1 เม.ย. 2022 เวลา 08:32 • ท่องเที่ยว
ต้นฤดูหนาว หนาวจับจิต
อยู่กับตัวเองในยามานาชิ
(บทความนี้ผู้เขียนเดินทางไปในช่วงเดือนธันวาคม 2554)
แปดโมงครึ่ง อาหารเช้าในโรงแรมยิ่งเลิศรสเมื่อมีฟูจิซังทอแสงล้อดวงอาทิตย์สดสว่างอยู่ตรงหน้า ท้องฟ้าสีฟ้าจัด ต้นไม้ภายนอกดูนิ่งเหมือนสายลมไม่เคลื่อนไหว แต่ผู้คนที่นานๆจะเดินผ่านมาสักรายพากันห่อหุ้มร่างกายราวอยู่ท่ามกลางพายุหิมะ เล่นเอาฉันซึ่งคิดว่าตัวเองพร้อมแล้วสำหรับวันนี้เริ่มไม่มั่นใจขึ้นมากะทันหัน
ฟูจิซังจากหน้าต่างห้องอาหารของโรงแรมยามเช้า เดือนธันวาคม พ.ศ. 2554
แต่ชีวิตต้องดำเนินต่อไปจริงไหม กลับห้องคว้าได้ผ้าพันคอกับหมวกซึ่งต้องไม่เอามาเสียเปล่า แล้วก็ออกไปสูดอากาศข้างนอก หนาวทีเดียวเชียวแหละ ถึงจะหนาว หากสีทองของทะเลสาบที่เห็นดูสุกปลั่งอร่ามตา จนคิดว่าวันดีๆ แบบนี้ไม่ใช่จะพบเห็นได้บ่อยนักหรอกนะ ว่าแล้วก็ออกไปท้าทายลมหนาวเล่นกันดีกว่า
เก้าโมงสี่สิบห้า เรโทรบัสจอดตรงป้ายรถเมล์ซึ่งแน่นอนว่ามีฉันขึ้นคนเดียว ไปสมทบกับอีกสามสี่คนบนรถ เมื่อไปถึงสถานีคาวางุจิ ฉันตรงไปซื้อตั๋ว Retro Bus Free Coupon ราคาหนึ่งพันเยน สำหรับขึ้นลงไม่จำกัดเที่ยวบริเวณทะเลสาบคาวางุจิ จริงๆตั๋วนี้ใช้ได้สองวัน แต่เมื่อวานฉันฉลาดน้อยเลยไม่ได้ซื้อเสียอย่างนั้น แต่ซื้อมาก็ใช่ว่าจะใช้เลยหรอกนะ ต้องไปขึ้นรถฟุจิโงะโกะ ไปลงสถานีฟุจิซัง แล้วเปลี่ยนรถอีกสาย เช้านี้เราจะไปเที่ยวโอชิโนะ ฮัคไค แถบทะเลสาบยามานะกะก่อน สถานีตรงนี้ไม่มีรถเมล์สายตรงไปถึงที่นั่น
ผู้โดยสารไปโอชิโนะ ฮัคไค มีฉันคนเดียวด้วยราคา 380 เยน ใช้เวลาครึ่งชั่วโมงก็ลงป้ายฮิราโนะ เดินเข้าถนนเล็กๆซึ่งมีป้ายบอกเดี๋ยวเดียวก็ถึงบ่อน้ำทั้งแปด วันนี้คุณลุงคุณป้ามากันหนาตา ระหว่างทางมีการออกร้านขายผักผลไม้พื้นบ้านและของทำเองเต็มไปหมด เช่น ผักดอง ผลไม้ดอง ผลไม้อบแห้ง หน้าตาน่ากินทั้งนั้น
หนึ่งในบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ของโอชิโนะ ฮัคไค
กำลังจะเดินเข้าไปด้านในก็เห็นทางซ้ายมีภาพฟุจิซังกับหิมะขาวโพลน ด้านล่างเป็นบ้านหลังคามุงจากสวยงาม เป็นภาพโฆษณาโอชิโนะ ฮัคไค ที่ใครๆก็อยากมาเยือน มีคุณป้ายืนรออยู่ด้านนอก ชี้ชวนว่าถ้าอยากดูภาพจริงแบบเดียวกับในภาพนี้ต้องจ่าย 300 เยนแล้วจะได้เห็น มีคุณอาผู้ชายสองคนสะพายกล้องอันเบ้งรีบจ่ายแล้วรีบเดินเข้าไป ฉันก็จ่ายด้วยความสุขใจว่า คราวนี้ล่ะ ไม่ผิดไปจากฉากที่คุ้นเคยแน่นอน
