่ เป็นธาตุของกรรม เหมือนสีดำเป็นยางมะตอยติดทนนานเป็นอสงไขย เราก็ต้องอาศัย การสร้างบุญกุศลบารมี เพื่อที่จะไปชำระล้าง กรรมที่อยู่กับธาตุสี่ให้ผ่อนคลาย เกิดเป็นการอโหสิกรรมเพื่อหนีกรรม เวียนว่ายตายเกิด ที่ถ่วงจิตต้องมีกายชดใช้เวรกรรม โดยกระทำไปตามรอยของพระสิทธัตถะ ศึกษาเรื่องราวชาดกขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า สร้างทานบุญกุศลบารมีให้เกิดขึ้น ด้วยจิตของตน เดินไปตามรอยขององค์พระสัมมาสัมพุทธะชเจ้าที่ท่าน แสดงไว้ให้ เป็นแนวทาง แก่จิตที่สร้างบุญกุศลบารมี หลีกหนีทุกข์ ในคำว่าเกิด ที่เราไม่รู้ว่าจะไปเกิดตรงไหน ก็ศึกษากระทำขึ้น จะเป็นคำตอบให้ประจักษ์ ว่าจิตออกจากร่างจะไปสถานที่ทุกข์หรือสุข กระทำให้ประจักษ์ขึ้นให้แน่ชัด แก่จิตของตนเอง ไม่ใช่จิตของผู้หนึ่งผู้ใด
มีเรื่องราวที่แปลก อย่างหนี่ง ตื่นนอนก็ลุกมานั่งนิ่งใจมันเฉย แล้วก็รู้สึกเหมือนหน้าใครก็ไม่รู้ มาแนบติดหน้าเรา พอรู้สึกตัว ก็เห็นเป็นภาพยมทูต ออกไปยืนหันข้างให้ นุ่งผ้าแดง เหมือนคนอายุสักห้าสิบ เราพยายามจะขอดูหน้า แต่ท่านก็ยืนก้มหน้านิ่งเฉย เราก็มองดู ..จนจิตมันเคลื่อน ภาพนั้นก็หายไป ไปถามพระที่นับถือ เล่าให้ท่านฟัง ท่านบอกว่ายมทูต ท่านผ่านมา ก็เลยแวะมาดู..ท่านดึงบัญชีกรรม ที่เรากระทำในชีวิตของเราออกมาดูได้ อ่านผ่านๆไป แต่อย่าเชื่อน่ะ จริงไม่จริง หรือ ว่าอุปโลกน์ ก็ต้องอาศัยจิตของตนมาเรียนรู้ ปฏิบัติธรรมให้จิตเรา รู้จักขึ้นมา ประจักษ์ในเรื่องราวที่ปรากฏในรอยคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ว่าชีวิตวันๆ ปล่อยไปตามอารมณ์ ไม่นำจิต นำกายพ่อแม่ผู้มีพระคุณ มากราบพระ ฝึกทำใจไปหาพระ พระที่ช่วยชี้แจงเหตุผล ให้แก่จิตก็ไม่เกิดขึ้น เพราะพระท่านนิ่งเฉย เราต้องนอบน้อมเข้าไปหา เพื่อให้จิตเราเรียนรู้.
โฆษณา