6 เม.ย. 2022 เวลา 04:26 • ความคิดเห็น
มีโอวาทธรรมของหลวงปู่ดุลย์ที่ท่านบอกว่า "คิดเท่าไหร่ไม่รู้ หยุดคิดถึงรู้ แต่ก็ต้องอาศัยคิด” หลวงพ่อปราโมทย์ท่านได้นำมาสาธยาย ขยายความว่า ฟังแล้วอาจเหมือนเป็นปริศนาธรรม แต่ความจริงแล้วหลวงปู่ดุลย์ท่านพูดตรง คือ "ขณะที่คิดไม่รู้ ขณะที่รู้ไม่ได้คิด" แต่ต้องปล่อยให้จิตคิด ไม่ใช่ห้ามจิตไม่ให้คิด พอจิตคิดไปแล้วจิตก็เคลื่อน พอจิตเคลื่อนเราก็รู้ทัน จิตก็ตั้งมั่น ตรงที่จิตตั้งมั่น จิตหลุดออกจากโลกของความคิด เป็นจิตที่รู้ขึ้นมา ตรงที่จิตรู้นี่เอง ที่หลุดออกมาจากโลกของความคิดแล้ว ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว พระอรหันต์ก็คิด แต่ว่าจิตของท่านไม่เคลื่อน
วิทยาศาสตร์ ได้แบ่งเรื่องของ"จิต" ไว้ 2 ระดับ คือ "จิตสำนึก(Conscious) และ "จิตใต้สำนึก(Subconscious)" และจิตที่แฝงพลังงานไว้มหาศาล ก็คือ "จิตใต้สำนึก" นี้เอง และมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้คุณมาตั้งคำถาม จิตใต้สำนึกจะจดจำ บันทึกทุกประสบการณ์ชีวิตคุณทั้งดีและร้าย ความเชื่อความรู้สึก ทัศนคติ มันไม่สนว่าคุณจะจำได้ไหม รู้ตัวไหม แต่มันจะแสดงออกมาเป็นอุปนิสัยและพฤติกรรมของคุณ....หมกมุ่นแต่เรื่องนั้นๆ ฟุ้งซ่านแต่เรื่องนั้นๆ
ย้อนกลับไปในวรรคแรกค่ะ ตามบทสาธยายของหลวงพ่อปราโมทย์ คุณอาจเริ่มจากถามตัวเองว่า เรื่องเดิมๆเรื่องนั้นคือเรื่องใด ทำไมคุณจึงรู้สึกกับมันได้มากมายและตลอดเวลา จากนั้นให้คุณเอาเรื่องที่ว่านี้ มากำหนดเพ่งเป็นอารมณ์ โดยการนั่งหลับตาทำสมาธิ แล้วเพ่งอารมณ์ไปที่เรื่องนี้ มันจะคิดก็คิดไป ตามรู้ไปมันไป ตามดูมันไป.. รู้ว่าคิด..รู้ว่าคิดอยู่.. รู้..รู้.. เอ้า! สัปหงกเพราะง่วงวุ้ย! เมื่อสติกลับมา ก็มารู้ต่อ (เจริญสติ) .......หรือถ้าง่วงหนัก ทนไม่ไหว ก็แค่ไปนอนค่ะ
โฆษณา