พอโผล่บานประตูเข้าไป เห็นฟุจิซังก็จริงอยู่ แต่ด้านนี้ย้อนแสงหน่อยๆ ทำให้ภาพเงาๆ พร่าๆ ถ่ายมาอย่างไรก็มีแต่ฟูจิซังขาวสวย แต่บ้านมุงหลังคาข้างล่างมืดเชียว ทำท่าไหนก็ไม่ได้อย่างที่คุณป้าโฆษณาไว้ หรืออากาศจะไม่เป็นใจ หรือเรามาผิดเวลาไป คุณอาทั้งสองที่ดูมืออาชีพส่ายหน้าเซ็งๆ แล้วก็เดินไปหามุมใหม่ ส่วนฉันเดินดูบ้านที่ทำไว้กึ่งๆพิพิธภัณฑ์ให้คุ้มค่าเข้า แล้วค่อยเดินกลับออกมา
และแล้วก็ได้เห็นว่าบนชั้นสองของทางเข้าเมื่อกี้ ก็สามารถเดินขึ้นไปถ่ายรูปบนนั้นได้นี่นา คุณอาช่างภาพก่อนหน้าก็เล็งมุมอยู่ตรงนั้นพร้อมกับลูกค้าอื่นๆอีกหลายราย ท่าจะได้การแฮะ ฉันก็เลยปีนขึ้นไปบ้าง สิ่งที่ได้มาคือฟุจิซังในมุมที่สวยกว่าเดิม แต่บ้านข้างล่างก็ยังมืดๆ พร่าๆ สะท้อนแดดจนต้องเลิกถ่ายในที่สุด ก็เอาเถอะ ถึงจะเป็นอย่างนั้นทุกคนก็ไม่ได้ว้าวุ่นใจอะไร เราเลือกอากาศไม่ได้นี่นา พยากรณ์ก็บอกแล้วว่าวันนี้อากาศดี ดูสิ ท้องฟ้าด้านตรงข้ามฟุจิซังเป็นสีฟ้าจัดเหมือนใครสาดสีใส่ ในขณะที่ด้านฟุจิซังย้อนแสงบาดตา
ฟูจิซังย้อนแสง จากชั้นสองของบ้านในโอชิโนะ ฮัคไค
ถึงอย่างนั้นโอชิโนะ ฮัคไค ก็มีบริเวณอื่นให้เก็บภาพมากมาย บ่อน้ำบ่อแรกใสและลึก มีเขียนบอกด้วยว่าลึก 5 เมตร ใสจนเห็นปลาแหวกว่ายท่ามกลางหญ้าน้ำที่โอนไหวไปมาตามแรงกระเพื่อม สวยเหมือนน้ำศักดิ์สิทธิ์ มีบ่อให้เราแช่มือ 30 วินาทีด้วย แต่ไม่บอกว่าแช่ไปเพื่ออะไร เห็นคนจุ่มลงไปซักพักแล้วรีบยกออก ฉันทำบ้างแล้วก็รีบเอามือออก แหม น้ำเย็นจัดจนมือแข็ง ใครแช่ได้นานถึง 30 วินาทีก็นับถือแล้ว
บ่อเด็ดๆ ที่เป็นบ่อขายของที่นี่สังเกตแล้วมีประมาณ 3-4 บ่อ ล้วนใสกระจ่าง น่าลงไปว่ายเคียงคู่ปลาเป็นยิ่งนัก แต่ละบ่ออยู่ไม่ห่างกัน มีแผนที่บอกไว้ด้วยว่าอยู่ตรงจุดไหน บ่อไกลสุดประมาณกิโลเศษ แต่ส่วนใหญ่ดูๆกันแค่ 3-4 บ่อแรกนี่แหละแล้วก็กลับ มีร้านขายของขนาดใหญ่ให้เข้าไปเลือกซื้อของด้วย ร้านนี้ทำทางเดินให้เข้าไปดูของก่อนถึงจะสามารถเข้าไปดูบ่อใกล้ๆได้ ไม่อย่างนั้นลูกค้าคงไม่ค่อยเข้ากระมัง
