1 เม.ย. 2022 เวลา 20:27 • หุ้น & เศรษฐกิจ
Inverted Yield Curve กับเศรษฐกิจไทย
หลายคนคงได้เห็นหัวข้อข่าว Inverted Yield Curve ในสหรัฐฯ และมีบทความอธิบายหลายบทความในบล็อกดิท ถึงความเป็นไปได้ในการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
แต่สถานการณ์นี้มีความหมายอย่างไรกับเศรษฐกิจไทย ไปดูกันครับ
1.
Inverted Yield Curve คือ สถานการณ์ที่อัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวในช่วงระยะเวลา 2 – 10 ปี มีอัตราผลตอบแทนที่ใกล้เคียงกันมาก ส่งผลให้เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวมีรูปร่างแบนราบในแนวนอน
ซึ่งต่างจากลักษณะทั่วไป ที่เส้นอัตราผลตอบแทนพันธบัตรจะมีความชันเป็นบวก คือ ยิ่งพันธบัตรมีระยะเวลายาวนาน ผลตอบแทนที่จะได้รับจากพันธบัตรนั้นจะเพิ่มขึ้น เพื่อให้เกิดความสมเหตุสมผล และดึงดูดเงินลงทุนในระยะยาว
2.
Inverted Yield Curve ถือเป็นเครื่อง ”บ่งชี้” “ความเป็นไปได้” ของการเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) แต่ยังต้องดูปัจจัยอื่นประกอบด้วย ภาวะถดถอยไม่จำเป็นต้องเกิดขึ้น
3.
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อเกิดเหตุการณ์ Inverted Yield Curve ขึ้น เศรษฐกิจสหรัฐฯ มักจะเกิดภาวะถดถอยตามมาในระยะเวลา 1.5 – 2 ปี ตามมา ดังนั้น Yield Curve นี้จึงกลับมาเป็นที่สนใจของนักลงทุนอีกครั้งในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ กลับมา Inverted อีกครั้ง สำหรับอัตราผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 2 ปี และ 10 ปี
4.
สำหรับประเทศไทย ภาวะ Inverted Yield Curve ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยระยะสั้นมีทิศทางสอดคล้องกับอัตราดอกเบี้ยนโยบายในประเทศ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรระยะยาวของไทย มีทิศทางเคลื่อนไหวตามทิศทางอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ
5.
ดังนั้น เส้นกราฟอัตราผลตอบแทนพันธบัตรของไทยในปัจจุบัน ต่างจากอัตราผลตอบแทนของสหรัฐฯ โดยสิ้นเชิง การเกิด Inverted Yield Curve ขี้นจึงไม่ได้ส่งผลต่อภาวะเศรษฐกิจไทยโดยตรง
6.
อย่างไรก็ตามสถานการณ์นี้แสดงให้ถึงความเสี่ยงในอนาคต ที่การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯในปีนี้ อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการจ้างงานในสหรัฐฯ ชะลอเศรษฐกิจสหรัฐฯ และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจโลก และกระทบเศรษฐกิจไทยครับ
[สรุป]
- อัตราผลตอบแทนพันธบัตรไทยยังมีทิศทางปกติ
- สิ่งที่ควรจับตามอง และระมัดระวังคือผลกระทบต่อเนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐ สู่เศรษฐกิจโลก และไทย
โฆษณา