4 เม.ย. 2022 เวลา 16:04 • ประวัติศาสตร์
มัมมี่​ ปริศนาทางการแพทย์​
มัมมี่
เคยมีคนจำนวนไม่น้อยสงสัยว่า ในสมัยก่อนตั้งแต่ยุคอียิปต์​โบราณ​มีการฝังพระศพบรรดาฟาโรห์ มเหสี​ และขุนนาง​อียิปต์​ในสุสาน​แต่เหตุใดศพนั้นจึงไม่เน่าเปื่อยและคงสภาพเป็นระยะเวลานานกว่า​ 4,000 ปี
ในอดีต​ชาวอียิปต์​โบราณ​มีความเชื่อเรื่องวิญญาณ​หลังความตายและเชื่อว่าเมื่อตายไปแล้ว​ วิญญาณ​จะยังคงอยู่และรอการกลับสู่ร่างเดิมดังนั้นพวกเขาจึงต้องการรักษาสภาพศพทั้งภายนอกและภายในให้อยู่ในสภาพไม่เน่าเปื่อย​ โดยการนำศพมาผ่านขั้นตอนต่างๆ​ที่​ เรียกว่า​ "การทำมัมมี่" โดยเฉพาะ​อย่างยิ่งถ้าผู้ตายมีความสำคัญ​มากเท่าใด​ ก็ต้องมีการเตรียมการอย่างวิจิตรพิสดาร​และละเอียด​มากขึ้นเท่านั้น​ จากนั้นจึงนำศพไปเก็บไว้ในห้องบรรจุศพในสุสานพร้อมกับทรัพย์​สมบัติ​จำนวนมากมาย คำว่า "มัมมี่" มาจากภาษาอาหรับว่ามูมียา แปลว่าน้ำมันดิน ซึ่งน่าจะมาจากการที่ชาวอียิปต์นำน้ำมันดินมาอาบศพ ก็เชื่อว่าน้ำมันดินจะทำให้ศพไม่เน่าเปื่อย
ผลจากการศึกษาร่างมัมมี่โดยบรรดานักวิทยาศาสตร์ ระหว่างปีค.ศ 1967 ถึง 1978 ด้วยการใช้เครื่องเอกซ์เรย์​วิเคราะห์มัมมี่ของราชวงศ์อียิปต์กว่า 10 ร่าง พบว่าฟาโรห์และมเหสีหลายองค์ประชวรด้วยโรคไขข้ออักเสบโรคปอดโรคฟันเป็นต้น
การเก็บรักษาร่างของคนที่เสียชีวิตไปแล้ว ทำโดยการเอาเกลือใส่เข้าไปเพื่อดูดความชื้นภายในร่างศพ เมื่อประกอบกับความแห้งของอากาศในทะเลทรายแล้ว จะทำให้ความชื้นที่มีอยู่ในศพนั้นหมดไป และหลังจากที่ร่างนั้นแห้งดีแล้วก็จะถูกนำมาชำระล้างให้สะอาดแล้วทาทับด้วยยางไม้สน ก่อนจะเคลือบด้วยขี้ผึ้งแล้วพันหุ้มด้วยผ้าลินินยาวหลายร้อยเมตร เวลาทั้งหมดที่ใช้ในการทำมัมมี่นี้กินเวลาประมาณ 70 วัน
บางครั้งพบว่ามีการต่อเติมเคราให้กับมัมมี่บางร่าง
ทั้งนี้เนื่องจากความเชื่อที่ว่าเคลาเป็นสัญลักษณ์ของเทพเจ้าหรือกษัตริย์ การเติมเคราเข้าไปแสดงให้เห็นความหวังของผู้ตายที่จะได้ไปอยู่ร่วมกับชนชั้นสูง ส่วนวิธีการทำมัมมี่ก็สามารถวิเคราะห์ออกมาได้ว่า ชาวอียิปต์โบราณได้พัฒนาเทคนิคในการทำมัมมี่มาโดยตลอด ตั้งแต่ช่วงเวลาราว 2,800 ปีก่อนคริสต์ศักราชจนถึงค.ศ 640 แต่ช่วงแรกๆการทำมัมมี่มีวิธีและขั้นตอนที่ละเอียดมากต่อมาภายหลังประมาณ 450 ปีก่อนคริสต์ศักราชเป็นช่วงที่ ชาวอียิปต์มีทักษะในการทำมัมมี่เสื่อมลงจึงได้แบ่งระดับการทำมัมมี่เป็น 3 แบบและแต่ละแบบราคาค่าทำก็จะแตกต่างกัน