ฉันจบการเพลิดเพลินเดินชมบ่อในเวลาไม่ถึงชั่วโมงครึ่ง ต้องออกมายืนรอรถอีกค่อนชั่วโมง เพราะรถเมล์ไม่มี แล้วก็แปลกใจว่ารถเมล์ที่มานั้นสุดทางที่สถานีคาวางุจิ ทั้งที่เมื่อเช้าเจ้าหน้าที่บอกว่าจากตรงนั้นไม่มีรถสายตรงมาถึงที่นี่ แม้จะงุนงงแต่ก็เดินขึ้นไปดีๆ หลับไปด้วยเพราะอากาศหนาวน่านอน มาตื่นอีกทีก็ถึงสถานีคาวางุจิโกะนั่นแหละ โธ่เอ๋ย
เดินชมบ่อน้ำ ท่ามกลางบ้านเรือนเก่าแก่ เงียบสงบ งดงาม
ถึงแล้วก็ต้องรีบไปต่อ เพราะเวลาบ่ายสองโมงเข้าไปแล้ว เรโทรบัสมาจอดรถพอดี เลยขึ้นไปด้วยความตั้งใจว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ Music Forest รถแล่นเลียบทะเลสาบ ผ่านโรงแรม ข้ามสะพาน ลอดอุโมงค์ แล้วก็ถึงในเวลาครึ่งชั่วโมงต่อมา โดยจอดเทียบป้ายด้านหน้าพิพิธภัณฑ์ให้เลย
พิพิธภัณฑ์แห่งนี้สวยงามตั้งแต่แรกเห็น สร้างด้วยสถาปัตยกรรมแบบยุโรป ตกแต่งด้วยรสนิยมอันดี มีเจ้าหน้าที่มายืนต้อนรับตั้งแต่บริเวณทางเข้า จ่ายเงินค่าเข้าไป 1,200 เยน (ได้ลด 100 เยนจากคูปองที่หยิบมาจากรถราง) แล้วก็เข้าไปตะลึงกับสระน้ำที่มีน้องหงส์ขาวแสนสวยแหวกว่ายท่ามกลางอาคารสีส้มอมชมพูที่สร้างไว้ลดหลั่นบนเนินเขาย่อมๆ โดยมีทะเลสาบคาวางุจิสีทองก่ำและภูเขาหลากสีเป็นฉากหลัง สวยตรึงตาจริงๆ
Music Forest Museum กลางหุบเขา
เดินเข้าไปข้างในก็ต้องทึ่งกับห้องโถงที่ตกแต่งอย่างหรูหรา มีโซฟาและชุดโต๊ะเก้าอี้จัดไว้สำหรับนั่งฟังเพลงบรรเลงจากระฆังแก้ว ฉันลงไปนั่งนิ่งๆอยู่นาน ดื่มด่ำกับความสงบของจิตใจ หยุดความคิดว้าวุ่นทั้งหมดทั้งปวง ฟังและฟังจนเสียงดนตรีอันไพเราะซึมซาบทั่วเนื้อทั่วตัว หลอมละลายความอ่อนล้าบางอย่างให้สลายไป รู้สึกเหมือนมีพลังฟื้นคืนมาใหม่อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว
นั่งอยู่อย่างนั้นนานแค่ไหนไม่อยากรับรู้ จนเมื่อมีผู้คนมาเพิ่มเติมอีกจำนวนหนึ่งจึงค่อยละออกไปสู่ภายนอก มีป้ายแสดงให้เห็นว่าควรเดินตามไปตำแหน่งใด อาคาหลังเล็กๆ น่าสนใจที่ฉันเปิดเข้าไปเป็นลำดับต่อมาคือโบสถ์แต่งงาน!! จุแขกได้สักไม่เกินสิบห้าคน ตอนที่เข้าไปไม่มีใครเลย มีแต่เสียงและภาพบรรยากาศงานแต่งที่เคยจัดให้ดูว่าละมุนละไมน่ารักอย่างไร เห็นแล้วอยากแต่งงานใหม่ที่นี่จังเลย (ว่าเข้าไปนั่น)
ฟังเพลงจากดนตรีระฆังแก้ว ในห้องโถงสว่างสดใส หรูหรา
ทางเชื่อมอาคารนี้กับพิพิธภัณฑ์กล่องดนตรีคือพิณแก้วขนาดใหญ่และต้นไม้ที่กิ่งใบเป็นคริสตัลพร่างพราว เข้าไปด้านในก็ต้องอัศจรรย์กับสารพันกล่องดนตรีนานาชนิด หลากหลายแบบ ที่คนรักกล่องดนตรีเห็นแล้วจะต้องปลาบปลื้ม ฉันเองก็จัดอยู่ในหมวดนี้ แต่ระยะหลังความอยากลดลงเรื่อยๆตามอายุ ก็เลยได้แต่ชื่นชม หากไม่หยิบกลับบ้าน (จริงๆคือเลือกไม่ถูก สวยไปหมดทุกแบบ) ข้างบนเป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของรักสะสมของเจ้าของ น่ารักและน่าขอบคุณในความตั้งใจอันดีที่จะมีพิพิธภัณฑ์ที่สวยทั้งรูป จูบก็หอม มาให้เราได้ประทับใจกัน
จริงๆ แล้วพิพิธภัณฑ์นี้ไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่รายละเอียดเยอะมากจนต้องค่อยๆละเลียดเก็บไปด้วยความตื้นตัน เดินออกมาเห็นหงส์สีขาวสองตัวกำลังลอยตัวอย่างเริงร่า ก็เลยเข้าไปใกล้ๆ มีร้านเล็กๆ พร้อมเก้าอี้ขายมาการองและชา คนขายเชิญชวนให้ชิมมาการองไปสองชิ้น อร่อยดี เห็นบรรยากาศแล้วน่านั่งเหลือเกิน ก็เลยสั่งชาขิงร้อนๆมาจิบแก้หนาว ระหว่างจิบไป ดูหงส์หยอกล้อกันไป ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมาอย่างจริงจังว่า การเที่ยวคนเดียวนี่แสนสบาย ไม่เหงาแม้สักนิด กลับเป็นความสุขเสียอีกที่ได้ทำในสิ่งที่ชอบ ไม่ต้องฝืนใจหรือทำอะไรเพื่อใคร ได้อยู่กับตัวเองในที่ๆหลงรักมาทั้งชีวิต
ถ้าอยากถ่ายรูปตัวเองเป็นที่ระลึกสักใบสองใบ ก็ไหว้วานให้คนขายมาการอง หรือเจ้าหน้าที่พิพิธภัณฑ์ถ่ายให้ก็ได้ ง่ายมาก
ก็เลยสงสัยว่า หรือฉันจะเริ่มเสพติดการเที่ยวคนเดียวเสียแล้วก็ไม่รู้สินะ
อาคารจำหน่ายของที่ระลึกของ Music Forest Museum มีแต่ของสวยงาม
อย่างที่บอกว่ารายละเอียดที่นี่นั้นเยอะจนนึกไม่ถึง จิบชารสอร่อยหอมกรุ่นเรียบร้อยก็เห็นซุ้มประตูดอกกุหลาบ เขียนว่า พิพิธภัณฑ์กุหลาบ ดอกไม้แสนสวยราชินีของดอกไม้ทั้งปวงกำลังผลิดอกบานสะพรั่ง แม้จะไม่เต็มอิ่มเหมือนช่วงต้นฤดูร้อน ก็ยังดูว่าสวย กำลังจะก้าวขาออกไปแล้วเชียว ก็เห็นบานประตูเขียนว่า ห้องโถงหลัก หรือ Main Hall เอ้า เข้าไปดูเสียหน่อย เจ้าหน้าที่บอกว่ากำลังแสดงเพลงบรรเลงอยู่ในห้องโถงด้านใน เชิญเข้าไปชมได้เลย ก็เลยเข้าไปนั่งเอี้ยมเฟี้ยมฟังหนึ่งหนุ่มบรรเลงเชลโล หนึ่งสาวเป่าฟลุต