เฮโรโดตุส​ (Herodotus) นัก ประวัติศาสตร์ชาวกรีกได้เคยเขียนไว้ในบันทึกของเขาว่า การทำมัมมี่ใช้เวลาประมาณ 70 วัน​ แบบที่แพงที่สุดคือการดูดเอาสมองออกมาทางจมูกและใช้มีดกรีดข้างลำตัวพวกอวัยวะภายในออกมา(ยกเว้นหัวใจ)​ หลังจากนั้นจึงนำร่างไปตากให้แห้ง ส่วนแบบที่ 2 ราคาถูกลงมาหน่อยไม่ต้องควักอวัยวะภายในออกแต่ใช้น้ำมันซีดาร์​ฉีดเข้าไปในร่างก่อนนำไปตากแห้ง​ แบบที่ 3 ราคาถูกที่สุดเพราะไม่ต้องทำอะไรเพียงแต่ตากร่างให้แห้งเท่านั้น การทำมัมมี่ในยุคแรก เมื่อดูดสมองและพวกอวัยวะภายในออกแล้วจะใช้วัสดุประเภทขี้เลื่อย โคลน และผ้าลินินยัดเข้าไปในร่าง
แต่ช่วงที่การพัฒนาการทำมัมมี่เจริญสูงสุด อาจมีการยัดวัสดุดังกล่าวไว้ใต้ผิวหนังด้วย โดยการกรีดผิวหนังให้เป็นรอยเล็กๆหลายๆรอยก่อนนำศพ ไปตากให้แห้ง จะมีการใช้สารประกอบประเภทเกลือชื่อว่าสารไนตรอนโรยบนศพแล้วนำศพไปทาน้ำมัน​ ตกแต่ง​ พันผ้าตลอดจนทำพิธีตามความเชื่อผ้าที่ใช้พันชั้นนอกจะชโลมด้วยขี้ผึ้งก่อนแล้วจึงนำมาห่อศพ โดยแปะผ้าให้ติดกันด้วยวุ้นหรือเจลาติน ระยะการตากนี้กินเวลาประมาณ 40 วัน
ส่วนอวัยวะภายในก็ทำเช่นเดียวกัน แล้วจึงบรรจุลงไหหรือภาชนะที่มีฝาปิดผนึกได้สนิท ซึ่งมักนำไปวางไว้ข้างๆร่างของมัมมี่ แต่ก็มีบางสมัยนิยมนำอวัยวะมาห่อแล้วยัดเข้าไปในร่างตามเดิม จากนั้นจึงทำหน้ากากสำหรับคลุมหน้าและส่วนอกด้วยผ้าลินิน พอกปูนปลาสเตอร์และปิดทอง ฝังวัสดุประดับที่ตาและบริเวณคิ้วนอกจาก นี้บางทีก็มักบรรจุมัมมี่ลงในโลงไม้ที่แกะสลักเป็นรูปร่างของผู้ตาย ก่อนนำใส่ในโลงไม้รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าอีกชั้นหนึ่ง ไม่เพียงเท่านี้เขายังบรรจุโลงไม้ลงในหีบชั้นนอกสุดที่มาทำจากหินแข็ง​ และจารึกคาถากำกับไว้ด้วยเพราะเชื่อว่าคาถานั้นจะพิทักษ์ดวงวิญญาณขณะเดินทางสู่ปรโลกได้
รู้หรือไม่ : ชาวอียิปต์โบราณนับถือเทพเจ้าพาชต์(Pasht)ที่มีหัวเหมือนแมวเมื่อแมวตายพวกเขาจึงเอาไปทำมัมมี่ไว้ด้วยในสมัยนั้นการฆ่าแมวจึงถือเป็นความผิดมหันต์มีโทษถึงตายทีเดียว
โฆษณา