ด้วยเพลงที่เราคุ้นเคยกันดี มีคนนั่งชมประมาณสิบคน แต่นักดนตรีตั้งใจเกินร้อย ห้องโถงนี้น่าจะบรรจุได้สักร้อยคน ตกแต่งได้สวยงาม น่าประทับใจ สมกับเป็นห้องแสดงดนตรีมีฝีมือ ฟังดนตรีสดพร้อมปรบมือขอบคุณอย่างประทับใจแล้ว ก็ได้ออกมาฟังตู้ดนตรีขนาดใหญ่กำลังบรรเลงเพลงในความทรงจำสมัยเด็ก ไพเราะจนน้ำตาวิ่งมาเอ่อเต็มสองตา
หงส์ขาวว่ายอย่างเย็นใจในบึงใส ของ Music Forest Museum
คราวนี้คงได้เวลาต้องไปจริงๆเสียแล้ว สี่โมงกว่า ฟ้าเริ่มมืด ฟุจิซังมีหมู่เมฆมาห้อมล้อมตั้งแต่ต้นบ่ายจนมองแทบไม่เห็นยอด ขึ้นรถเรโทรบัสไปลงร้านสมุนไพร ซื้อของที่ระลึกน่ารักๆ ฝากคนรู้จักแล้วก็นั่งรถต่อไปกินข้าวเย็นแถวสถานี ตอนนั่งรอรถเวลาห้าโมงเย็น ฟ้ามืดสนิทเหมือนเวลานี้มีแต่ราตรีมาเยือน รอบข้างแทบไม่มีผู้คน ร้านรวงปิดเงียบ เมืองนี้มีร้านสะดวกซื้อน้อยมาก และอยู่ห่างกันจนแทบไม่เห็น เงียบเหมือนไม่มีอะไรทำ แต่ความคิดกลับไม่วิ่งวน หยุดนิ่ง และวินาทีนั้นฉันก็รู้สึกได้ถึงคำว่าพักผ่อนอย่างแท้จริง
เรโทรบัสหมดเวลาวิ่งแล้วก็จริง แต่ฉันก็ยินดีกินข้าวเย็นอย่างไม่รีบร้อน ตั้งใจว่าคงต้องใช้บริการพี่แท็กซี่ที่จอดรอผู้โดยสารมาเนิ่นนานนี่แล้วละ แม้จะเป็นเมืองเงียบแสนเงียบ แต่กลับไม่รู้สึกถึงคำว่าอันตรายหรือความหวาดกลัวใดๆ แถมยังแอบคิดด้วยว่า อยู่ไปเรื่อยๆก็มีความสุขดี ไม่อยากกลับไปวุ่นวายที่ไหนอีกแล้ว ยังมีอีกตั้งหลายแห่งที่เรายังไม่ได้ไปนี่นา
น้ำพุเริงระบำใน Music Forest Museum เมื่อแสงสุดท้ายของวันใกล้จะลาลับ
แถมวันนี้เปิดโทรทัศน์ช่องท้องถิ่นของเมืองคาวางุจิ ก็ได้เห็นไดมอนด์ ฟุจิ คือปรากฏการณ์ที่ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือยอดเขาฟุจิซังพอดี ภาพแบบนี้ไม่ได้มีบ่อย จะมีเฉพาะฤดูหนาวที่ท้องฟ้ากระจ่างใสเท่านั้น มีช่างภาพและกล้องทีวีไปยืนรอกันแต่เช้าแน่นขนัด เวลาที่ฉายแสงระยิบระยับราวเพชรเม็ดเอกคือเจ็ดโมงกว่าๆ แม้ฉันจะไม่มีโอกาสได้เห็นของจริง แต่การได้เห็นภาพทางโทรทัศน์จากสถานที่เดียวกันก็ถือเป็นความโชคดีอย่างที่สุดแล้ว
คนญี่ปุ่นมีความเชื่อว่า การได้เห็น ไดมอนด์ ฟุจิ จะนำแต่สิ่งดีๆมาให้ในชีวิต โดยเฉพาะช่วงกำลังจะหมดปี และเริ่มต้นปีใหม่อย่างนี้ ถือเป็นรางวัลที่น่าตื้นตันใจที่สุด
โฆษณา